อธิบาย Wim Hof Method ทุกอย่างในบทความเดียว — เริ่มต้นฝึกต้องรู้อะไรบ้าง

Charkrid Th.
BoBoat Yogi Life
Published in
5 min readJul 2, 2022

คำเตือน: ฝึกด้วยความเข้าใจ ปลอดภัย ด้วยความหวังดีจากครูสอนโยคะ, ปราณายามะ BoBoat Yogi Life

Wim Hof Method เป็นหลักการดูแลสุขภาพ โดยใช้การหายใจ + การใช้ความเย็น และการควบคุมจิตใจ มาบำบัดหรือปรับสภาพร่างกายให้มีสุขภาพดี มีผู้ปฎิบัติตามจำนวนมากหายจากโรคเรื้อรังต่างๆ หรือสามารถทำอะไรที่ท้าทายเกินขีดจำกัดของมนุษย์ได้ อย่างเช่นที่คุณ Wim Hof เจ้าของหลักการเอาตัวเองเป็นเครื่องทดลองทางวิทยาศาสตร์ ท้าให้นักวิจัยเอาร่างกายและวิธีการของเขาไปทดลอง.. แล้วสามารถใช้ร่างกายทำลายสถิติโลกได้จำนวนมากกว่า 26 รายการ

สถิติโลกที่ลุง Wim Hof ทำลายมาแล้ว

ไม่ว่าจะเป็นการแช่ในน้ำแข็งเกือบสองชั่วโมง (16 ครั้ง), การขึ้นภูเขา. Mt.Kilimanjaro สูงกว่า 5800 เมตร ในสภาพหนาวเย็นโดยไม่ใส่เสื้อผ้าในเวลาน้อยกว่านักปีนเขาที่ชำนาญสี่เท่า และไม่ป่วยเป็นโรคที่ราบสูงแต่อย่างใด, สถิติวิ่งฮาฟมาราธอนในสภาพหนาวเย็นพื้นน้ำแข็งแต่ไม่ใส่เสื้อผ้า หรือวิ่งฮาฟมาราธอนในทะเลทรายโดยไม่ดื่มน้ำ.. ฯลฯ (ภายหลังมีนักทำลายสถิติรุ่นใหม่เอาชนะลุงไปได้หลายรายการ แต่ในยุคตั้งแต่ปี ค.ศ. 2000 ขึ้นมายังไม่มีใครใช้ร่างกายทำอะไรประหลาดๆ ได้มากเท่าลุงแก)

งงล่ะสิครับ ว่าลุงแกเป็นยอดมนุษย์แบบนี้ได้อย่างไร?
เนื่องจากมีนักวิยาศาสตร์ แพทย์ และนักวิจัยจำนวนมาก เข้ามาศึกษาหลักการนี้ ทำให้เป็นที่นิยมอย่างกว้างขวางในฝั่งตะวันตก แต่ก็เกิดการถกเถียงกันจำนวนมาก เช่นอันตรายมั้ย? ฯลฯ ดังนั้นในบทความนี้ผู้เขียนจึงขอนำเรื่องราวของการฝึกแบบ Wim Hof มาแบ่งปัน ในฐานนะครูโยคะ และปราณายามะ และผู้ที่มีประสบการณ์ฝึกด้วยตนเองมาก่อน เพื่อให้ผู้สนใจทุกท่าน ทำความเข้าใจ และฝึกกันอย่างปลอดภัย

เกี่ยวกับผู้เขียน
ก่อนเข้าสู่เนื้อหา ขอเกริ่นออกตัวก่อนเล็กน้อยเพื่อให้ผู้อ่านที่กำลังสนใจฝึก Wim Hof Method ได้ทำความเข้าใจ

  • ผู้เขียนในขณะนี้เป็นผู้ฝึกโยคะ และสอนโยคะอาสนะ, ปราณายามะ (ฝึกควบคุมลมหายใจ) ที่มีประสบการณ์พอประมาณ
  • ผู้เขียนรู้จัก Wim Hof Method ครั้งแรกเมื่อประมาณ 3 ปีที่แล้ว ได้ลองฝึกบ้าง แต่ช่วงแรกไม่ต่อเนื่องมากนัก และยังไม่ได้ทำการบันทึกผลอย่างละเอียด.. ฝึกทั้งการควบคุมลมหายใจแบบลุง Wim Hof และการแช่น้ำเย็น (Cold Therapy/ Ice Baht)
  • แต่ในช่วงหลายเดือนที่ผ่านมา หลังจากฝึกปราณายามะมาเป็นเวลาพอสมควร จนเข้าถึง, เข้าใจถึงประโยชน์ของการนำลมหายใจแบบต่างๆ มาใช้กับร่างกาย อารณ์ และจิตใจแล้ว ผู้เขียนกลับมาทดลองฝึก Wim Hof Method อีกครั้ง.. แบบต่อเนื่อง, เอาจริง, และบันทึกผล เพราะว่าอยากรู้ด้วยตัวเอง ใช้ร่างกายและประสบการณ์ตรงของตนเองเป็นพยานและเป็นเครื่องเรียนว่าในกระบวนการที่กำลังได้รับความนิยมนี้อยู่ตรงจุดไหน และถ้าเทียบกับศาสตร์ที่ถ่ายทอดมายาวนานแล้วอย่างปราณายามะ หลักการของลุง Wim Hof อยู่ตรงส่วนไหน และมีจุดไหนแตกต่างกันบ้างมั้ย
  • ขณะที่เขียนบทความนี้ ผู้เขียนได้ฝึก Wim Hof Method แบบต่อเนื่องเป็นเวลากว่าหนึ่งเดือนแล้ว ทั้งการหายใจแบบ Wim Hof (ที่เป็นแบบย่อส่วนแบบหนึ่งใน Yogic Breathing + Brastika .. ไว้จะขอเล่าถึงในบทความอื่นไม่งั้นจะยืดยาวเกินไป) และการลงไปแช่ในอ่างน้ำแข็ง.. แต่ที่เพิ่มเติมคือผู้เขียนได้ฝึกการเก็บลมหายใจ (Breath Holding) เทียบกันในภาวะบนบกปกติ กับภาวะแช่ตัวในน้ำเย็นขณะเก็บลมหายใจทั้งขาเข้า, และขาออก.. และทำการวัดชีพจร ความดัน อัตราการเต้นหัวใจเรื่อยๆ โดยในปัจจุบันผู้เขียนสามารถหยุดหายใจได้ประมาณ 3.30–4.0 นาที โดยที่ไม่เกิดการบีบตัว (Contraction) แต่อย่างใด — ** แต่เรื่องนี้ทั้งลุง Wim Hof และผู้เขียนต้องขอไม่แนะนำ หรือจริงๆ ขอห้ามการฝึกเก็บลม/หยุดลมหายใจในน้ำโดยเด็ดขาด เนื่องจากมีโอกาสหมดสติ.. และถ้าอยู่ในน้ำอาจเป็นอันตรายถึงชีวิตได้.. แต่ถ้าบนบกในสภาวะที่อยู่บนเตียงหรือเสื่อโยคะก็ทดลองได้ แต่ให้เน้นฟังร่างกายตัวเอง ไม่ใช่ฝืน หรือกลั้นใจพยายามทำ แบบนั้นจะเป็นอันตราย (ไว้จะขออธิบายต่อไป)
  • หลังจากฝึกไปสักพัก ผู้เขียนพบว่าการหายใจบางแบบในปราณายามะ หรือที่ลุง Wim Hof นำมาใช้ สามารถทำให้ร่างกายควบคุมอุณหภูมิได้จริง และยังช่วยรักษาโรคจากการอักเสบในร่างกายได้อีกด้วย (ในบทความนี้จะพยายามรวบรวมหลักฐานจากงานวิจัยมาประกอบ) นอกจากนี้ในผู้ฝึกที่มีประสบการณ์ สามารถใช้บางรูปแบบของการหายใจควบคุมอัตราการเต้นของหัวใจให้ทำงานช้าลง และทำให้ร่างกายผ่อนคลายอย่างรวดเร็วได้ (ของผู้เขียนสามารถลดจาก 60 กว่าครั้งต่อนาที เหลือต่ำกว่า 40 ครั้งต่อนาทีได้) และสามารถใช้การหายใจโน้มนำระบบ Parasympathetic ให้คลื่นสมองมีความผ่อนคลาย และเข้าสมาธิในระดับลึกได้
  • แต่ด้วยหลักการของลุง Wim Hof เป็นอะไรที่ดู “เกินมนุษย์” หรือเหมือนกับ Superhuman สำหรับคนปกติ.. ทำให้มีทั้งนักวิทยาศาสตร์ แพทย์ และคนทั่วไปที่ยังไม่เข้าใจดีนัก (เพราะยังไม่เคยลองจากประสบการณ์ตรง) หยิบบางเรื่องมาถกเถียงทะเลาะกัน เช่น กลั้นลมหายใจแล้วเลือดจะไม่ไปเลี้ยงสมองมั้ย, เพิ่ม CO2 ในเลือดแล้วไม่อันตรายหรอ, ไม่กลัวเป็นปอดบวมหรอ, ไม่กลัวเป็น Hypothermia หรอ ฯลฯ.. ซึ่งคำถามเหล่านี้ผู้เขียนก็เคยคิดไว้ในใจตั้งแต่ช่วงแรกๆ ที่เริ่มศึกษาเหมือนกัน (ฮาาา)
  • ดังนั้นจากทั้งประสบการณ์ตรง และความรู้ที่พอจะมีในเชิงวิทยาศาสตร์ และครูสอนปราณายามะ ผู้เขียนขอเป็นสะพานในการอธิบายและถ่ายทอดความเข้าใจนี้ให้กับเพื่อนๆ ผู้สนใจฟังกัน ซึ่งน่าจะเป็นประโยชน์บ้างไม่มากก็น้อย
ดีต่อใจจัง..

อะ..ถ้าพร้อมแล้ว ตึ่ง ตึง ตึ้งงงส์.. เรามาเริ่มบทที่หนึ่งของ Wim Hof Method กัน:D

Wim Hof Method

Wim Hof Method คืออะไร?
คุณลง Wim Hof กล่าวว่า หลักการของ Wim Hof รวบรวมสามอย่างเข้าด้วยกัน คือ หนึ่งรูปแบบการหายใจแบบ Wim Hof, สองการใช้ Cold Therapy หรือการไปแช่ในน้ำเย็น, และสาม คือการควบคุมจิตใจ (Mind Control) หรือใช้จิตสั่งว่า “เราทำได้”

และคุณลุงแกใช้หลักการที่ทำได้ง่ายแบบนี้ มาสอนให้คนดูแลสุขภาพ หายป่วยจากโรคมากมาย โดยแบ่งเป็นสามกลุ่มหลักได้แก่ 1.กลุ่มโรคเกี่ยวกับการอักเสบในร่างกาย — ไม่ว่าจะเป็นโรคทางร่างกายอย่างพวกเก๊าท์ โรคที่เกิดจากการอักเสบอย่างพวกออฟฟิตซินโดรม หรือโรคจากความเสื่อมอย่างอัลไซเมอร์ 2. กลุ่มโรคทางอารมณ์และจิตใจและระบบประสาท-ไม่ว่าจะเป็นผู้ป่วยซึมเศร้าเรื้อรัง คนป่วยจากการได้รับแผลรุนแรงทางจิตใจ (โรค PTSD หรือ Post-Traumatic Stress Disorder) โรคเครียดเรื้อรัง 3.กลุ่มโรคที่เกิดจากภูมิคุ้มกัน เช่นภูมิแพ้อากาศ ช่วยเพิ่มความต้านทานต่อไวรัสและเชื้อโรค และอื่นๆ อีกมากมาย.. ที่ฟังดูมหัศจรรย์ เหมือนเว่อร์เกินจริง.. แต่ก็มีคนนำไปปฎิบัติแล้วได้ผลจริงจำนวนมาก จนเกิดเป็นกระแสในฝั่งตะวันตกต่อเนื่องมาหลายปีแล้ว และมีผู้ทดลองหลักการนี้ต่อเนื่องรักษาตัวเองหายจากโรคเรื้องรังจนเขียนหนังสืออกมาอีกหลายเล่ม ประกอบกับลุง Wim Hof เองอนุญาตให้นักวิทยาศาสตร์และนักวิจัยเอาร่างกายของตัวเองไปทดลองและท้าทายหลายๆ เรื่องที่ทางวิทยาศาสตร์การแพทย์บอกว่ามนุษย์ทำแบบนี้ไม่ได้.. จนเป็นที่งงงวยกันและก่อให้เกิดงานวิจัยตามออกมาอีกจำนวนมาก.. จนเกิดเป็นกระแสได้รับความนิยมมากในต่างประเทศ เพราะคนใช้หลักการแค่การหายใจ แช่น้ำเย็น ก็สามารถหายจากอาการป่วยเรื้อรังที่แม้แต่การแพทย์ปัจจุบันยังรักษาได้ยาก

แล้วลุง Wim Hof คิดหลักการดูแลสุขภาพแบบนี้ออกได้ยังไง?
ก่อนจะเล่าถึงวิทยาศาตร์เบื้องหลัง งั้นเรามาฟังประวัติของลุงแกดูสักเล็กน้อยครับ

ประวัติคุณ Wim Hof
Wim Hof เป็นหนึ่งในคนที่ถูกบันทึกไว้ว่าเป็นยอดมนุษย์ในยุคนี้
เป็นผู้ชายวัยกลางคนที่ทำสามารถทำลายสถิติโลก และถูกบันทึกใน Guinness World Records จำนวน 26 รายการ ตั้งแต่ เอาตัวไปแช่ในน้ำแข็งทั้งตัวเป็นเวลานานที่สุดในโลกเกือบสองชั่วโมง, วิ่งฮาฟมาราธอนเร็วที่สุดด้วยเท้าเปล่า, ปีนภูเขาคิลิมานจาโลเร็วทำลายสถิติโลก และที่ยิ่งไปกว่านั้นคือใส่แค่รองเท้ากับกางเกงว่ายน้ำตัวเดียว.. (คุณเอ้ย ถ้าอยากรู้ว่ามันยากแค่ไหนลองคิดถึงสภาพภูเขาสูงที่ปกคลุมด้วยหิมะอุณหภูมิติดลบหลายสิบองศา สภาพลมแรงจัด และมีความสูงชันที่ทำให้นักปีนเขามืออาชีพที่ฝึกมาเป็นปีๆ หลายๆ คนยังต้องค่อยๆ ไต่ความสูงไปเพราะมีโอกาสป่วยจากโรค Altitude sickness ที่ร่างกายปรับตัวฉับพลันเมื่อไปอยู่ในที่สูงและมีออกซิเจนเบาบางไม่ได้.. แต่ลุง Wim Hof ของเราก็ปีนได้สบายๆ ในเวลาแค่ 28 ชั่วโมง ในขณะที่นักปีนเขาที่ชำนาญใช้เวลาเฉลี่ยนที่ 7–9 วัน..)

ไม่ใช่แค่ความเย็นและน้ำแข็ง เพราะมีคนท้าว่าพันธุกรรมลุงแกถูกจริตกับน้ำแข็งรึเปล่า? ลุงแกเลยรับคำท้าเหมือนเดิม ไปวิ่งฟูลมาราธอนในทะเลทราย นามิบ โดยไม่ใส่เสื้อ และไม่ดื่มน้ำเลยสักหยด ได้บันทึกในสถิติโลกมาอีกใบ..)

ทุกๆ ปี ลุง Wim Hof จะพากลุ่มคนที่ต้องการท้าทายร่างกายและจิตใจตัวเองปีนภูเขาหิมะ ในชุดบิกินี่ แล้วไปแช่น้ำเย็นสบายใจเฉิบกัน

หลังจากที่มีคนท้าแกทำลายสถิติโลกไปเรื่อยๆ และมีรายการทีวีชวนไปออกทีวีจำนวนมาก ลุงแกก็เริ่มดังและมีนำวิธีที่ทำให้แกเป็นยอดมนุษย์มาเผยแพร่ เรียกว่า Wim Hof Method ซึ่งรวมหลักการที่ทำง่าย ได้ผลไว (แค่หายใจ กับแช่น้ำเย็น) ตามที่กล่าวมาข้างต้น หลังจากนั้นก็มีคนพากันทำตามวิธีของลุงแก หลายแสนคน และแปลกใจหลายคนหายป่วยจากโรคเรื้อรังจนพากันออกหนังสือเล่าประสบการณ์ของตนเองอีกหลายเล่ม นักวิจัยเอาร่างกายของลุง Wim Hof ไปทดลองหลายรอบ และพากันแปลกใจที่ยังมีอะไรให้ศึกษาเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ แปลกใจที่ร่างกายของมนุษย์สามารถทนอะไรได้มากกว่าที่วิทยาศาสตร์การแพทย์ในยุคนี้ระบุไว้ ไม่ว่าจะเป็นการไม่หายใจเกินสิบนาที หรือแช่ทั้งตัวอยู่ในน้ำแข็งเกือบสองชั่วโมง.. หรือดำน้ำใต้แผ่นน้ำแข็งที่หนาวเย็นเป็นเวลานาน (อันตรายระดับสิบกระโหลกทั้งน้านน.. ห้ามทำตามนะจ๊ะ)

มันชักจะดูเว่อร์ไป.. มีวิจัยยืนยันมั๊ย เล่าให้ฟังในเชิงวิทยาศาตร์หน่อย?

งานวิจัยทางการแพทย์ปี 2014 พร้อมกลุ่มควบคุม เกี่ยวกับการหายใจแบบ Wim Hof กับการเพิ่มระบบภูมิคุ้มกัน https://www.ncbi.nlm.nih.gov/pmc/articles/PMC4798560/pdf/40635_2014_Article_30.pdf

ลุง Wim Hof ชอบเอาตัวเองไปท้าให้คุณหมอและนักวิจัยเอาวิธีการของแกไปยืนยัน เพราะแกคิดว่าจะให้คนอื่นเชื่อได้ในยุคนี้ต้องพิสูจน์เป็นภาษาวิทยาศาสตร์.. และหนึ่งในงานวิจัยที่ได้รับความสนใจมากเป็นการทดลองที่ ลุง Wim Hof สามารถกระตุ้นระบบภูมิคุ้มกันของตนเองได้ โดยใช้หายใจแบบที่เกริ่นมา โดยในงานวิจัยนี้คุณหมอฉีดพิษ หรือ Endotoxin พวก E.coli เข้าไปในร่างกายคุณลุงแก และให้คุณลุงหายใจสู้ และวัดผล.. ซึ่งถ้าเป็นคนปกติหลังโดนเชื้อพวกนี้ก็จะป่วย ไข้ขึ้นสูง หนาวสั่น และมีอาจมีอาการติดเชื้อต่างๆ ตามมา เนื่องจากเชื้อโรคไปกระตุ้นให้เม็ดเลือดขาวทำงานเยอะผิดปกติ และตอบสนองโดยการผลิตสารชนิดต่างๆ ขึ้นมาซึ่งเป็นผลจากการอักเสบ การตอบสนองนี้ทางการแพทย์เรียกว่า Innate Immune Response

แต่สิ่งที่พบจากการวิจัยคือ การหายใจแบบคุณลุงแก สามารถลดค่าดัชนีการตอบสนองต่อเชื้อโรค Endotoxin ต่างๆ ได้ และค่าดัชนีโปรตีนต่างๆ ที่เป็นตัวแสดงผลว่าร่างกายตอบสนองการสร้างโปรตีนที่ช่วยลดการอักเสบสูงขึ้น (เช่นพวก Interleukin6, 8, 10) และจากงานวิจัยนี้พบว่าการหายใจแบบลุงแกกระตุ้นให้ Adrenaline ในร่างกายหลั่งออกมาเพิ่มขึ้นชั่วขณะอย่างมาก (เทียบเท่ากับคนกำลังจะกระโดดบันจี้จัมพ์) ซึ่ง Adrenaline ป้องกันระบบการต่อสู้กับเชื้อโรคได้ (Fight or Flight system) คือภายหลังจากฉีดเชื้อโรคเข้าตัวลุงแกไป ลุงแกมีการตอบสนองแว๊บนึง จากนั้นลุงแกหายใจคุมไว้ ปรากฎว่าไข้ลดลงและร่างกายกลับมาอยู่ในสภาพปกติตามเดิม

ผลการทดลองสรุปจาก https://www.youtube.com/watch?v=A6jqaALpEFM

ปกติแล้วร่างกายเราจะผลิตฮอร์โมน Adrenaline ออกมาได้มากอย่างฉับพลันเมื่อเกิดเหตุการณ์กระตุ้นบางอย่างที่ต้องเอาชีวิตรอด เช่น อาจเคยได้ยินเรื่องเล่าว่าคนที่หนีตายจากไฟไหม้บ้านแบบโอ่งออกมาได้ทั้งใบ ที่เป็นเช่นนี้เพราะ Adrenaline เพิ่มการฉีดเลือดเข้าไปยังกล้ามเนื้อและเนื้อเยื่อต่างๆ ทำให้ร่างกายระเบิดพลังที่สามารถเอาตัวรอดออกมาได้ (Fight or Flight response) ซึ่งตัวฮอร์โมนนี้เองที่ทำหน้าที่เหมือนกับเพิ่มเกราะภายในระบบภูมิคุ้มกันของร่างกาย และ ช่วยให้เลือดเข้าไปเลี้ยงเนื้อเยื่อและเซลที่ต้องการมากขึ้น (พร้อมรบ) ส่งผลให้อาการตอบสนองต่อการติดเชื้อและอักเสบสูงขึ้น

แล้วยังพบอะไรอีก?
นอกจากนี้งานวิจัยนี้ยังพบว่า การหายใจแบบ Wim Hof ช่วยทำให้เลือดเป็นด่าง เนื่องจากมีช่วงที่หายใจแบบแรงและเร็ว (ในศาสตร์โยคะเรียกการหายใจแบบนี้ว่า Brastika) ซึ่งการหายใจแบบนั้น “คล้าย” การหายใจแบบ Hyperventilation (มีฝรั่งหลายท่านบอกว่าคือ Hyperventilation แต่ในทรรศนะของผู้เขียนที่เคยหายใจแบบนี้มาจนเข้าใจ พบว่าแตกต่างกัน เนื่องจากไม่ใช่การหายใจถี่และสั้นแบบที่คนเป็น Panic attack เป็นกัน แต่เป็นการหายใจที่เร็วและแรง โฟกัสไปที่บางส่วนของร่างกายคือตั้งแต่กระบังลมขึ้นไปจนถึงศรีษะ) การหายใจแบบนี้พบว่าทำให้เลือดเป็นด่าง.. เนื่องจากมีการหายใจออกถี่ ทำให้ก๊าซ CO2 ในเลือดลดลง..

เมื่อ CO2 ในเลือดลดลงจากการหายใจออกยาว ความเป็นกรดในเลือดจะลดลง (CO2 เป็นกรด) ค่าเลือดจึงเป็นด่างหลังจากการฝึกหายใจช่วงแรก

นอกจากนี้ในวิทยาศาสตร์การแพทย์ เมื่อเลือดเป็นด่างทำให้เกิดภาวะชั่วขณะที่เม็ดเลือดแดงคาย O2 ให้เซลและเนื้อเยื่อ, อวัยวะ น้อยลง (เรียกว่า Bohr Effect).. ซึ่งข้อดีที่ตามมาคือทำให้ร่างกายในขณะนั้นที่เลือดเป็นด่างปรับตัวให้ใช้ O2 น้อยลง เนื่องจากเม็ดเลือดคาย O2 น้อยลงครับ.. ตรงจุดนี้แหละที่หลายๆ ท่านกังวลใจกันว่าเลือดจะไม่ไปเลี้ยงสมอง.. แต่จากงานวิจัยช่วงหลังๆ มานี้เราพบว่า ถ้าเป็นการฝึกช่วงสั้นๆ กลับเป็นผลดีต่อระบบอวัยวะและเนื้อเยื่อ คือเนื้อเยื่อจะกลับมาหา O2 ภายในเซลมากขึ้น (Survival mode) >> ผลที่วัดออกมาได้อย่างเป็นรูปธรรมคือภายหลังการหายใจแบบดังกล่าว ผู้ฝึกจะสามารถเก็บลมหายใจ (Breath Holding) ได้นานขึ้น.. เช่นเดิมถ้าเก็บลมหายใจได้ 1 นาที ภายหลังการฝึกอาจเพิ่มได้เป็น 1.30 นาที

ซึ่งต่างกับคนที่ไม่ได้กระตุ้นด้วยการออกกำลังการหายใจมาก่อนแล้ว กลั้นหายใจเลย.. ถ้าแบบหลังจะส่งผลเสียทำให้เลือดไปเลี้ยงสมองน้อย แต่แบบแรกหรือแบบของลุง Wim Hof กลับส่งผลดีเพราะสมองถูกกระตุ้นจากการหายใจให้รักษาออกซิเจนไว้ได้นานขึ้น (ทั้งนี้ความสามารถนี้ขึ้นอยู่กับการฝึกฝน เช่นเดียวกับการออกกำลังกาย และไม่ควรฝืนร่างกายจนถึงจุดที่มีการบีบตัวของกระบังลมนานเกินไป.. ถ้าร่างกายต้องการหายใจ ให้หายใจครับ ขอย้ำ!)

นอกจากนี้ การฝึกออกกำลังการหายใจแบบนี้ยังกระตุ้นภูมิคุ้มกันและ Adrenaline
และอีกข้อดีของการ Breath Holding หรือกลั้นลมหายใจ (หลังฝึกหายใจมา) เมื่อกลั้นลมนานถึงจุดหนึ่งที่ CO2 สะสมในเลือดสูงขึ้น, และค่าความเข้นข้น O2 ในเลือดเริ่มลดลง.. ร่างกายจะสั่งให้หายใจ และจากการวิจัยพบว่า “ขณะที่ระบบร่างกายเรียกร้องให้หายใจนี่เอง ที่เป็นการกระตุ้นต่อมหมวกไต ทำให้มีการหลั่งสาร Adrenaline ออกมาด้วยจำนวนมาก พร้อมกับโปรตีนหลายชนิดที่ช่วยลดการอักเสบในเซล” (หรือจะเรียกว่ายาที่ร่างกายผลิตออกมาเองโดยธรรมชาติก็ว่าได้)

Sri Krishnamachaya Modern Pranayama

ดังนั้นสิ่งที่คุณ Wim Hof ทำคือ นำเอาบางส่วนของศาสตร์การหายใจในโยคะที่เรียกว่า Pranayama ที่โยคีฝึกกันมาหลายพันปีแล้ว มาให้นักวิจัยทดลองอย่างเป็นรูปธรรมและมีผลการวิจัยรองรับ.. แต่สิ่งที่งานวิจัยนี้ยังไม่แน่ใจคือ ตอนไหนของการหายใจแบบ Wim Hof ที่ร่างกายหลั่ง Adrenaline ได้มาก ตอนไหนที่ร่างกายเข้าฟื้นฟูการอักเสบได้ และตอนไหนที่ร่างกายค่อยๆ ฟื้นตัวจากโรคทางอารมณ์และจิตใจได้.. (แต่ผู้เขียนพอทราบ อิอิ.. แต่ยกไปไว้ในบทความอื่น เพื่อไม่ให้บทความนี้ยืดยาวเกินไป ไว้ผู้เขียนจะเล่าให้ฟังมากขึ้นเกี่ยวกับงานวิจัยที่เกี่ยวข้องกับการควบคุมการหายใจรูปแบบต่างๆ ในศาสตร์โยคะ หรือปราณายามะ ว่าแต่ละชนิดส่งผลกับกลไกของร่างกายอย่างไรบ้าง

ดีขนาดนี้.. งั้น มาเริ่มต้นฝึก Wim Hof Method กันเลยดีกว่า

สรุปโดยย่อเกี่ยวกับวิทยาศาสตร์การหายใจแบบคุณ Wim Hof (ดูวีดีโอประกอบ นาทีที่ 43)

  • ใช้การหายใจเข้าลึก, ออกยาว สัก 20–30 ครั้ง ขึ้นไป
  • จบแบบการหายใจเร็วๆ แรงๆ สั้นๆ ขึ้นโพรงจมูก (Brastika Pranayama) อย่างน้อย 10 ครั้ง
  • จากนั้นหายใจออกให้เกลี้ยง แล้วกลั้นลมหายใจไว้ ลองจับเวลาดู (เอาเท่าที่ไหว อย่าฝืนร่างกายตัวเองนะ)
  • เมื่อร่างกายเรียกร้องให้หายใจ ให้หายใจเข้าลึก Hold ลมไว้แป๊บนึง แล้วหายใจเข้าลึก ออกยาว ตามปกติสัก 3–4 รอบ เพื่อรีเซ็ตสภาพความเป็นกรด-ด่างในเลือดและในร่างกาย
  • ระหว่างหายใจ ค่า CO2 ในเลือดจะลดลง เนื่องจากหายใจออกเกลี้ยง > เลือดจะเป็นด่าง แต่ค่าความเข้มข้นของ O2 จะสูง (เนื่องจากหายใจเข้าลึกออกยาว)
  • ผลที่ตามมาคือภายหลังจากการหายใจ หากมีการเก็บลมหายใจ (Breath Holding) จะสามารถกลั้นหายใจได้นานขึ้น และในภาวะตั้งแต่การกระตุ้น จนถึงการเก็บลมหายใจ ร่างกายจะมีการผลิตฮอร์โมนที่สำคัญหลายตัวที่สามารถทำให้ต่อสู้กับอาการอักเสบ หรือภาวะที่มีความเครียดสูงต่างๆ ได้มากขึ้น หนึ่งในนั้นคือตัว Adrenaline ซึ่งร่างกายหลั่งออกมามากกว่าการออกกำลังกายทั่วไป 4 เท่า.. เทียบเท่าได้กับคนกระโดดบันจี้จัมพ์ทีเดียว
  • เมื่อฝึกประจำ ทำให้ผู้ฝึกมีความสามารถในการต้านทานความเครียดภายนอกได้สูงขึ้น และมีภูมิคุ้มกันสูงขึ้น.. เช่นลงไปแช่ในน้ำเย็น หรือแบบที่คุณ Wim Hof เดินไม่ใส่เสื้อพาคนขึ้นภูเขาหิมะ ในเวลาทำลายสถิติโลก เป็นต้น หรือในกรณีคนทั่วไป สามารถใช้ฟื้นฟูสุขภาพให้แข็งแรง กระตุ้นภูมิคุ้มกัน และช่วยให้โรคที่เกิดจากการอักเสบหลายอย่างดีขึ้นได้

สำหรับคนที่อยากลองหายใจตามแบบลุง Wim Hof เบื้องต้น สามารถดูและปฎิบัติตาม Animation นี้ได้ครับ
https://www.youtube.com/watch?v=0BNejY1e9ik

แต่เรื่องราวของ Wim Hof Method ยังมีอีกบางส่วน แล้วพบกันใหม่ในโพสหน้า เกี่ยวกับการแช่น้ำแข็งของลุงแกครับ

--

--