Artist Spotlight — Tithi Luadthong (Grandfailure)

Biruoh
Biruoh
Published in
6 min readJun 26, 2020

คงจะมีหลายคนสงสัยว่าเหล่า Digital Painting Artist นั้นเค้ามีกระบวนการความคิดแบบไหนถึงได้สร้างสรรค์งานออกมาได้น่าประทับใจและน่าทึ่งทุกครั้ง ไม่ว่าจะเป็นไอเดีย องค์ประกอบ แสงเงา สี และอีกหลายๆ อย่างรวมกันออกมาแล้วมีความลงตัวมาก บทความนี้เบียร์ได้มีโอกาสดีมากๆ ได้สัมภาษณ์ พี่อาร์ต Artist ไทยผู้มีฝีมือและผลงานระดับอินเตอร์ งานแต่ละชิ้นนั้นมีสไตล์คอนเสปที่หลากหลายและสามารถทำให้เรารู้สึกเหมือนถูกดูดเข้าไปอีกโลกหนึ่ง ซึ่งนั่นเป็นอะไรที่น่าสนใจมากๆ งั้นเราไปอ่านบทสัมภาษณ์แนวความคิดการทำงานของพี่อาร์ตกันเลยนะคะ

1.สวัสดีค่ะ ต้องขอขอบคุณมากเลยนะคะที่สละเวลามาคุยกันในวันนี้ รบกวนช่วยแนะนำตัวเองและแบ็คกราวคร่าวๆ ให้กับผู้ที่กำลังอ่านหน่อยนะคะว่าเป็นใคร มาจากไหน เคยมีประสบการณ์อะไรมาบ้าง และปัจจุบันทำอะไรอยู่คะ

ยินดีครับ..เป็นเกียรติมากที่มาสัมภาษณ์เพราะไม่คิดว่าจะมีคนมาสนใจครับ ฮาาาา
สวัสดีครับผมชื่ออาร์ตนะครับ เป็นเด็กต่างจังหวัดครับชอบวาดรูปตั้งแต่ประถมตามประสาวัยเด็กแล้วก็เริ่มสนุกกับการวาดการ์ตูน จนระดับ ปวช. ปวส. ก็เลือกเรียนสายออกแบบเริ่มทำให้เข้าใจวิชาความรู้ศิลปะมากขึ้น

แล้วก็ต่อระดับ ป.ตรี ที่พระจอมเกล้าลาดกระบัง สถาปัตย์ภายใน เรียนช่วงนั้นคือลืมเรื่องวาดรูปกาตง การ์ตูนไปแล้วครับ แต่เรียนสาย Interior เนี่ยทำให้รู้จักการเขียนภาพ Perspective เชิงลึกมากขึ้น คือเริ่มหลงไหลการวาดภาพแนวสถาปัตย์ แนว Landscape ชอบเขียนตึกราบ้านช่องมากขึ้น

พอจบก็เลยไปทำงานเกี่ยวกับเขียนภาพ Interior Perspective Rendering อย่างเดียวครับทำให้บริษัท Interior ต่างประเทศ วาดเส้น+ลงสีน้ำ, สีหมึก อย่างเดียวไม่มีการออกแบบเขียนแบบมาเกี่ยวข้อง วันๆ วาดแต่รูปจริงๆ ในระหว่างทางการแต่งรูปใน Photoshop เริ่มมีบทบาทมากขึ้นผมก็เริ่มฝึกโปรแกรมในช่วงนี้ วาดรูป Interior รูป Landscape ก็ทำ เริ่มมาฝึกวาดรูปการ์ตูนมากขึ้นด้วยเพราะอยากใช้โปรแกรมให้คล่องแล้วก็ขยับไปวาดพวกเรียลลิสติก ในที่สุดแนวการทำงานก็เริ่มบรรจบกับตอนสมัยเด็กอีกครั้งครับ แต่รอบนี้วาดทั้งการ์ตูน ทั้ง Portrait และ Landscape ผมทำงานเขียน Perspective นี้มา 10 กว่าปีครับมันเป็นช่วงเวลาแห่งการฝึกฝนจริงๆ ปัจจุบันเป็น Freelance และขายรูป Full-time ครับ

2. ก่อนที่เราจะไปพูดถึง Microstock เบียร์อยากจะมาพูดคุยถึงเรื่องงาน Art ของพี่อาร์ตก่อน พี่อาร์ตคิดว่างาน Art มีความหมายยังไงกับพี่คะ ช่วงไหนคือจุดที่พี่เริ่มมาสร้างสรรค์งาน Art และตอนไหนที่ทำให้พี่อาร์ตรู้ตัวเองว่า Digital Painting เป็นสิ่งที่ตัวเองแสวงหาอยู่ตลอดนอกเหนือจากงานประจำ

งานเขียนต่างๆ ในรูปแบบ Digital มันเกิดจากตามที่อธิบายข้างต้นครับ ช่วงที่ผมทำงานเขียนภาพ Perspective บางทีการแก้งานมันบนกระดาษมันเริ่มยุ่งยากผมก็เริ่มหัดทำใน Photoshop แทนค่อยๆ เริ่มฝึกจากตรงนี้ครับ ส่วนใหญ่ตอนทำงานประจำผมโฟกัสแค่งาน Perspective และงาน Perspective เองมันก็เป็นแค่พาร์ทนึงของ Design ซึ่งตอบสนองต่อลูกค้าที่เกี่ยวข้องกับสถาปัตย์กับ Interior ซะมากกว่าไม่ได้พูดถึงความสุนทรีย์สวยงามอะไรซักเท่าไร

ฉะนั้นในมุมมองผมงาน Art อาจจะมองว่ามันคืองานที่เน้นความสวยงามสุนทรีย์มาก่อนเรื่องประโยชน์ใช้สอยมั้งครับ วาดอะไรก็ได้ที่สวยๆ งามๆ ดูแล้วมีความสุข ไม่ได้คำนึงว่างานนี้จะเอาไปสร้างบ้านสร้างตึกไรงี้

งาน Digital Painting นั้น ช่วงฝึกโปรแกรม Photoshop ทำให้ผมต้องดูงานหลายแนวมากขึ้นก็จนไปเจอพวกงานในเว็บ CGTalk ของต่างประเทศ (สมัยนี้ยังมีอยู่หรือเปล่าก็ไม่รู้) ทำให้รู้ว่านี่แหละคือสิ่งที่เราชอบและอยากทำได้แบบเขา

3. งานของพี่อาร์ตนั้นสามารถสังเกตเห็นได้ถึงอิทธิพลจากแหล่งต่างๆ เช่น Fantasy, Science Fiction (หลายๆ งานนั้นทำใหรู้สึกถึงการถ่ายทอดฉากหนึ่งจากภาพยนตร์ออกมาให้ได้ชมเลย) และเบียร์ก็รู้สึกชอบการแทรกผู้คนเข้าไปเป็นอันหนึ่งอันเดียวกับงาน ทำให้รู้สึกถึงสิ่งที่มนุษย์สามารถเข้าถึงองค์ประกอบเหล่านั้นได้ และทำให้คนดูรู้สึกและมีอารมณ์ร่วมไปกับผลงานมากยิ่งขึ้น ตรงส่วนนี้ช่วยอธิบายให้ฟังสักหน่อยได้มั้ยคะว่าพี่อาร์ตหาไอเดียและแรงบันดาลใจมาจากที่ไหนบ้างเวลาที่จะสร้างงานใหม่สักชิ้นหนึ่ง และพี่อาร์ตใช้พื้นฐานองค์ประกอบบางอย่างจากประสบการณ์ในชีวิตหรือความทรงจำที่เคยผ่านมาใส่ลงในงานด้วยหรือเปล่าคะ

ที่ผมเลือกจะวาดโฟกัสแค่ฉาก วิว ทิวทัศน์ ต่างๆ ผมถนัดแค่นี้ครับ.. และผมเริ่มเรียนรู้ว่าการเขียนฉากต่างๆ ที่ดีควรจะเล่าเรื่องราวได้บ้าง เช่น

  • แทนที่จะเขียนทุ่งหญ้าโล่งๆ แค่ลองเติมเมฆดำๆ ก้อนใหญ่ หรือแค่ใส่พายุงวงช้างเข้าไป ภาพจะดูมีอะไรมากขึ้น
  • ทะเลนิ่งๆ ตัดกับแดดจ้าๆ จะดีกว่ามั้ยถ้าลองเติมปลานับพันๆ ตัวเกยตื้น
  • วิวเมืองสวยๆ เห็นตึกราบ้านช่อง มันคงพิลึกดีถ้ามีแสงประหลาดๆ อยู่บนท้องฟ้า

แต่ที่ว่ามาทั้งหมดไม่มี “คน” มาเกี่ยวข้องครับ ผมก็พบว่าคนคือสิ่งที่เสริมเรื่องราวได้มากขึ้นไปอีก ทำให้ให้เศร้า ให้เหงา น่ากลัว ตื่นเต้น มากขึ้น อีกอย่างเมื่อคนมาอยู่ในภาพยังบอก Scale ของ Object ต่างๆ ในภาพนั้นได้ด้วย คนยิ่งตัวเล็กยิ่งแสดงให้เห็นว่าวิวนั้นกว้างใหญ่อลังการแค่ไหน ในทางกลับกันเขียนคนตัวใหญ่ๆก็ทำให้วิวดูเล็กลงถนัดตา ดูเหมือนเป็นยักษ์ยืนอยู่ในภาพซะงั้น

มันแล้วแต่จะกำหนดครับว่าอยากถ่ายทอดอะไรออกมา ทั้งนี้ทั้งนั้นผมเขียนคนไม่เก่งครับก็ยังหัดวาดคนอยู่ครับพยายามโฟกัสคนมากขึ้นด้วย

ถ้ามองภาพกว้างๆ งานเขียนผมค่อนข้างสะเปะสะปะครับ 55+ คือถ้าชอบอะไรอยู่ก็จะฝึกๆ อยู่แบบนั้น แรกๆ นี่เขียนแต่พวกแนว Abstract มั่วๆด้วยซ้ำ ค่อยๆ เปลี่ยนมาวาดวิวสไตล์สีน้ำบ้าง สีน้ำมันบ้าง ดูงานคนอื่นลองผิดลองถูกเรื่อยๆ ก็จนมาเป็นแนว Fantasy Sci-Fi ในปัจจุบัน

นั่นก็คงเกิดจากการดูหนัง เล่นเกมส์ อ่านการ์ตูนเหมือนคนอื่นๆ แหละครับ จริงๆ มีหลายแนวที่ผมชอบ เช่น Cosmic, Horror, Sci-Fi, Cyberpunk, Dystopian อื่นๆ อีกเยอะแยะที่มันน่าสนใจ

  • หนังที่เป็นแรงบันดาลใจ : Mad Max, The Matrix, The Fly, Stranger Things, The Thing, Alien, Blade Runner
  • การ์ตูนอนิเมะ/มังงะ: Akira, Evangelion, Blame!, Ghibli Style, Makoto Shinkai Style, Dragonball

ที่ยกตัวอย่างมา ได้ประโยชน์ทั้ง มุมกล้อง, ลายเส้นที่มีมูฟเม้นท์, จังหวะ, บรรยากาศ, อุณหภูมิสี, แสง, เยอะแยะครับสร้างแรงบันดาลใจทั้งนั้น

4. เมื่อได้ดูงานของพี่อาร์ตแล้วเบียร์พูดได้เลยว่านี่เป็นงานที่มีสไตล์ จุดเด่นเรื่องราว โทนสีและอารมณ์เป็นเอกลักษณ์เป็นไปในแนวเดียวกันมากๆ เวลาที่ได้มองดูงานใดงานหนึ่งสายตาจะจับไปที่จุดสำคัญๆ เสมอ ทำให้สามารถเข้าใจเรื่องราวที่กำลังสื่อออกมาได้อย่างง่ายดาย และเบียร์รู้สึกได้ถึงความสัมพันธ์ของโทนสีที่ช่วยสื่ออารมณ์และความรู้สึกได้ดีมากๆ อีกด้วย ไม่ทราบว่าก่อนที่พี่อาร์ตจะเริ่มงานชิ้นใหม่นั้นใช้เวลาเตรียมตัวนานแค่ไหน เช่น หาข้อมูลอ้างอิงต่างๆ หรือว่าปกติพี่อาร์ตมีสิ่งที่คิดว่าอยากจะวาดอยู่ก่อนที่จะเริ่มงานอยู่แล้ว หรือว่าคิดและปรับแสริมเติมแต่งในขณะที่กำลังทำงาน ณ ตอนนั้นเลยคะ

คือถ้าไม่ใช่งานจ้างที่ต้องหาข้อมูลเพื่อให้ตรงโจทย์ลูกค้า งานอิสระตามใจฉันนี่ไม่ค่อยได้หาข้อมูลเตรียมอะไรซักเท่าไรครับ คือไม่รู้จะเตรียมทำไมงานผมส่วนใหญ่มันมีแต่วิวกับคนยืนอ่ะครับ ฮาาาา ผมก็วาดไปเรื่อยๆ นึกไรออกก็ใส่ๆ ไป ทำไปนานๆ จะเริ่มรู้ว่าอันนี้ควรเอาออกอันนี้ควรเพิ่ม

หรือถ้าดูหนังเล่นเกมส์หรืออะไรก็ตามที่เกิดไอเดียใหม่ ส่วนใหญ่จะแค่โน๊ตไว้ในสมุดสั้นๆ ครับ เช่น ม้าไฟมีปีก, อุโมงค์มืดๆ มีน้ำขัง, เถาวัลย์ยักษ์, ต้นไม้เรืองแสง, ฝูงปลาบนท้องฟ้า, ห้องที่เต็มไปด้วยนาฬิกา, ผีเสื้อยักษ์ ฯลฯ จดไว้หลายๆ หัวข้อ อันนี้ช่วยได้เยอะเวลาคิดไรไม่ออก

จะมีสนุกๆ ท้าทายหน่อยก็ประเภททำงานแนว Speedpaint ครับ คือผมเคยขลุกอยู่ใน Facebook กรุ๊ปนึง Admin จะให้โจทย์ทุกวัน กติกาวาดแค่ 30 นาทีจบงาน โจทย์พวกนี้ผมก็เก็บมาต่อยอดเวลาวาดงานชิ้นต่อๆ ไปอีกทีครับ

การใช้สีในงานผมได้มาจากการดูหนังซะส่วนใหญ่ ชอบดูพวก Cinematic Colour Palette ในหนังด้วยครับ และผมก็มีวิธีคิดแบบหยาบๆ ของผมเอง 3 ข้อที่จะต้องมีในงาน

  1. ตัว Main Object
  2. Background
  3. แสง Highlight

คือทั้ง 3 ข้อนี้สีต้องไม่ใช่น้ำหนัก(Value)เดียวกันครับ อีกอย่างที่ช่วยมากๆ คือดูภาพถ่ายพวก Landscape ครับ แต่ก่อนผมไม่รู้จริงๆ นะทั้งๆ ที่เรื่ององค์ประกอบมันเบสิคมาก เช่น Centre Composition, Rule of Thirds, Leading Lines, Depth งี้ คนถ่ายรูปเขาให้ความสำคัญเรื่องพวกนี้ยอมรับว่าได้ความรู้จากการดูพวกภาพถ่ายมากกว่าดูจากงานวาดครับ

5. เบียร์สนใจและอยากทราบว่าพี่อาร์ตก้าวเข้ามาสู่วงการ Microstock ได้ยังไง และเส้นทางนี้มีความสำคัญสำหรับพี่อาร์ตมากแค่ไหน ณ วันนี้ แล้วตอนนั้นคิดว่านี่จะเป็นเส้นทางที่จะทำให้ตัวพี่อาร์ตเองได้ก้าวสู่เส้นทางที่ใหญ่ขึ้นและดีมากยิ่งขึ้นกว่าการโฟกัสแค่วันต่อวันหรือเปล่าคะ และแน่นอนว่าการทำงานเป็นฟรีแลนซ์จะได้รับอิสระมากกว่า พี่อาร์ตได้ค้นพบคุณภาพชีวิตที่ดีกว่าและได้เปิดโอกาสให้ตัวเองได้ทำสิ่งที่ตัวเองมีความสุขกับชีวิตแล้วหรือยังคะ

ช่วงทำงานประจำในช่วงที่ฝึกวาดรูปในสาย Digital ไปด้วยอยู่ ผมก็ชอบโพสใน Facebook ทั้งงาน Digital Painting ทั้งงานสเก็ตช์พวก Landscape บ่อยๆ เพื่อนมันเห็นก็แนะนำครับว่า เอ้อ..ทำไมไม่ลองสเก็ตช์แบบเวคเตอร์เลยส่งขายได้ ผมก็เฮ่ย..มีขายด้วยเรอะ..ก็เลยศึกษาอยู่พักนึง แล้วก็เห็นว่ามีคน Drawing เยอะแยะเลยนี่หว่า

บางคนไม่ได้ทำเวคเตอร์นี่เป็นไฟล์ JPG ทั่วไปด้วยซ้ำ..เข้าทางเราแล้วงี้ก็เลยส่งงานสเก็ตช์ไปสอบแนบกับรูปวาด Digital Painting ไปด้วย ตอนแรกก็ไม่ผ่านเพราะยังงงๆ ลืมใส่โน่นลืมแนบนี่ ทำอยู่สองเดือนกว่าจะสอบผ่าน 3 - 4 เดือนถัดมาเริ่มขายได้และมองเห็นว่าจริงๆ แล้วไม่ใช่งาน Drawing ที่ขายได้แต่กลับเป็นพวกภาพเพ้นท์ที่เราแนบแถมไปตอนสอบต่างหากที่เริ่มขายดี ผมเลยโฟกัสงาน Digital Painting มากขึ้นๆๆ จนเป็นทุกวันนี้

3 - 4 เดือนแรกเริ่มขายได้บ้างแต่ก็ไม่ค่อยคาดหวังอะไรจากมันครับ ตอนนั้นเห็นคนอื่นโม้ๆ กันว่าได้กันหลายหมื่นหลายแสน หูยย..ไม่เชื่อครับคิดว่าโม้ต่อกันมาแน่ๆ 555+ เลยตั้งเป้าไว้แค่ได้ซักค่าไฟทุกเดือนนะชีวิตนี้พอแล้ว ฮาาาา จริงๆ เพราะผมไม่เชื่อว่าเขาขายได้กันเป็นหมื่นๆ

มันจึงเป็นข้อดีทำให้ผมเข้ามาโดยยังไม่โฟกัสเงินมากนักแค่ทำเอามันส์ไว้ก่อน

ผ่านมาจะ 6 ปีแล้วมองกลับไปโชคดีจริงๆ ที่ผมคิดแบบนั้น ทุกวันนี้ยอมรับว่าคาดหวังกว่าเมื่อก่อนครับแต่ก็พยายามระลึกถึงวันแรกเสมอว่าเรามาไกลแล้วคือไต่ขึ้นไปอีกก็ดีแหละแต่อยู่กับที่ก็ไม่ควรไปผิดหวังอะไร โอกาสงานอะไรเข้ามาก็รับบ้างเผื่อวันนึงมันต่อยอดได้ ณ ตอนนี้คุณภาพชีวิตของการทำงานก็ดีกว่าตอนทำงานประจำแหละครับอย่างน้อยก็จัดสรรค์เวลาได้ง่าย มีความสุขดีครับ คิดว่างาน Stock คือเส้นทางของผม ต้องย้ำว่า “ณ ตอนนี้” ก่อนเพราะเราควบคุมทุกอย่างไม่ได้

6. ตอนที่เบียร์กำลังเตรียมคำถามนั้นเบียร์ได้ค้นหาข้อมูลเพิ่มเติมค่อนข้างเยอเกี่ยวกับพี่อาร์ตแล้วก็ได้พบกับบทสัมภาษณ์ของพี่อาร์ตก่อนหน้านี้กับ Adobe และ Depositphotos ในฉบับภาษาอังกฤษ บทสัมภาษณ์เหล่านั้นได้แสดงให้รู้ถึงข้อมูลเชิงลึกหลายๆ อย่างเกี่ยวกับตัวพี่อาร์ตและงาน Art ของพี่ แต่เบียร์ต้องการถามคำถามเกี่ยวกับข้อเท็จจริงของการเริ่มต้นในวงการนี้สำหรับศิลปินชาวไทยและสิ่งที่ท้าทายในปัจจุบัน ในช่วงเริ่มต้นแรกๆ นั้นยากแค่ไหนกับการพยายามทำให้งานของตัวเองไปปรากฏอยู่ตรงหน้าคนที่ใช่เพื่อให้ได้รับการจ้างงาน แล้วตอนไหนที่ทำให้ได้เจอกับลูกค้าคนที่ต้องการงานของเราจริงๆ และพี่อาร์ตเคยมีปัญหาด้านการสื่อสารกับลูกค้าเพราะมีภาษามาเป็นเครื่องกั้นบ้างมั้ยคะ

มันคงตอบไม่ได้เต็มปากที่จะบอกว่าผมพยายามมากสุดๆ เพื่อที่จะให้คนอื่นได้มองเห็น เพราะเราไม่ได้ควบคุมทุกอย่าง บางคนเก่งกว่านี้ขยันกว่านี้แต่จังหวะโอกาสยังไม่มาก็มีครับ

ผมแค่คิดว่าอะไรที่ชอบก็ฝึกไว้หัดไว้ให้ชำนาญ พอเจอโอกาสหรือเส้นทางไหนที่คิดว่าเราไปได้แน่ๆ ไม่ท้อแน่ๆ มันก็พร้อมจะไปได้เลย

ถ้าในมุมคนทำงานวาดรูปผมคิดว่าทำอะไรให้มีจุดยืนของตัวเองชัดเจนที่สุดเป็นเรื่องดีครับ

ตอนเราฝึกเราเดินตามเขาได้ครับ แต่อย่านานเราเองก็ต้องพยายามฉีกออกมา

งานผมเองก็คล้ายงานศิลปินคนอื่นๆ เดี๋ยวดูคนนี้ทีคนโน้นทีแต่จะพยายามสำเหนียกตัวเองว่าเราจะตามเขาตลอดไปไม่ได้ต้องพัฒนาเองบ้าง ทุกวันนี้ก็พยายามฝึกฝนให้งานดีขึ้น

ถ้าสไตล์เราชัดเจนมากขึ้นคนย่อมจำได้ครับ เปรียบเทียบเหมือนเราฟังเพลง..วงนี้มีสไตล์ชัดเจนทุกอัลบั้มมีเอกลักษณ์ทั้งซาวด์ทั้งเสียงร้องก็ย่อมเป็นที่จดจำได้ง่าย

ผมมองว่า “สไตล์” มันอิมแพคต่อคนดูมากกว่า “ฝีมือ”

ทีนี้ที่ผมบอกว่า “สิ่งที่เราควบคุมไม่ได้” นั่นก็คือตลาด Microstock นั่นแหละครับมันเป็นเรื่องการตลาดเรื่องธุรกิจที่เราไม่ได้กำหนดเองเราเป็นเพียงคนสร้างผลงานเข้าไปในระบบ ผมถึงบอกว่าผมไม่ได้มาด้วยความพยายามมุ่งมั่นสุดๆ เพื่อให้คนอื่นมาเห็นงาน, มาจ้าง, มาสัมภาษณ์ขนาดนั้น มันเป็นเรื่องของจังหวะและโอกาสด้วยครับ..10 ปีที่แล้วผมตั้งใจวาดงานเหมือนกันนะแต่ไม่เห็นจะมีใครมาสนใจเลยด้วยซ้ำ ฮ่าๆ

ข้อดีมากๆ ของตลาด Microstock คือเมื่อการขายงานจำนวนมากของผมเป็นที่รู้จัก “ระดับนึง” ผมมองว่านั่นคือการนำเสนอผลงานของตัวเองแล้วครับ ว่าเราถนัดอะไร, แนวทางเป็นยังไง, ชอบวาดเนื้อหาแบบไหน ผู้คนที่เห็นงานเราเขาย่อมตัดสินได้ว่าเขาถูกใจงานเราหรือไม่ ถ้าเขาถูกใจสนใจจะติดต่อผมเพื่อจ้างทำงานหรือจะซื้องาน การพยายามหาช่องทางติดต่อเรามันเหมือนการคัดคนที่สนใจงานเราจริงๆ แล้วครับ ทำให้เราสามารถต่อรองได้มากขึ้น ผมตระหนักเสมอว่าผมไม่ใช่มืออาชีพผมมือใหม่มากในสาย Freelance Digital Artist จึงจำเป็นต้องชี้แจงข้อเสียของตัวเองด้วย เช่น

  • “เอ่อ..ผมไม่คล่องภาษาอังกฤษนะ บางทีอาจจะติดขัดบ้าง”
  • “ผมติดขัดงานอื่นอยู่ อาจจะใช้เวลาทำงานของคุณมากขึ้นนะครับ”
  • “ผมทำคาแรคเตอร์ดีไซน์ไม่ได้นะ เพราะผมไม่เก่งเรื่องการเขียน Anatomy”
  • “งานผมเป็นงานเน้นสโตรกที่แปรงนะอาจจะดูหยาบๆ”
  • “ไม่ได้เก็บดีเทลมาก แต่ผมเน้นบรรยากาศมากกว่าครับ”

เป็นต้น

เงื่อนไขข้อบกพร่องเหล่านี้ผมบอกเขาไปเลยก่อนดีลงานเราจะได้ไม่เกร็งครับ เพราะเขาเป็นฝ่ายติดต่อมาไงครับผมเลยบอกไปได้เต็มปาก แต่ลองมองกลับกันสิ ถ้าไม่มี Microstock ทำตลาดให้ แล้วผมเป็นฝ่ายไปติดต่อเขา, เสนอพอร์ตงานให้เขาดู ลองบอกข้อเสีย, เงื่อนไขการทำงานแบบนั้นสิ ใครเขาจะสนใจล่ะครับ

และเรื่องภาษาเนี่ยผมเองก็พออ่านออกเขียนได้..บ้างไม่ได้บ้าง 555+ กูเกิ้ลคอยช่วยชีวิตครับ ลูกค้าบางคนเขาก็แปลจากภาษาเขาเป็นอังกฤษอีกทีเหมือนกันครับ ก็งมๆกันไปเพราะไม่ได้ชวนคุยสัพเพเหระคุยแต่เรื่องงานมันไม่ได้ยากอะไร ยังไงมันก็ควรรู้ไว้บ้างกูเกิ้ลไม่ได้ฉลาด100%

7. ให้ลองคิดย้อนกลับไปในวันที่เริ่มทำงาน Art แรกๆ กับงาน Art ในตอนนี้ ถ้าลองมองกลับดูมีสิ่งไหนที่พี่อาร์ตอยากจะทำแตกต่างจากตอนนั้นหรือเปล่าคะ อยากให้พี่อาร์ตช่วยแนะนำเคล็ดลับหรือคำแนะนำดีๆ ที่จะช่วยเป็นแนวทางให้กับคนที่กำลังอยากจะเป็นนักวาดภาพ กลุ่มคนที่กำลังค้นหาแนวทางตัวเองอยู่แต่ยังไม่เจอ และคนที่อยากสร้างรายได้ให้กับงาน Art ของตัวเองสักหน่อยค่ะ

ผมว่างานผมมันค่อยๆ เปลี่ยนไปเรื่อยๆ อยู่แล้วครับเพียงแต่มันไม่ได้เปลี่ยนหรือแตกต่างไปแบบชัดเจน มันค่อยๆ เปลี่ยนไปตามช่วงเวลานั้นว่าผมกำลังสนใจอะไร แต่ถ้าจะมองเป็นนามธรรมสิ่งเดียวที่อยากกลับไปเปลี่ยนและอยากทำในปัจจุบันดีขึ้นคือ

ลดอีโก้ในงานครับ

ผมย้อนกลับไปดูงานเก่าๆ ผมรู้สึกเสมอว่า ทำไมมันเต็มไปด้วยความอวดดีมั่นใจขนาดนั้น คิดว่าตอนนั้นเราเก่งเหลือเกิน ซึ่งจริงๆ แล้วยังต้องฝึกอีกเยอะไอ้หนู 555+ งานของทุกวันนี้ก็ยังรู้สึกแบบนั้นอยู่เป็นข้อเสียจริงๆ มันเป็นมุมมองที่มีต่องานตัวเองน่ะครับ บางทีมันจะทำให้เราพัฒนางานช้าไปด้วย

เคล็ดลับในการสร้างงานดีๆ? ก็ฝึกฝนครับมันไม่มีวิธีลัดซักเท่าไรเพราะถ้ามีผมก็คงทำเหมือนกัน 555+

อย่างน้อยที่สุดขอให้เริ่มจากทำในสิ่งที่เราชอบครับ ทำแล้วสนุกทำแล้วไม่เหนื่อยนั่นแหละครับแต่ก็ควรศึกษาจากแหล่งข้อมูลที่ถูกต้องด้วย

สำหรับคนที่อยากสร้างรายได้..ตอบแบบความจริงของชีวิตเลยนะครับ..ชีวิตทุกคนต้องใช้เงินขับเคลื่อน เราจึงควรทำสิ่งที่ตรงคนเขาพร้อมซื้อครับ คืออะไรก็ได้ที่ได้เงินและตรงกับความถนัดเราหรือใกล้เคียงที่สุดหาจุดที่สมดุลย์ อันนั้นก็คงพอไปได้ครับแล้วค่อยๆ หาช่องทางโอกาสต่อยอดไปอีกจะเป็นยอดเงินหรือจะให้ตรงที่เราถนัดกว่านี้ก็ว่ากันไป

8. อยากให้ช่วยแชร์ Workflow กระบวนการทำงานครีเอทีฟของพี่อาร์ต ระยะเวลาที่ใช้ไปกับงานแต่ละชิ้นโดยประมาณ และสิ่งที่พี่อาร์ตทำนอกเหนือจากงาน Art มีอะไรบ้าง สิ่งที่สามารถช่วยกระตุ้นให้มีความตื่นตัวและสามารถทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพคะ

ขอเรียง Step เป็นข้อๆ นะครับ

  • กำหนดห้วข้อหรือเนื้อหาที่จะวาด ตามที่ได้อธิบายไว้ข้อที่ผ่านๆ มาครับ พอผมได้แล้วต่อมาก็คิดว่าในภาพต้องมีอะไรบ้าง ซึ่งก็จริงๆ ก็ไม่กี่อย่าง คือ 1. Main Object (คน, สัตว์, สิ่งที่จะนำเสนอ) กับ 2. Background
  • วาด Background ซีนที่มีเรื่องราวไม่ต้องซับซ้อน เช่น ทะเล ภูเขา ท้องฟ้า แม่น้ำ ฯลฯ ให้เสร็จเกือบทั้งหมด
  • วาด Main Object ใส่เข้าไปโดยน้ำหนัก(Value) ต้องตัดกับวิวข้างหลัง, วิวมืด Main ต้องสว่าง, วิวสว่าง Main ต้องมืด
  • ตัว Main Object ที่ดีต้องบอกเรื่องราวได้แม้จะไม่ใส่ดีเทล จึงเป็นที่มาในการฝึกทำ Silhouette Style คือประมาณเรามองคนแค่เงาดำๆโดยไม่เห็นเสื้อผ้าหน้าผมแต่สามารถรู้ว่าเขาทำอะไรอยู่
  • ถ้าสื่อไม่ได้ขนาดนั้นก็ไม่ซีเรียสเพราะยังไงซะผมก็ต้องเติมรายละเอียดเพิ่มและ Background ยังทำหน้าที่ขับบรรยากาศในงานระดับนึงแล้ว
  • สุดท้ายใส่ดีเทลเล็กๆ น้อยๆ ที่ช่วยให้มีเรื่องราวถูกขยายขึ้น เช่น ถ้าสื่อดาร์คๆจากคนยืนเฉยๆ อาจจะถือมีด, ปืน ถ้าใสๆ ก็ถือดอกไม้ ถือคทาวิเศษ มือไม้ชี้โบ๊ชี้เบ๊เพื่อเล่าเรื่องมากขึ้น แม้กระทั้ง Background ใส่ฝน, หมอก, ไฟ, หิมะ ก็สามารถช่วยสร้างบรรยากาศมากขึ้น

พอผมคิดเป็นขั้นตอนง่ายๆ การทำงานก็จะไหลลื่นเราจะสังเกตุได้ว่าอะไรเกินอะไรขาดครับ เมื่อก่อนงานผมใช้เวลา 30 นาที - 1 ชั่วโมง ซึ่งเน้นจำนวน ทำ 30 - 40 รูปต่อเดือนเพื่อเร่งจำนวนทำส่ง Stock ช่วงนั้นเลยฝึกได้เยอะครับ แต่หลังๆ ผมคิดว่าผมควรทำปราณีตขึ้นใช้เวลาเฉลี่ยๆ ก็ 2.30 ชั่วโมง

ทำน้อยขนาดนี้เวลาที่เหลือเอาไปทำอะไร? ก็ไปส่องดูงานคนอื่นครับมันแทบเป็นงานอดิเรกไปแล้ว บางทีกำลังจะนอนเล่นเกมส์ เปิดเจอภาพสวยๆ ในเน็ทก็เดินไปปิดทีวีแล้วมานั่งเล่นเน็ทต่อเฉยเลย 55+

9. พี่อาร์ตมีคอร์สหรือวิดีโอบทเรียนสอนที่สามารถแนะนำให้กับคนที่สนใจและต้องการเรียนรู้เพิ่มเติมเกี่ยวกับการทำงาน Digital Painting บ้างมั้ยคะและถ้าหากอยากจะลองทำงานแบบนี้บ้างจะต้องเริ่มเรียนรู้จากตรงไหนก่อน

แจ้งไว้ก่อนส่วนตัวแล้วผมคงไม่มีคอร์สของตัวเองครับเพราะผมสอนคนไม่ค่อยเป็น ผมเองก็ค่อยๆ เรียนรู้ซึมซับจากหลายๆ ที่มาเรื่อยๆ โดยใช้เวลานานเลยไม่รู้ว่าอะไรเป็นจุดเริ่มต้นของการเรียน Digital Painting เวลามีคนถามผมแนะนำแค่ไปหาในยูทูปครับ 555+ คือมันเยอะแยะเลย ยกตัวอย่าง 2 ชาแนลนี้น่าจะฝึกทักษะวาดรูปได้ดีและขยับมาสายดิจิตอลได้ครับ

Cerberus TH

Asuka111 Art

10. พี่อาร์ตได้พบงานของตัวเองตามแหล่งไหนมาบ้างคะ แล้วมีแพลนอยากจะลองทำอย่างอื่นที่แตกต่างจากเดิมเพื่อค้นหากระบวนการทำงานหรือสไตล์ใหม่ๆ บ้างหรือเปล่า และพี่อาร์ตคิดอยากจะลองนำงาน Art ของตัวเองมาทำให้ดูมีชีวิตชีวาด้วย Motion Graphic บ้างมั้ยคะ

จริงๆ เจองานก็ตามเว็บทั่วไปผ่านตาเยอะครับแต่ไม่ค่อยได้สังเกตุว่าเนื้อหาประเภทไหนบ้าง ส่วนใหญ่ที่เจอบ่อยๆ ก็ปกเพลง, ปกนิยาย, บอร์ดเกมส์ครับ เคยเจออันนึงในเน็ท(ไม่มีรูปให้ดูนะครับ)ประทับใจดีน่าจะเป็นโรงแรมหรืออะไรซักอย่าง เขาจะปริ๊นท์งานเข้ากรอบสวยเลยแปะผนังโถงทางเดินน่าจะสิบรูปได้ ประหนึ่งว่าเป็นแกลอรี่ ที่มันตลกคือห้องตัวเองแท้ๆ ยังไม่ค่อยแปะรูปเท่าไรเลย เห็นแล้วรู้สึกว่าเขาชื่นชมงานเรานะเพราะไม่มีงานคนอื่นคละเลย

เรื่องแพลนงานแนวที่แตกต่างไป..ปีหน้ามีในหัวอยู่ครับแต่ขอเก็บเป็นไอเดียก่อนยังไม่ตกผลึกครับ

ส่วน Motion Graphic เคยลองทำครับ แต่ไม่ค่อยคล่องถ้าทำจำนวนมากๆ อาจจะเวิร์คซึ่งมันใช้เวลามากกว่าภาพนิ่งแน่ๆ เลยพับโครงการไป แต่ก็เห็นในยูทูปนะเอางานภาพนิ่งผมทำภาพเคลื่อนไหวเยอะแยะเลยสวยกว่าเจ้าของผลงานทำขายอีก 55+

11. งานไหนที่พี่อาร์ตคิดว่าเป็นงานที่ท้าทายมากที่สุดตั้งแต่ที่ได้ทำงานมาทั้งหมด และช่วยอธิบายเหตุผลหน่อยว่าเป็นเพราะอะไรคะ

อย่างที่บอกผมค่อนข้างใหม่ในสายนี้ งาน Commission ต่างๆ(งานจ้าง)ถือว่าท้าทายเกือบหมดแหละครับ ที่ตื่นเต้นหน่อยอาจจะเป็นงานโปรเจคท์แรกๆ ที่ดันรับมาทีเดียวสิบกว่ารูป งงไปหมดเพราะไม่เคยรับเองและจำนวนเยอะๆ เหมือนทหารที่เพิ่งเคยออกสนามรบอ่ะครับ 55+ ต้องมาแปลบรี๊ฟหา Reference แต่พอจบงานนั้นก็มั่นใจมากขึ้นครับ

ถ้าไม่นับตัวงานแต่เป็นอีเว้นท์คงเป็น Inktober Challenge ของปีที่แล้วครับ การวาดตามโจทย์เป็นอะไรที่ต้องใช้ความคิดอยู่แล้ว ยังต้องมาวาดวันละรูปจนครบเดือนอีก ยากกว่าวาดรูปส่ง Stock เดือนละ 40 - 50 รูปเสียอีก

12. เบียร์ได้ทราบมาว่าพี่อาร์ตเป็นบุคคลที่ติดต่อได้ยากมาก ถ้าหากมีหลายคนอยากจะศึกษาและชมผลงานของพี่อาร์ต มีช่องทาง Social Media หรือช่องทางอื่นๆ ช่องทางไหนที่สามารถติดตามผลงานของพี่อาร์ตได้บ้างคะ

555+ ติดต่อยาก..อันนี้คือคำถามหรือแซวอ่ะครับ…

ตอนนี้มีแค่ Facebook ส่วนตัวแปะผลงานบ้างตามบุญตามกรรมครับ ยังไม่คิดจะเปิดเพจ,โซเชียลมีเดียช่องอื่นๆ ต้องขออภัยจริงๆ มีเหตุผลส่วนตัวที่ไม่ต้องการเปิดช่องทางมากมาย เอาเป็นว่าผมแปะลิ้งค์ที่น่าสนใจต่อการทำงานของผมแทนละกันนะครับ ส่วนงานผมทั้งหมดไปกองอยู่ที่

ShutterStock

Facebook: Grand-f Tl

ต้องขอขอบคุณพี่อาร์ตเป็นอย่างสูงที่ได้มาแชร์ประสบการณ์แนวคิดดีๆ และเทคนิคการทำงานในบทสัมภาษณ์ครั้งนี้นะคะ เบียร์คิดว่าความรู้จากมุมมองและสิ่งที่ได้รับมานั้นมีประโยชน์และช่วยเป็นแรงบันดาลใจในการทำงานมากๆ ไม่ใช่แค่เฉพาะเรื่อง Digital Painting เพียงอย่างเดียว แต่สามารถไปปรับใช้กับการทำงานด้านอื่นๆ ได้อีกด้วยค่ะ

สามารถติดตามบทความรวมถึงข้อมูลข่าวสารต่างๆ ที่ Facebook Fanpage : Biruoh ได้อีกช่องทางนะคะ https://www.facebook.com/biruoh

--

--