[รีวิว + สปอย] หนังสือ : ชีวิตเรามีแค่สี่พันสัปดาห์

Mos Noppadol Rattanawisadrat
BookTH
Published in
4 min readDec 9, 2022

เรื่องตลกร้ายคือ ยิ่งคุณเร่งตอบอีเมล คุณก็ยิ่งมีงานเพิ่ม เพราะคนตอบกลับมา

  • ถ้าคุณคิดว่าตัวเองมีเวลาสำหรับทุกสิ่ง คุณก็มีแนวโน้มน้อยลงที่จะตั้งคำถามว่า สิ่งนี้คุ้มค่าทีจะทำหรือไม่

เราเป็นผลรวมของทุกช่วงเวลาในชีวิตของเราเอง

รีวิว

  • เล่มนี้จะเปลี่ยนทัศนคติของคุณกับการใช้เวลา ที่จะทำให้เวลาของคุณมีความหมายต่อคุณมากขึ้น
  • เราใช้ชีวิตแบบ Productive กันมานาน ว่าแต่มันคือสิ่งที่เราอยากได้จริงๆ ใช่ไหมนะ
  • เนื้อหาเป็นทั้งปรัชญาที่ชวนคุณคิด และมีเครื่องมือในการจัดการเวลาแบบที่ไม่ทำให้เราบ้าไปก่อน
  • อ่านจบแล้ว คุณจะได้เริ่มใช้ชีวิต ไม่ใช่ทำงาน แก่ แล้วจากไป

Basic info

226 หน้า 265 บาท

ซื้อหนังสือ : https://shope.ee/10SwlKBma0

อ่านด้วยกันบน IG : https://www.instagram.com/mal2u_book/

Link ย่อ : Bit.ly/MosBook2022-041

สปอย

อายุขัยเฉลี่ยคนอยู่ที่ 80 ปี คุณจะมีเวลาประมาณ 4,000 สัปดาห์

เราได้รับความสามารถทางปัญญาให้วางแผนการที่ทะเยอทะยานได้โดยแทบไม่มีขีดจำกัด

แต่ไม่มีเวลาเพื่อที่จะลงมือทำมัน

หินกับขวดโหล อีกมุมหนึ่ง

หลายคนน่าจะได้เคยยินเรื่องการจัดลำดับความสำคัญ ด้วยการใช้ ขวดโหล หินก้อนใหญ่ (สิ่งสำคัญ) และ กรวด (สิ่งสำคัญรองลงมา ) เป็นตัวเปรียบเทียบ

บทสรุปจะบอกว่า ให้เราเอาหินซึ่งสำคัญ ใส่ไปก่อน ถึงจะใส่ทั้งหินและกรวดทั้งหมด ลงไปได้

ซึ่งเป็นเรื่องเล่าที่ทำให้เราเข้าใจผิด ว่าเราสามารถจัดการกับทุกสิ่งในชีวิตได้

เรื่องจริงคือ เรามีเรื่องสำคัญ(หิน) มากกว่าที่จะใส่ลงไปในขวดโหล (เวลา) ของเราตั้งแต่แรกแล้ว

สิ่งสำคัญจริงๆคือ การ เลือกหินที่จะใส่เข้าไป ไม่ใช่พยายามใส่ทุกอย่างลงไป

และขวดโหล ของแต่ละคนใหญ่ไม่เท่ากัน…

ทำไมเราไม่ควรหวัง

  • ผู้คนมักเชื่ออยู่เสมอว่ายุคตัวเองแย่ ทั้งที่ทุกวันนี้มีแต่ข่าวดี อัตราการตายของทารก ลดลง ความยากจนสุดขีดลดลง ความเหลื่อล้ำของโลกกำลังลดลง คนรู้หนังสือเยอะขึ้น โอกาสถูกฆ่าตายในสงครามก็ลดลง
  • แต่ก็นะ เรื่องแย่ๆ มันมักจะออกข่าวบ่อยกว่า จนทำให้ผู้คนหวังว่าอะไรๆจะดีขึ้น
  • แต่การหวัง เป็นเหมือนคำสาป เพราะคนจะหวังให้คนที่ยิ่งใหญ่กว่าจัดการให้ เช่น รัฐบาล พระเจ้า กลุ่มนักเคลื่อนไหวรุ่นต่อไป หรือก็แค่ ‘อนาคต’

“เราไม่ต้อง ‘หวัง’ อีกต่อไปแล้ว เราแค่ลงมือทำ

  • ทำใจให้ชินกับความสิ้นหวังเอาไว้ จริงๆทุกอย่างก็ไม่โอเคอยู่แล้ว
  • แต่แล้วไงหล่ะ เราก็ยังอยู่นี่ ยังรอด
  • เลิกหวังอะไรจากสิ่งที่คุณควบคุมไม่ได้ แล้วเริ่มลงมือทำสักที

10 เครื่องมือ สำหรับการเปิดใจยอมรับขีดจำกัดของคุณ

1. ใช้วิธีกำหนดปริมาณที่แน่นอนสู่การมีผลิตภาพ

  • ทำ 2 List อันนึงคือกำลังคิดจะทำ อีกอันคือมีให้ทำ
  • อันที่จะทำ ห้ามเกิน 10 อย่าง และห้ามใส่ของใหม่จนกว่างานเก่าจะเสร็จ
  • กำหนดเวลาทำงานให้ชัดเจนด้วย เช่น 17.30 เพราะถ้าสมองรู้ว่าจะต้องเสร็จ 17.30 มันก็จะหาทางทำให้เสร็จตอน 17.30 ไม่ใช่ปล่อยไหลไปเรื่อยๆ

2. จัดลำดับ จัดลำดับ จัดลำดับ

  • ทำทีละอย่าง
  • ฝึกตัวเองให้อดทนเห็นงานใหม่ ยังไม่เริ่ม ได้
  • ถ้างานเก่าไม่เสร็จ ไปเริ่มงานใหม่ แล้วมันจะไม่มีอะไรเสร็จสักอย่าง

3. ตัดสินใจล่วงหน้าว่าจะล้มเหลวเรื่องอะไร

  • คนเราไม่ต้องเก่งทุกอย่าง
  • ประกาศให้โลกรู้ไปเลยว่าคุณจะไม่เก่งด้านไหน ไม่ต้องเสียเวลาไปกังวลกับมัน

4. โฟกัสสิ่งที่ทำเสร็จแล้ว ไม่ใช่ สิ่งที่ต้องทำให้เสร็จ

  • To do list มีเป็นล้าน ทำไม่จบไม่สิ้น ถ้ามันแต่โฟกัสว่ายังเหลืองานที่ยังไม่ได้ทำ เราจะกังวล และไม่มีวันรู้สึกดีกับตัวเอง
  • โฟกัส สิ่งที่เราทำเสร็จแล้ว เป็น ชัยชนะเล็กๆ ที่จูงใจให้เราไปต่อได้

5. รวบยอดความใส่ใจของคุณ

  • Social media ทำให้คนใช้เวลาใส่ใจสิ่งผิดๆ สนใจหลายสิ่งมากไป
  • คุณต้องทุ่มเท ความสนใจที่มีจำกัด ไปที่บางเรื่องเท่านั้น

6. โอบรับเทคโนโลยีที่น่าเบื่อและมีวัตถุประสงค์เดียว

  • เริ่มด้วยเอาแอป Social media ออก
  • เลือกอุปกรณ์ที่มีจุดประสงค์เดียว เช่น Kindle ไว้อ่าน E-book

7. แสวงหาความแปลกใหม่ในความจำเจ

  • ยิ่งเรามีเวลาเหลือน้อยลงเท่าใด เราก็ยิ่งเสียมันไปเร็วขึ้นเท่านั้น
  • วัยเด็กเต็มไปด้วยเรื่องแปลกใหม่ แต่โตมาแล้วจำเจ

8. เป็นนักวิจัยในความสัมพันธ์

  • ลองหาประสบการณ์ การเป็นหนึ่งเดียวกับชุมชนที่คุณอยู่

9. บ่มเพาะการทำดีโดยไม่รั้งรอ

  • เมื่อใดก็ตามที่แรงกระตุ้นอยากทำดีเข้ามาในหัว ให้ทำตามแรงกระตุ้นนั้นทันที่ แทนที่จะผัดมันไว้ทีหลัง
  • ลองศึกษาว่าใครคือผู้ที่ควรค่าแก่ความช่วยเหลือของเรามากที่สุด

10. ฝึกที่จะอยู่เฉยๆ

  • ลองฝึกไม่ทำอะไรเลยบ้าง

คำถาม 5 ข้อ

1. จุดไหนในชีวิต ที่คุณสบายเกิน ทั้งๆที่ควรจะทนลำบากสักหน่อย

  • จงเลือกการเติบโตที่ลำบากลำบนแทนความสบายที่จะด้อยค่าคุณ ถ้าคุณสามารถทำได้

2. คุณกำลังเปรียบเทียบตัวเองและตัดสินตัวเอง โดยใช้มาตราฐานความ Productive ที่ไม่มีวันเป็นไปได้อยู่หรือเปล่า

  • ความต้องการมันมาไม่จำกัด แต่เวลาคุณจำกัด สมาธิคุณจำกัด พลังงานคุณจำกัด
  • อย่าไปคิดว่าคิดจะทำได้ทุกอย่าง เดี๋ยวจะผิดหวังเปล่าๆ

3. คุณยังไม่ยอมรับความจริงว่าคุณเป็นอย่างที่คุณเป็น ไม่ใช่คนที่คุณคิดว่าคุณควรจะเป็น (อุดมคติเว่อร์) ในแง่ไหนบ้าง

  • ไม่มีใครใส่ใจจริงๆว่าเรากำลังทำอะไรกับชีวิตเราอยู่
  • มันไม่มีประโยชน์ที่จะรอการยอมรับจากใครสักคนหรืออะไรสักอย่างเพื่อที่จะใช้ชีวิต
  • ไม่ต้องทำราวกับว่า คุณต้องทำงานเพื่อแลกกับการได้ใช้ชีวิตของคุณ

4. ด้านไหนของชีวิตที่คุณยังไม่ยอมลงมือทำจนกว่าจะพอทำได้ในระดับหนึ่งแล้ว

  • คุณจะไม่มีวันรู้สึกว่าตัวเองพร้อมหรอก
  • คนที่ทำไปแล้วก็ไม่ได้พร้อมทุกอย่าง พวกเขาก็ด้นสดกันทั้งนั้น
  • หยุดเอาแต่ระมัดระวัง เพราะไม่กล้าเสี่ยง

5. คุณจะใช้เวลาต่างออกไปจากเดินอย่างไร ถ้าคุณไม่สนใจนักว่าการกระทำของคุณจะเกิดผลหรือไม่

  • ช่วงนี้คนเริ่มบ้า ผลงานกัน
  • แต่ก็มีบางงานที่ ทำไม่เสร็จในชั่วชีวิตของเรา
  • แต่ก็มีบางคนทำเพราะมันมีความหมาย ซึ่งอาจจะเสร็จในรุ่นลูกหรือหลานของเขา

ยิ่งใช้เทคโนโลยีทุ่นเวลา คุณจะยิ่งยุ่ง

  • โลกที่มีเครื่องล้างจาน ไมโครเวฟ และเครื่องบินเจต ควรจะทำให้เรารู้สึกมีเวลามากขึ้นและเหลือเฟือ

แต่มันกลับทำให้ทุกคนใจร้อนกว่าเดิม

  • เรารู้สึกการอยู่เฉยๆ รอไมโครเวฟ น่าหงุดหงิดกว่า ลงมือทำอาหารเองสองชั่วโมง

มันมีอะไรให้ต้องทำมากเกินไปเสมอ

  • เรามีเครื่องมือช่วยประหยัดเวลาเยอะมาก เทียบกับร้อยปีก่อน
  • ความท้าทายจะอยู่ที่การหาอะไรทำเพื่อเติมเต็มเวลาที่ว่างขึ้นโดยไม่เป็นบ้าไปเสียก่อน

เราจะเป็นคนรวยเพื่อที่จะไม่ต้องทำงานหนัก …

ไม่ใช่หรอ….

เรามัวแต่ทำสิ่งที่ไม่จำเป็น

  • “ Productivity คือกับดัก ” คุณเคลียงาน เพื่อให้มีเวลาไปทำงานเพิ่มอีก..ทำไม

คนส่วนใหญ่มี productivity เพื่อทำงานได้มากขึ้นสองเท่า ไม่ใช่ลดลงครึ่งนึงแล้วนั่งว่างๆครึ่งนึง

  • Work life balance ที่ไม่สามารถพิชิตได้ และ การที่คุณหวังสิ่งที่เป็นไปไม่ได้ จะทำให้คุณรู้สึกสิ้นหวัง

ชีวิตที่ยอมรับการมีขีดจำกัด

  • ชีวิตเราสั้น แถมความสามารถในการควบคุมชีวิตยังจำกัดอีก
  • แต่นี่คือชีวิตเดียวที่เราจะได้ใช้

Paradox of limitation

  • ยิ่งคุณเชื่อว่าตัวเองจะสามารถ “จัดทุกอย่างเข้าตาราง” ได้สำเร็จมากเท่าไหร่ คุณย่อมรับภาระหน้าที่ใส่ตนเองมากขึ้นเท่านั้น
  • ความจริงแล้ว คุณจะไม่มีเวลาเพียงพอสำหรับทุกสิ่งที่คุณอยากทำ หรือสิ่งที่คนอื่นอยากให้คุณทำแน่นอน
  • เลือกว่าจะมุ่งความสนใจไปที่อะไร และสิ่งไหนที่ควรมองข้าม มากกว่าจะปล่อยให้มันเกิดขึ้นโดยอัตโนมัติ

กับดักของการมีประสิทธิภาพ

เหมือนจะกลายเป็นเรื่องปกติไปแล้ว ที่ คนเราจะพยายามทำ มากกว่าที่ตัวเองทำได้

To do list บัดซบ

เรามักรู้สึกว่ามีสิ่งที่ต้องทำมากเกินไปตลอด

  • กฎข้อสำคัญเลยคือ เราไม่สามารถทำทุกอย่างได้แน่นอน
  • ฉะนั้น ในทางปฏิบัติแล้วเราไม่ควรรู้สึกเดือดร้อน กับการมี To do list ยาวเยียด คุณก็แค่ทำในสิ่งที่คุณทำได้ และไม่ทำในสิ่งที่คุณทำไม่ได้

จงปฏิเสธ และเลือกทำน้อยสิ่ง

  • ถ้าคุณคิดว่าตัวเองมีเวลาสำหรับทุกสิ่ง คุณก็มีแนวโน้มน้อยลงที่จะตั้งคำถามว่า สิ่งนี้คุ้มค่าทีจะทำหรือไม่

ถ้าเรามี 8 ชั่วโมง เราก็จะหาอะไรทำจนครบ 8 ชั่วโมง

  • ไม่ว่าจะทำงานได้เร็วขึ้นแค่ไหน คุณก็หาอะไรมาเติมเวลาที่ว่างอยู่ดี

เส้นชัยเคลื่อนที่ ของอีเมล

  • เรื่องตลกร้ายคือ ยิ่งคุณเร่งตอบอีเมลให้ครบ คุณก็ยิ่งมีงานเพิ่ม เพราะคนตอบกลับมา

To do list ส่งที่ต้องทำก่อนตาย

  • เป็นการการันตีความเจ็บปวด ที่คุณจะไม่มีปัญญาทำได้ครบเพราะโลกเรามีเรื่องต้องทำก่อนตายเยอะเกิน
  • เป็นเรื่องธรรมดาที่คุณจะพลาดโอกาสส่วนใหญ่ที่โลกนี้เสนอมาให้

ความสบายที่กำลังด้อยค่ากิจกรรมนั้นๆลง

  • เพราะคุณสามารถสั่งอาหารทางแอป และนั่งชิลดูเนตฟลิกได้ คุณจึงเลือกทำ ถึงแม้คุณรู้ว่าคงจะมีเวลาที่ดีกว่าถ้าเข้าไปกินข้าวในเมืองกับเพื่อน

เผชิญหน้ากับการมีจุดสิ้นสุด

เพราะการตัดสินใจที่จะทำอะไรสักอย่าง หมายถึงการที่ต้องสละทางเลือกอื่นๆ

  • ทุกทางเลือกต้องมีการเสียสละ
  • และทุกกิจกรรม อาจจะเป็นครั้งสุดท้ายแล้วจริงๆ
  • เพราะถ้าชีวิตไม่มีจุดสิ้นสุด มันคงไม่สำคัญแท้จริง เก็บไว้ทำตอนไหนก็ได้

วันหยุดไม่จำกัด ที่ไร้ความหมาย

  • ถ้าเราจะพักผ่อนได้นานเท่าไหร่ เมื่อไหร่ก็ได้ มันคงไม่มีความหมายมากนัก
  • การรู้ดีว่าเขาจะไม่มีโอกาสได้มีประสบการณ์แบบนี้อีกต่างหากที่ทำให้มีความหมาย

เราบังเอิญมีชีวิต

  • เราไม่ได้เลือกที่จะเกิดมา เราไม่ได้มีสิทธิใน 4,000 สัปดาห์ เหมือนเป็นเจ้าหนี้ที่ต้องเก็บเงินให้ครบ
  • ชีวิตในทุกๆวัน ไม่ได้จำเป็นต้องเป็นไปตามที่เราคาดหวังทุกอย่าง และ การหวังแบบนั้นก็มีแต่จะทำให้ผิดหวัง
  • การยอมรับความจริงว่า ชีวิตมันก็แบบนี้แหล่ะ ต้องเจอรถติดบ้างอะไรบ้าง เป็นเรื่องที่ปกติ ไม่ได้แย่กว่าปกติเลย น่าจะทำให้มุมมองต่อเหตุการณ์นั้นๆดีขึ้น

เราเลือกเอง

  • เรายอม สละหลายสิ่ง เพื่อมาทำสิ่งนี้ ส่งผลให้สิ่งที่เลือกดูมีความหมายมากขึ้น

การแต่งงานคือการปิดโอกาสในการพบคนอื่น สิ่งนี้ต้องมีความหมายมากแน่ๆ

  • “ความสุขที่ได้พลาดโอกาส” เกิดจากการที่คุณได้เลือกสิ่งหนึ่ง และ ทิ้งอีกหลายสิ่ง
  • ด้วย เวลาที่คุณไม่มีสิทธิคาดหวังจะได้รับด้วยซ้ำ

เป็นผู้ผลัดวันประกันพรุ่งที่ดีกว่าเดิม

ย้ำอีกรอบว่า เราไม่มีทางทำทุกอย่างเสร็จได้ เพราะมันเยอะเกินไป

  • ที่ดีกว่าคือการหาวิธีให้เราสามารถหาวิธีตัดสินใจอย่างฉลาดที่สุดว่า “เราจะไม่ทำอะไร” และทำอย่างไรให้รู้สึกสบายใจเมื่อไม่ได้ทำมัน
  • เครื่องการจัดการเวลาคือ สิ่งที่มันสามารถช่วยให้คุณละเลยสิ่งที่สมควรละเลยได้
  • เหมือนเรื่องหินในขวดโหล

วิธีจัดการกับเวลา

1. เมื่อเป็นเรื่องเวลา ให้กันให้สิ่งสำคัญก่อน อย่าคาดหวังว่าจะทำอย่างอื่นเสร็จแล้วเหลือเวลามาทำสิ่งสำคัญ เช่น อ่านหนังสือ เพราะคุณจะไม่มีเวลาเหลือหรอก เช่นจะอ่านหนังสือ 300 หน้า ก็ อ่านมันตอนเช้าเลย 30 นาที เพราะถ้ารอตอนเย็น จะไม่เหลือแรงและเวลาแล้ว อย่างน้อยก็มี progress ในเรื่องสำคัญ และ สุดท้ายไม่ว่าคุณจะกันเวลาไว้อ่านหนังสือหรือไม่อ่าน คุณก็มีเรื่องที่ทำไม่เสร็จ เยอะแยะอยู่ดี

2. จำกัดจำนวนชิ้นงานที่อยู่ เพราะพองานเยอะ มันจะยากแยะน่ากลัว แล้วคุณจะไม่เริ่มทำ กันไว้ไม่เกิน 3 สิ่ง

3. อดกลั้น ไม่ทำสิ่งสำคัญ ระดับปานกลาง วอเรน บัฟเฟต เคยเล่าวิธีบริหารเวลาให้ฟังว่า

“ list 25 สิ่งทีสำคัญออกมา เรียงลำดับ แล้วให้ทำ 5 สิ่งแรก และอย่าทำอีก 20 สิ่ง แม้ว่าเวลาจะเหลือ”

โลกเรามีสิ่งที่น่าสนใจประมาณนึง อยู่เยอะเกินไป

ความจริง VS อุดมคติ

  • ความจริงจะออกมาแย่กว่าที่คุณคิดไว้เสมอ
  • อย่าหมกมุ่นกับความสมบูรณ์แบบที่อยู่ในความคิด
  • สบายใจได้เลย เวลาผลงานไม่ออกมาเหมือนที่คิด

ลงหลักปักฐาน

  • การมีทางเลือก คือคุณไม่ได้เลือก
  • ถ้าคุณเดทกับคู่ของคุณ ในขณะที่หวังว่าจะได้เจอคนที่ดีกว่า แปลว่าคุณกำลังใช้เวลากับคู่ที่ไม่ได้ตรงกับในอุดมคติของคุณ
  • ซึ่งเป็นการใช้เวลาที่มีอยู่อย่างจำกัดไปอย่างเสียเปล่า
  • เพราะคุณไม่มีความสุขกับปัจจุบัน และ เสียเวลาความสุขของอนาคต

อนาคต vs ปัจจุบัน

  • อนาคตมักจะดูมีความสุขกว่าเสมอ เพราะคุณสามารถดื่มด่ำกว่าความหวังที่ยังไม่เกิดขึ้นได้ในโลกจิตนาการที่ไม่มีข้อจำกัด
  • ปัจจุบันมักมีข้อกังวลว่าอนาคตจะเป็นเช่นไร แต่เมื่อเกิดขึ้นแล้ว แม้เป็นเรื่องทีคิดว่าจะแย่ แต่ก็รู้สึกโล่ง ที่ไม่ต้องฟุ้ง
  • การมีทางเลือกมากเกินไป เช่นเลือกระหว่างสิ่งที่ดีพอๆกันสองสิ่ง แย่กว่า การมีสิ่งดีๆให้อันเดียวโดยไม่ต้องเลือก

ปัญหาเรื่องแตงโม

สิ่งที่คุณให้ความสนใจ จะเป็นตัวกำหนดความหมายของโลกความจริวสำหรับคุณ

  • แต่มันไม่สำคัญเลยว่า คุณจะมุ่งมั่นใช้เวลาที่มีอยู่อย่างจำกัดให้คุ้มค่าแค่ไหน
  • เพราะ Feed คุณจะมาพร้อมกับเรื่องรบกวนสมาธิ อย่างการนั่งรอดูว่าหนังยางกี่เส้น ทำให้แตงโมงระเบิด

การควบคุมความสนใจของตัวเองให้ได้ทั้งหมด เป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้

  • เราวิวัฒนาการมาให้สังเกต และสนใจเสียง หรือ อะไรแว้บๆ เพราะเมื่อก่อนมันคือสิ่งชี้เป็นชี้ตาย
  • เราจึงสนใจ Notification และ หนีจาก News feed ในแอพต่างๆไม่ได้ เพราะเราวิวัฒนาการมาให้สนใจมัน
  • ยิ่งรางวัลคาดเดาไม่ได้ เรายิ่งไถไปเรื่อยๆ

News Feed คุณอารมณ์เราด้วย

  • ถ้าเราเห็นข่าวอาชญากรรมบ่อยๆ เราจะพลอยคิดว่าแถวบ้านเราไม่ปลอดภัยไปด้วย โดยไม่มีสาเหตุ
  • และเมื่อเราเห็นอะไรบ่อยๆ เราจะคิดว่ามันสำคัญ และ News feed กำหนดสิ่งที่เราเห็นได้
  • ซึ่งจะกำหนดมุมมองชีวิตของเรา โดยเราไม่ได้ตระหนักเลยว่า มีบางอย่างไม่ถูกต้อง

ผู้รบกวนที่ใกล้ชิด

ทำไมเรา วอกแวก เสียสมาธิ

  • เรามีตัวตนภายในที่คอยผิวปาก บอกให้เราสนใจอย่างอื่นที่ไม่ใช ภารกิจหลัก ไปสู่อะไรอย่างอื่น
  • ซึ่งอาจจะเกิดจากความอึดอัด ของภารกิจหลัก
  • อึดอัดมากพอที่เราจะ ยอมเบี่ยงเบนไปทำอย่างอื่น เช่นการเล่นโทรศัพท์บนโต๊ะอาหาร เพราะการตั้งสมาธิฟังมันเป็นเรื่องยาก

ความทุกข์ทรมานทั้งหมดของมนุษย์ โดยแก่นแท้แล้วคือความพยายามที่จะ ฝืนไม่สนใจความเป็นไปของสิ่งต่างๆ เพราะเราหวังให้มันเป็นแบบอื่น

เราไม่เคยมีเวลาจริงๆ หรอก

อะไรที่คุณวางแผนไว้ มันจะใช้เวลานานกว่าที่คาดการณ์ไว้เสมอ

  • ไม่ว่าคุณจะวางแผนล่วงหน้ามากแค่ไหน คุณไม่มีทางผ่อนคลายได้ ถ้ามัวแต่คาดหวังความเป๊ะ

ถ้าคุณเผื่อเวลาไปถึงสนามบินก่อน 14 ชั่วโมง มันก็ไม่ช่วยการันตีว่าคุณจะไม่ตกเครื่อง เพราะมีอีกเป็นล้านเหตุผลที่คุณจะตกเครื่องได้

  • สมมุติคุณได้ขึ้นเครื่องบินแล้ว คุณก็จะไปกังวลเรื่องสภาพอากาศต่อ.. จะไปทันรถไฟไหมนะ
  • อะไรก็เกิดขึ้นได้ อย่ามัวแต่กลัวว่ามันจะพลาด ไว้พลาดแล้วค่อยๆหาทางแก้ ดีกว่าประสาทแดกกลัวว่ามันจะพลาด ดีกว่า
  • ไม่มีอะไรเป๊ะตามใจเรา อย่าไปคาดหวัง เดี๋ยวจะผิดหวัง เพราะ อนาคตไม่ใช่สิ่งที่คุณจะบังคับได้
  • ชีวิตเราล้วนแต่บังเอิญ ไม่ใช่มาจากการวางแผนเป๊ะๆ ว่าจะเจอใคร เรียนที่ไหน คุณแค่ต้องตามน้ำไป
  • เราควรโฟกัสเฉพาะ สิ่งตรงหน้า ที่เราควบคุมได้ ไม่ใช่กังวลอนาคต และคิดอยากจะแก้ไขอดีต

อย่าวิตกถึงวันพรุ่งนี้ เพราะพรุ่งนี้ก็จะมีเรื่องกังวลสำหรับตัวมันเอง ต่ละวันก็มีความทุกข์ร้อนมากพออยู่แล้ว

คุณอยู่ตรงนี้

  • ยิ่งคุณหมกมุ่นกับการ ใช้เวลาให้ดี แต่ละวันจะเริ่มรู้สึกเหมือนเป็นบางอย่างที่ คุณต้องทำให้มันผ่านไป

ในที่สุด — เมื่อ — ฉัน

  • ในที่สุด เมื่อฉันคุมปริมาณงานได้ หลังจากนั้นฉันจะผ่อนคลายได้
  • เป็นทัศนคติที่ คุณจะไม่มีวันรู้สึกเต็มอิ่มได้เลย เพราะ ยากมากที่คุณจะคุมปริมาณงานได้ หรือต่อให้คุมได้ คุณก็จะสร้างเงื่อนไขใหม่ขึ้นมา ให้ตัวเองที่ยังไม่มีความสุขสักที ที่ต้องรอตัวเองสำเร็จถึงจะมีค่า
  • แล้วคุณก็ขยับเป้าหมายไกลออกไปเรื่อยๆ จนคุณพอว่า ไม่มีช่วงเวลาไหนเลยในชีวิตที่รู้สึกว่าตัวเองมีค่า

ราวกับเป็นครั้งสุดท้าย

  • พวกเราไม่มีใครรู้ว่าจะได้ทำอะไรเป็นครั้งสุดท้าย เช่น เจอเพื่อนคนนี้ ครั้งสุดท้าย ได้มาเที่ยวที่นี่ครั้งสุดท้าย ได้กินร้านนี้เป็นครั้งสุดท้าย
  • เราควรจะพยายามปฏิบัติต่อทุกประสบการณ์ด้วยความเคารพ ราวกับว่ามันเป็นครั้งสุดท้าย

ค้นพบการพักผ่อนอีกครั้ง

เราสามารถพักผ่อนได้โดยไม่ต้อง Productive ก็ได้ !!!

  • ทุกวันนี้ผู้คนใช้เวลาพักผ่อนไปเพื่อ พัฒนาอะไรบางอย่าง เช่นวิ่งเฉยๆไม่ได้ ต้องโน้มน้วตัวเองให้เชื่อว่า การวิ่งจะนำไปสู่ความสำเร็จในภายภาคหน้า
  • ทำให้ตัวเองรู้สึกว่า ได้ใช้ชีวิตคุ้มค่า

น่าเศร้าที่เราต้องหาความชอบธรรมให้กับการพักผ่อน

  • ทั้งๆที่เรามีเวลาว่าง มากกว่าหลายสิบปีก่อน มากแล้วก็ตาม

การพักผ่อนไม่ใช่เครื่องมือที่ช่วยพาไปสู่เป้าหมายต่างๆ

การพักผ่อนคือเป้าหมาย

  • ความจริงคือ การใช้เวลาว่างอย่างสิ้นเปลือง โดยมุ่งความสนใจไปที่ความสุขที่เกิดจาการสัมผัสประสบการณ์เท่านั้น คือหนทางเดียวที่จะทำให้มันไม่เสียเปล่า
  • มันคือการว่างที่แท้จริง แทนที่จะแอบแฝงการพัฒนาตัวเองแบบมุ่งเน้นอนาคตไปด้วย

โรคคลั่งไคล้ประสิทธิภาพ

  • เรากำลังกลายเป็นคนที่ไม่ต้องการพักมากขึ้นเรื่อยๆ
  • การอยู่เฉยเป็นสิ่งที่ ก่อให้เกิดความวิตกกังวลมาเป็นพิเศษ
  • คุณกำลังคิดว่า ความพยายามของคุณ จะพาไปสู่ความสุขในอุดมคติของคุณ
  • แต่คุณต้องยอมรับความจริงว่า มันก็เท่านั้นแหล่ะ วันแต่ละวันของคุณ ไม่ได้กำลังพัฒนาไปสู่อนาคตที่มีความสุขสมบูรณ์แบบถาวร

เราเป็นผลรวมของทุกช่วงเวลาในชีวิตของเราเอง

งานอดิเรกที่ดีควรจะทำให้คุณรู้สึกอายนิดๆ

  • เพราะมันแสดงให้เห็นว่า คุณได้เลือกเอง ไม่ใช่สังคมกดดันมา ว่า ภาพลักษณ์แบบเราต้องทำงานอดิเรกอะไร

วังวนของความใจร้อน

บีบแตรในมุมไบ

  • ไม่มีคนขับรถสติดีคนไหน หวังว่าการบีบแตรที่มุมไบจะช่วยให้รถไปได้เร็วขึ้น
  • ความใจร้อนมักทำให้พวกคุณไปได้ช้าลง
  • การเร่งรีบมากเกินไป หมายความว่า คุณจะผิดพลาดมากขึ้น ซึ่งทำให้คุณจำเป็นต้องกลับไปแก้ไขมัน

เร็วแค่ไหนถึงพอใจ ?

  • ทุกวันนี้เราทำอะไรได้เร็วกว่าเมื่อก่อนเยอะแล้ว
  • แต่เราไม่พอใจกับเวลาทั้งหมดที่ประหยัดได้ แถมยังหงุดหงิดกว่าเดิม
  • เพราะหวังว่ามันจะเร็วได้มากกว่านี้อีก
  • เอาอีกละ ความหวัง
  • มันเป็นเพราะเราไม่ยอมรับความจริงว่า กิจกรรมส่วนใหญ่ต้องใช้เวลา
  • นั่นเป็นสาเหตุว่า ทำไมความอดทนถึงสำคัญ

อยู่บนรถบัสต่อไป

หลักควรอดทน สามประการ

1. ทำตัวให้คุ้นชินกับการเจอปัญหา

  • เพราะ ภาวะไร้ปัญหา จะไม่มีวันมาถึงอย่างแน่นอน และคุณไม่อยากให้มันมาถึง เพราะชีวิตที่ไร้ปัญหานั้นว่างเปล่า ไม่มีอะไรน่าทำ เป็นชีวิตที่ไร้ความหมาย

2. เปิดรับการเปลี่ยนแปลงอย่างช้าๆ เพื่อผลลัพธ์ที่ต่างออกไปอย่างสิ้นเชิง

  • ต้องเข้าใจก่อนว่า วันๆนึงเราทำอะไรได้ไม่มากนัก
  • เราไม่สามารถ อ่านหนังสือ 24 ชม แทน อ่านหนังสือวันละ 3–4 ชม ทุกวันในสัปดาห์ได้
  • ทุกอย่างต้องค่อยเป็นค่อยไป

3. ความเป็น Original เป็นอีกขั้วของการเลียนแบบ

  • คุณอย่าคาดหวังว่าสิ่งที่คุณทำ มาจากคุณคนเดียวล้วนๆ
  • มันต้องมีอะไรสักอย่างที่ไปซ้ำกับคนอื่น ไม่ต้องเปลี่ยนไปเรื่อยเพื่อให้ไม่ซ้ำ
  • ไม่ต้องพยายามหาที่ให้ตัวเอง ไม่ซ้ำใครทั้งหมด
  • เอนจอยชีวิต จะซ้ำก็ช่างมันบ้าง

ความโดดเดี่ยวของดิจิทัลโนแมด

เวลาเป็นสินค้าเครือข่าย ( Network good )

  • มูลค่าของมันขึ้นอยู่กับว่าคนอื่นเข้าถึงมันได้อีกกี่คน และส่วนที่เขามีกับส่วนที่คุณมี ประสานเข้ากับได้มากแค่ไหน
  • เวลาว่าง แต่ใช้ร่วมกับคนรัก เพื่อน และครอบครัวคุณไม่ได้ ก็มูลค่าแทบไม่เหลือ
  • เวลาเลยไม่ใช่สิ่งที่ต้องกักตุน แต่เป็นแบ่งปัน ใช้เวลาพร้อมๆกับคนอื่น
  • เราจะมีความสุขมากขึ้น เมื่อได้ใช้เวลาร่วมกับคนอื่น หรือ ชุมชน หรือ กลุ่มคน
  • คนว่างงาน ยังแฮปปี้ขึ้นในวันเสาร์อาทิตย์ แม้จะว่างทุกวัน

เรียนรู้ที่จะปฏิเสธ

  • เป็นเกราะป้องกันคนอื่นมาแย่งเวลาจากเรา

เราไม่ได้สำคัญในจักรวาล

ศาสนาไม่สามารถมอบจุดมุ่งหมายสำเร็จรูปที่เป็นสากลอย่างที่เคยเป็นมาได้อีกแล้ว

  • มันจะมีประโยชน์อะไร ถ้าคุณใช้เวลาทั้งหมดที่คุณมีในแบบที่ต้องพยายามทำให้รู้สึกว่า มันมีคุณค่าอยู่ตลอด
  • เรามัวแต่ไขว่คว่าชีวิตการงานจนไม่มีเวลาให้เพื่อนบ้าน
  • ที่ผ่านมา คุณพยายามเทียบตัวเองกับมาตราฐานที่คุณไม่ควรคาดหวังให้ตัวเองไปถึง

เราไม่ได้ปฏิเสธเก้าอี้เพราะมันชงชาไม่ได้สักหน่อย

  • ทุกคนต่างเรียกร้องให้เราเป็นอย่างนู้นอย่างนี้ เป็นในสิ่งที่มีไม่กี่คนทำได้
  • แต่ต่อให้คุณสำคัญขนาด ไอน์สไตล์ หรือ โมซาร์ท จักรวาบก็จะลืมคุณในไม่ช้า

--

--

Mos Noppadol Rattanawisadrat
BookTH

A guy who passionate on Technology, Psychology, Science and business thing