[รีวิว + สปอย] หนังสือ : ชีวิตเรามีแค่สี่พันสัปดาห์
เรื่องตลกร้ายคือ ยิ่งคุณเร่งตอบอีเมล คุณก็ยิ่งมีงานเพิ่ม เพราะคนตอบกลับมา
- ถ้าคุณคิดว่าตัวเองมีเวลาสำหรับทุกสิ่ง คุณก็มีแนวโน้มน้อยลงที่จะตั้งคำถามว่า สิ่งนี้คุ้มค่าทีจะทำหรือไม่
เราเป็นผลรวมของทุกช่วงเวลาในชีวิตของเราเอง
รีวิว
- เล่มนี้จะเปลี่ยนทัศนคติของคุณกับการใช้เวลา ที่จะทำให้เวลาของคุณมีความหมายต่อคุณมากขึ้น
- เราใช้ชีวิตแบบ Productive กันมานาน ว่าแต่มันคือสิ่งที่เราอยากได้จริงๆ ใช่ไหมนะ
- เนื้อหาเป็นทั้งปรัชญาที่ชวนคุณคิด และมีเครื่องมือในการจัดการเวลาแบบที่ไม่ทำให้เราบ้าไปก่อน
- อ่านจบแล้ว คุณจะได้เริ่มใช้ชีวิต ไม่ใช่ทำงาน แก่ แล้วจากไป
Basic info
226 หน้า 265 บาท
ซื้อหนังสือ : https://shope.ee/10SwlKBma0
อ่านด้วยกันบน IG : https://www.instagram.com/mal2u_book/
Link ย่อ : Bit.ly/MosBook2022-041
สปอย
อายุขัยเฉลี่ยคนอยู่ที่ 80 ปี คุณจะมีเวลาประมาณ 4,000 สัปดาห์
เราได้รับความสามารถทางปัญญาให้วางแผนการที่ทะเยอทะยานได้โดยแทบไม่มีขีดจำกัด
แต่ไม่มีเวลาเพื่อที่จะลงมือทำมัน
หินกับขวดโหล อีกมุมหนึ่ง
หลายคนน่าจะได้เคยยินเรื่องการจัดลำดับความสำคัญ ด้วยการใช้ ขวดโหล หินก้อนใหญ่ (สิ่งสำคัญ) และ กรวด (สิ่งสำคัญรองลงมา ) เป็นตัวเปรียบเทียบ
บทสรุปจะบอกว่า ให้เราเอาหินซึ่งสำคัญ ใส่ไปก่อน ถึงจะใส่ทั้งหินและกรวดทั้งหมด ลงไปได้
ซึ่งเป็นเรื่องเล่าที่ทำให้เราเข้าใจผิด ว่าเราสามารถจัดการกับทุกสิ่งในชีวิตได้
เรื่องจริงคือ เรามีเรื่องสำคัญ(หิน) มากกว่าที่จะใส่ลงไปในขวดโหล (เวลา) ของเราตั้งแต่แรกแล้ว
สิ่งสำคัญจริงๆคือ การ เลือกหินที่จะใส่เข้าไป ไม่ใช่พยายามใส่ทุกอย่างลงไป
และขวดโหล ของแต่ละคนใหญ่ไม่เท่ากัน…
ทำไมเราไม่ควรหวัง
- ผู้คนมักเชื่ออยู่เสมอว่ายุคตัวเองแย่ ทั้งที่ทุกวันนี้มีแต่ข่าวดี อัตราการตายของทารก ลดลง ความยากจนสุดขีดลดลง ความเหลื่อล้ำของโลกกำลังลดลง คนรู้หนังสือเยอะขึ้น โอกาสถูกฆ่าตายในสงครามก็ลดลง
- แต่ก็นะ เรื่องแย่ๆ มันมักจะออกข่าวบ่อยกว่า จนทำให้ผู้คนหวังว่าอะไรๆจะดีขึ้น
- แต่การหวัง เป็นเหมือนคำสาป เพราะคนจะหวังให้คนที่ยิ่งใหญ่กว่าจัดการให้ เช่น รัฐบาล พระเจ้า กลุ่มนักเคลื่อนไหวรุ่นต่อไป หรือก็แค่ ‘อนาคต’
“เราไม่ต้อง ‘หวัง’ อีกต่อไปแล้ว เราแค่ลงมือทำ
- ทำใจให้ชินกับความสิ้นหวังเอาไว้ จริงๆทุกอย่างก็ไม่โอเคอยู่แล้ว
- แต่แล้วไงหล่ะ เราก็ยังอยู่นี่ ยังรอด
- เลิกหวังอะไรจากสิ่งที่คุณควบคุมไม่ได้ แล้วเริ่มลงมือทำสักที
10 เครื่องมือ สำหรับการเปิดใจยอมรับขีดจำกัดของคุณ
1. ใช้วิธีกำหนดปริมาณที่แน่นอนสู่การมีผลิตภาพ
- ทำ 2 List อันนึงคือกำลังคิดจะทำ อีกอันคือมีให้ทำ
- อันที่จะทำ ห้ามเกิน 10 อย่าง และห้ามใส่ของใหม่จนกว่างานเก่าจะเสร็จ
- กำหนดเวลาทำงานให้ชัดเจนด้วย เช่น 17.30 เพราะถ้าสมองรู้ว่าจะต้องเสร็จ 17.30 มันก็จะหาทางทำให้เสร็จตอน 17.30 ไม่ใช่ปล่อยไหลไปเรื่อยๆ
2. จัดลำดับ จัดลำดับ จัดลำดับ
- ทำทีละอย่าง
- ฝึกตัวเองให้อดทนเห็นงานใหม่ ยังไม่เริ่ม ได้
- ถ้างานเก่าไม่เสร็จ ไปเริ่มงานใหม่ แล้วมันจะไม่มีอะไรเสร็จสักอย่าง
3. ตัดสินใจล่วงหน้าว่าจะล้มเหลวเรื่องอะไร
- คนเราไม่ต้องเก่งทุกอย่าง
- ประกาศให้โลกรู้ไปเลยว่าคุณจะไม่เก่งด้านไหน ไม่ต้องเสียเวลาไปกังวลกับมัน
4. โฟกัสสิ่งที่ทำเสร็จแล้ว ไม่ใช่ สิ่งที่ต้องทำให้เสร็จ
- To do list มีเป็นล้าน ทำไม่จบไม่สิ้น ถ้ามันแต่โฟกัสว่ายังเหลืองานที่ยังไม่ได้ทำ เราจะกังวล และไม่มีวันรู้สึกดีกับตัวเอง
- โฟกัส สิ่งที่เราทำเสร็จแล้ว เป็น ชัยชนะเล็กๆ ที่จูงใจให้เราไปต่อได้
5. รวบยอดความใส่ใจของคุณ
- Social media ทำให้คนใช้เวลาใส่ใจสิ่งผิดๆ สนใจหลายสิ่งมากไป
- คุณต้องทุ่มเท ความสนใจที่มีจำกัด ไปที่บางเรื่องเท่านั้น
6. โอบรับเทคโนโลยีที่น่าเบื่อและมีวัตถุประสงค์เดียว
- เริ่มด้วยเอาแอป Social media ออก
- เลือกอุปกรณ์ที่มีจุดประสงค์เดียว เช่น Kindle ไว้อ่าน E-book
7. แสวงหาความแปลกใหม่ในความจำเจ
- ยิ่งเรามีเวลาเหลือน้อยลงเท่าใด เราก็ยิ่งเสียมันไปเร็วขึ้นเท่านั้น
- วัยเด็กเต็มไปด้วยเรื่องแปลกใหม่ แต่โตมาแล้วจำเจ
8. เป็นนักวิจัยในความสัมพันธ์
- ลองหาประสบการณ์ การเป็นหนึ่งเดียวกับชุมชนที่คุณอยู่
9. บ่มเพาะการทำดีโดยไม่รั้งรอ
- เมื่อใดก็ตามที่แรงกระตุ้นอยากทำดีเข้ามาในหัว ให้ทำตามแรงกระตุ้นนั้นทันที่ แทนที่จะผัดมันไว้ทีหลัง
- ลองศึกษาว่าใครคือผู้ที่ควรค่าแก่ความช่วยเหลือของเรามากที่สุด
10. ฝึกที่จะอยู่เฉยๆ
- ลองฝึกไม่ทำอะไรเลยบ้าง
คำถาม 5 ข้อ
1. จุดไหนในชีวิต ที่คุณสบายเกิน ทั้งๆที่ควรจะทนลำบากสักหน่อย
- จงเลือกการเติบโตที่ลำบากลำบนแทนความสบายที่จะด้อยค่าคุณ ถ้าคุณสามารถทำได้
2. คุณกำลังเปรียบเทียบตัวเองและตัดสินตัวเอง โดยใช้มาตราฐานความ Productive ที่ไม่มีวันเป็นไปได้อยู่หรือเปล่า
- ความต้องการมันมาไม่จำกัด แต่เวลาคุณจำกัด สมาธิคุณจำกัด พลังงานคุณจำกัด
- อย่าไปคิดว่าคิดจะทำได้ทุกอย่าง เดี๋ยวจะผิดหวังเปล่าๆ
3. คุณยังไม่ยอมรับความจริงว่าคุณเป็นอย่างที่คุณเป็น ไม่ใช่คนที่คุณคิดว่าคุณควรจะเป็น (อุดมคติเว่อร์) ในแง่ไหนบ้าง
- ไม่มีใครใส่ใจจริงๆว่าเรากำลังทำอะไรกับชีวิตเราอยู่
- มันไม่มีประโยชน์ที่จะรอการยอมรับจากใครสักคนหรืออะไรสักอย่างเพื่อที่จะใช้ชีวิต
- ไม่ต้องทำราวกับว่า คุณต้องทำงานเพื่อแลกกับการได้ใช้ชีวิตของคุณ
4. ด้านไหนของชีวิตที่คุณยังไม่ยอมลงมือทำจนกว่าจะพอทำได้ในระดับหนึ่งแล้ว
- คุณจะไม่มีวันรู้สึกว่าตัวเองพร้อมหรอก
- คนที่ทำไปแล้วก็ไม่ได้พร้อมทุกอย่าง พวกเขาก็ด้นสดกันทั้งนั้น
- หยุดเอาแต่ระมัดระวัง เพราะไม่กล้าเสี่ยง
5. คุณจะใช้เวลาต่างออกไปจากเดินอย่างไร ถ้าคุณไม่สนใจนักว่าการกระทำของคุณจะเกิดผลหรือไม่
- ช่วงนี้คนเริ่มบ้า ผลงานกัน
- แต่ก็มีบางงานที่ ทำไม่เสร็จในชั่วชีวิตของเรา
- แต่ก็มีบางคนทำเพราะมันมีความหมาย ซึ่งอาจจะเสร็จในรุ่นลูกหรือหลานของเขา
ยิ่งใช้เทคโนโลยีทุ่นเวลา คุณจะยิ่งยุ่ง
- โลกที่มีเครื่องล้างจาน ไมโครเวฟ และเครื่องบินเจต ควรจะทำให้เรารู้สึกมีเวลามากขึ้นและเหลือเฟือ
แต่มันกลับทำให้ทุกคนใจร้อนกว่าเดิม
- เรารู้สึกการอยู่เฉยๆ รอไมโครเวฟ น่าหงุดหงิดกว่า ลงมือทำอาหารเองสองชั่วโมง
มันมีอะไรให้ต้องทำมากเกินไปเสมอ
- เรามีเครื่องมือช่วยประหยัดเวลาเยอะมาก เทียบกับร้อยปีก่อน
- ความท้าทายจะอยู่ที่การหาอะไรทำเพื่อเติมเต็มเวลาที่ว่างขึ้นโดยไม่เป็นบ้าไปเสียก่อน
เราจะเป็นคนรวยเพื่อที่จะไม่ต้องทำงานหนัก …
ไม่ใช่หรอ….
เรามัวแต่ทำสิ่งที่ไม่จำเป็น
- “ Productivity คือกับดัก ” คุณเคลียงาน เพื่อให้มีเวลาไปทำงานเพิ่มอีก..ทำไม
คนส่วนใหญ่มี productivity เพื่อทำงานได้มากขึ้นสองเท่า ไม่ใช่ลดลงครึ่งนึงแล้วนั่งว่างๆครึ่งนึง
- Work life balance ที่ไม่สามารถพิชิตได้ และ การที่คุณหวังสิ่งที่เป็นไปไม่ได้ จะทำให้คุณรู้สึกสิ้นหวัง
ชีวิตที่ยอมรับการมีขีดจำกัด
- ชีวิตเราสั้น แถมความสามารถในการควบคุมชีวิตยังจำกัดอีก
- แต่นี่คือชีวิตเดียวที่เราจะได้ใช้
Paradox of limitation
- ยิ่งคุณเชื่อว่าตัวเองจะสามารถ “จัดทุกอย่างเข้าตาราง” ได้สำเร็จมากเท่าไหร่ คุณย่อมรับภาระหน้าที่ใส่ตนเองมากขึ้นเท่านั้น
- ความจริงแล้ว คุณจะไม่มีเวลาเพียงพอสำหรับทุกสิ่งที่คุณอยากทำ หรือสิ่งที่คนอื่นอยากให้คุณทำแน่นอน
- เลือกว่าจะมุ่งความสนใจไปที่อะไร และสิ่งไหนที่ควรมองข้าม มากกว่าจะปล่อยให้มันเกิดขึ้นโดยอัตโนมัติ
กับดักของการมีประสิทธิภาพ
เหมือนจะกลายเป็นเรื่องปกติไปแล้ว ที่ คนเราจะพยายามทำ มากกว่าที่ตัวเองทำได้
To do list บัดซบ
เรามักรู้สึกว่ามีสิ่งที่ต้องทำมากเกินไปตลอด
- กฎข้อสำคัญเลยคือ เราไม่สามารถทำทุกอย่างได้แน่นอน
- ฉะนั้น ในทางปฏิบัติแล้วเราไม่ควรรู้สึกเดือดร้อน กับการมี To do list ยาวเยียด คุณก็แค่ทำในสิ่งที่คุณทำได้ และไม่ทำในสิ่งที่คุณทำไม่ได้
จงปฏิเสธ และเลือกทำน้อยสิ่ง
- ถ้าคุณคิดว่าตัวเองมีเวลาสำหรับทุกสิ่ง คุณก็มีแนวโน้มน้อยลงที่จะตั้งคำถามว่า สิ่งนี้คุ้มค่าทีจะทำหรือไม่
ถ้าเรามี 8 ชั่วโมง เราก็จะหาอะไรทำจนครบ 8 ชั่วโมง
- ไม่ว่าจะทำงานได้เร็วขึ้นแค่ไหน คุณก็หาอะไรมาเติมเวลาที่ว่างอยู่ดี
เส้นชัยเคลื่อนที่ ของอีเมล
- เรื่องตลกร้ายคือ ยิ่งคุณเร่งตอบอีเมลให้ครบ คุณก็ยิ่งมีงานเพิ่ม เพราะคนตอบกลับมา
To do list ส่งที่ต้องทำก่อนตาย
- เป็นการการันตีความเจ็บปวด ที่คุณจะไม่มีปัญญาทำได้ครบเพราะโลกเรามีเรื่องต้องทำก่อนตายเยอะเกิน
- เป็นเรื่องธรรมดาที่คุณจะพลาดโอกาสส่วนใหญ่ที่โลกนี้เสนอมาให้
ความสบายที่กำลังด้อยค่ากิจกรรมนั้นๆลง
- เพราะคุณสามารถสั่งอาหารทางแอป และนั่งชิลดูเนตฟลิกได้ คุณจึงเลือกทำ ถึงแม้คุณรู้ว่าคงจะมีเวลาที่ดีกว่าถ้าเข้าไปกินข้าวในเมืองกับเพื่อน
เผชิญหน้ากับการมีจุดสิ้นสุด
เพราะการตัดสินใจที่จะทำอะไรสักอย่าง หมายถึงการที่ต้องสละทางเลือกอื่นๆ
- ทุกทางเลือกต้องมีการเสียสละ
- และทุกกิจกรรม อาจจะเป็นครั้งสุดท้ายแล้วจริงๆ
- เพราะถ้าชีวิตไม่มีจุดสิ้นสุด มันคงไม่สำคัญแท้จริง เก็บไว้ทำตอนไหนก็ได้
วันหยุดไม่จำกัด ที่ไร้ความหมาย
- ถ้าเราจะพักผ่อนได้นานเท่าไหร่ เมื่อไหร่ก็ได้ มันคงไม่มีความหมายมากนัก
- การรู้ดีว่าเขาจะไม่มีโอกาสได้มีประสบการณ์แบบนี้อีกต่างหากที่ทำให้มีความหมาย
เราบังเอิญมีชีวิต
- เราไม่ได้เลือกที่จะเกิดมา เราไม่ได้มีสิทธิใน 4,000 สัปดาห์ เหมือนเป็นเจ้าหนี้ที่ต้องเก็บเงินให้ครบ
- ชีวิตในทุกๆวัน ไม่ได้จำเป็นต้องเป็นไปตามที่เราคาดหวังทุกอย่าง และ การหวังแบบนั้นก็มีแต่จะทำให้ผิดหวัง
- การยอมรับความจริงว่า ชีวิตมันก็แบบนี้แหล่ะ ต้องเจอรถติดบ้างอะไรบ้าง เป็นเรื่องที่ปกติ ไม่ได้แย่กว่าปกติเลย น่าจะทำให้มุมมองต่อเหตุการณ์นั้นๆดีขึ้น
เราเลือกเอง
- เรายอม สละหลายสิ่ง เพื่อมาทำสิ่งนี้ ส่งผลให้สิ่งที่เลือกดูมีความหมายมากขึ้น
การแต่งงานคือการปิดโอกาสในการพบคนอื่น สิ่งนี้ต้องมีความหมายมากแน่ๆ
- “ความสุขที่ได้พลาดโอกาส” เกิดจากการที่คุณได้เลือกสิ่งหนึ่ง และ ทิ้งอีกหลายสิ่ง
- ด้วย เวลาที่คุณไม่มีสิทธิคาดหวังจะได้รับด้วยซ้ำ
เป็นผู้ผลัดวันประกันพรุ่งที่ดีกว่าเดิม
ย้ำอีกรอบว่า เราไม่มีทางทำทุกอย่างเสร็จได้ เพราะมันเยอะเกินไป
- ที่ดีกว่าคือการหาวิธีให้เราสามารถหาวิธีตัดสินใจอย่างฉลาดที่สุดว่า “เราจะไม่ทำอะไร” และทำอย่างไรให้รู้สึกสบายใจเมื่อไม่ได้ทำมัน
- เครื่องการจัดการเวลาคือ สิ่งที่มันสามารถช่วยให้คุณละเลยสิ่งที่สมควรละเลยได้
- เหมือนเรื่องหินในขวดโหล
วิธีจัดการกับเวลา
1. เมื่อเป็นเรื่องเวลา ให้กันให้สิ่งสำคัญก่อน อย่าคาดหวังว่าจะทำอย่างอื่นเสร็จแล้วเหลือเวลามาทำสิ่งสำคัญ เช่น อ่านหนังสือ เพราะคุณจะไม่มีเวลาเหลือหรอก เช่นจะอ่านหนังสือ 300 หน้า ก็ อ่านมันตอนเช้าเลย 30 นาที เพราะถ้ารอตอนเย็น จะไม่เหลือแรงและเวลาแล้ว อย่างน้อยก็มี progress ในเรื่องสำคัญ และ สุดท้ายไม่ว่าคุณจะกันเวลาไว้อ่านหนังสือหรือไม่อ่าน คุณก็มีเรื่องที่ทำไม่เสร็จ เยอะแยะอยู่ดี
2. จำกัดจำนวนชิ้นงานที่อยู่ เพราะพองานเยอะ มันจะยากแยะน่ากลัว แล้วคุณจะไม่เริ่มทำ กันไว้ไม่เกิน 3 สิ่ง
3. อดกลั้น ไม่ทำสิ่งสำคัญ ระดับปานกลาง วอเรน บัฟเฟต เคยเล่าวิธีบริหารเวลาให้ฟังว่า
“ list 25 สิ่งทีสำคัญออกมา เรียงลำดับ แล้วให้ทำ 5 สิ่งแรก และอย่าทำอีก 20 สิ่ง แม้ว่าเวลาจะเหลือ”
โลกเรามีสิ่งที่น่าสนใจประมาณนึง อยู่เยอะเกินไป
ความจริง VS อุดมคติ
- ความจริงจะออกมาแย่กว่าที่คุณคิดไว้เสมอ
- อย่าหมกมุ่นกับความสมบูรณ์แบบที่อยู่ในความคิด
- สบายใจได้เลย เวลาผลงานไม่ออกมาเหมือนที่คิด
ลงหลักปักฐาน
- การมีทางเลือก คือคุณไม่ได้เลือก
- ถ้าคุณเดทกับคู่ของคุณ ในขณะที่หวังว่าจะได้เจอคนที่ดีกว่า แปลว่าคุณกำลังใช้เวลากับคู่ที่ไม่ได้ตรงกับในอุดมคติของคุณ
- ซึ่งเป็นการใช้เวลาที่มีอยู่อย่างจำกัดไปอย่างเสียเปล่า
- เพราะคุณไม่มีความสุขกับปัจจุบัน และ เสียเวลาความสุขของอนาคต
อนาคต vs ปัจจุบัน
- อนาคตมักจะดูมีความสุขกว่าเสมอ เพราะคุณสามารถดื่มด่ำกว่าความหวังที่ยังไม่เกิดขึ้นได้ในโลกจิตนาการที่ไม่มีข้อจำกัด
- ปัจจุบันมักมีข้อกังวลว่าอนาคตจะเป็นเช่นไร แต่เมื่อเกิดขึ้นแล้ว แม้เป็นเรื่องทีคิดว่าจะแย่ แต่ก็รู้สึกโล่ง ที่ไม่ต้องฟุ้ง
- การมีทางเลือกมากเกินไป เช่นเลือกระหว่างสิ่งที่ดีพอๆกันสองสิ่ง แย่กว่า การมีสิ่งดีๆให้อันเดียวโดยไม่ต้องเลือก
ปัญหาเรื่องแตงโม
สิ่งที่คุณให้ความสนใจ จะเป็นตัวกำหนดความหมายของโลกความจริวสำหรับคุณ
- แต่มันไม่สำคัญเลยว่า คุณจะมุ่งมั่นใช้เวลาที่มีอยู่อย่างจำกัดให้คุ้มค่าแค่ไหน
- เพราะ Feed คุณจะมาพร้อมกับเรื่องรบกวนสมาธิ อย่างการนั่งรอดูว่าหนังยางกี่เส้น ทำให้แตงโมงระเบิด
การควบคุมความสนใจของตัวเองให้ได้ทั้งหมด เป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้
- เราวิวัฒนาการมาให้สังเกต และสนใจเสียง หรือ อะไรแว้บๆ เพราะเมื่อก่อนมันคือสิ่งชี้เป็นชี้ตาย
- เราจึงสนใจ Notification และ หนีจาก News feed ในแอพต่างๆไม่ได้ เพราะเราวิวัฒนาการมาให้สนใจมัน
- ยิ่งรางวัลคาดเดาไม่ได้ เรายิ่งไถไปเรื่อยๆ
News Feed คุณอารมณ์เราด้วย
- ถ้าเราเห็นข่าวอาชญากรรมบ่อยๆ เราจะพลอยคิดว่าแถวบ้านเราไม่ปลอดภัยไปด้วย โดยไม่มีสาเหตุ
- และเมื่อเราเห็นอะไรบ่อยๆ เราจะคิดว่ามันสำคัญ และ News feed กำหนดสิ่งที่เราเห็นได้
- ซึ่งจะกำหนดมุมมองชีวิตของเรา โดยเราไม่ได้ตระหนักเลยว่า มีบางอย่างไม่ถูกต้อง
ผู้รบกวนที่ใกล้ชิด
ทำไมเรา วอกแวก เสียสมาธิ
- เรามีตัวตนภายในที่คอยผิวปาก บอกให้เราสนใจอย่างอื่นที่ไม่ใช ภารกิจหลัก ไปสู่อะไรอย่างอื่น
- ซึ่งอาจจะเกิดจากความอึดอัด ของภารกิจหลัก
- อึดอัดมากพอที่เราจะ ยอมเบี่ยงเบนไปทำอย่างอื่น เช่นการเล่นโทรศัพท์บนโต๊ะอาหาร เพราะการตั้งสมาธิฟังมันเป็นเรื่องยาก
ความทุกข์ทรมานทั้งหมดของมนุษย์ โดยแก่นแท้แล้วคือความพยายามที่จะ ฝืนไม่สนใจความเป็นไปของสิ่งต่างๆ เพราะเราหวังให้มันเป็นแบบอื่น
เราไม่เคยมีเวลาจริงๆ หรอก
อะไรที่คุณวางแผนไว้ มันจะใช้เวลานานกว่าที่คาดการณ์ไว้เสมอ
- ไม่ว่าคุณจะวางแผนล่วงหน้ามากแค่ไหน คุณไม่มีทางผ่อนคลายได้ ถ้ามัวแต่คาดหวังความเป๊ะ
ถ้าคุณเผื่อเวลาไปถึงสนามบินก่อน 14 ชั่วโมง มันก็ไม่ช่วยการันตีว่าคุณจะไม่ตกเครื่อง เพราะมีอีกเป็นล้านเหตุผลที่คุณจะตกเครื่องได้
- สมมุติคุณได้ขึ้นเครื่องบินแล้ว คุณก็จะไปกังวลเรื่องสภาพอากาศต่อ.. จะไปทันรถไฟไหมนะ
- อะไรก็เกิดขึ้นได้ อย่ามัวแต่กลัวว่ามันจะพลาด ไว้พลาดแล้วค่อยๆหาทางแก้ ดีกว่าประสาทแดกกลัวว่ามันจะพลาด ดีกว่า
- ไม่มีอะไรเป๊ะตามใจเรา อย่าไปคาดหวัง เดี๋ยวจะผิดหวัง เพราะ อนาคตไม่ใช่สิ่งที่คุณจะบังคับได้
- ชีวิตเราล้วนแต่บังเอิญ ไม่ใช่มาจากการวางแผนเป๊ะๆ ว่าจะเจอใคร เรียนที่ไหน คุณแค่ต้องตามน้ำไป
- เราควรโฟกัสเฉพาะ สิ่งตรงหน้า ที่เราควบคุมได้ ไม่ใช่กังวลอนาคต และคิดอยากจะแก้ไขอดีต
อย่าวิตกถึงวันพรุ่งนี้ เพราะพรุ่งนี้ก็จะมีเรื่องกังวลสำหรับตัวมันเอง ต่ละวันก็มีความทุกข์ร้อนมากพออยู่แล้ว
คุณอยู่ตรงนี้
- ยิ่งคุณหมกมุ่นกับการ ใช้เวลาให้ดี แต่ละวันจะเริ่มรู้สึกเหมือนเป็นบางอย่างที่ คุณต้องทำให้มันผ่านไป
ในที่สุด — เมื่อ — ฉัน
- ในที่สุด เมื่อฉันคุมปริมาณงานได้ หลังจากนั้นฉันจะผ่อนคลายได้
- เป็นทัศนคติที่ คุณจะไม่มีวันรู้สึกเต็มอิ่มได้เลย เพราะ ยากมากที่คุณจะคุมปริมาณงานได้ หรือต่อให้คุมได้ คุณก็จะสร้างเงื่อนไขใหม่ขึ้นมา ให้ตัวเองที่ยังไม่มีความสุขสักที ที่ต้องรอตัวเองสำเร็จถึงจะมีค่า
- แล้วคุณก็ขยับเป้าหมายไกลออกไปเรื่อยๆ จนคุณพอว่า ไม่มีช่วงเวลาไหนเลยในชีวิตที่รู้สึกว่าตัวเองมีค่า
ราวกับเป็นครั้งสุดท้าย
- พวกเราไม่มีใครรู้ว่าจะได้ทำอะไรเป็นครั้งสุดท้าย เช่น เจอเพื่อนคนนี้ ครั้งสุดท้าย ได้มาเที่ยวที่นี่ครั้งสุดท้าย ได้กินร้านนี้เป็นครั้งสุดท้าย
- เราควรจะพยายามปฏิบัติต่อทุกประสบการณ์ด้วยความเคารพ ราวกับว่ามันเป็นครั้งสุดท้าย
ค้นพบการพักผ่อนอีกครั้ง
เราสามารถพักผ่อนได้โดยไม่ต้อง Productive ก็ได้ !!!
- ทุกวันนี้ผู้คนใช้เวลาพักผ่อนไปเพื่อ พัฒนาอะไรบางอย่าง เช่นวิ่งเฉยๆไม่ได้ ต้องโน้มน้วตัวเองให้เชื่อว่า การวิ่งจะนำไปสู่ความสำเร็จในภายภาคหน้า
- ทำให้ตัวเองรู้สึกว่า ได้ใช้ชีวิตคุ้มค่า
น่าเศร้าที่เราต้องหาความชอบธรรมให้กับการพักผ่อน
- ทั้งๆที่เรามีเวลาว่าง มากกว่าหลายสิบปีก่อน มากแล้วก็ตาม
การพักผ่อนไม่ใช่เครื่องมือที่ช่วยพาไปสู่เป้าหมายต่างๆ
การพักผ่อนคือเป้าหมาย
- ความจริงคือ การใช้เวลาว่างอย่างสิ้นเปลือง โดยมุ่งความสนใจไปที่ความสุขที่เกิดจาการสัมผัสประสบการณ์เท่านั้น คือหนทางเดียวที่จะทำให้มันไม่เสียเปล่า
- มันคือการว่างที่แท้จริง แทนที่จะแอบแฝงการพัฒนาตัวเองแบบมุ่งเน้นอนาคตไปด้วย
โรคคลั่งไคล้ประสิทธิภาพ
- เรากำลังกลายเป็นคนที่ไม่ต้องการพักมากขึ้นเรื่อยๆ
- การอยู่เฉยเป็นสิ่งที่ ก่อให้เกิดความวิตกกังวลมาเป็นพิเศษ
- คุณกำลังคิดว่า ความพยายามของคุณ จะพาไปสู่ความสุขในอุดมคติของคุณ
- แต่คุณต้องยอมรับความจริงว่า มันก็เท่านั้นแหล่ะ วันแต่ละวันของคุณ ไม่ได้กำลังพัฒนาไปสู่อนาคตที่มีความสุขสมบูรณ์แบบถาวร
เราเป็นผลรวมของทุกช่วงเวลาในชีวิตของเราเอง
งานอดิเรกที่ดีควรจะทำให้คุณรู้สึกอายนิดๆ
- เพราะมันแสดงให้เห็นว่า คุณได้เลือกเอง ไม่ใช่สังคมกดดันมา ว่า ภาพลักษณ์แบบเราต้องทำงานอดิเรกอะไร
วังวนของความใจร้อน
บีบแตรในมุมไบ
- ไม่มีคนขับรถสติดีคนไหน หวังว่าการบีบแตรที่มุมไบจะช่วยให้รถไปได้เร็วขึ้น
- ความใจร้อนมักทำให้พวกคุณไปได้ช้าลง
- การเร่งรีบมากเกินไป หมายความว่า คุณจะผิดพลาดมากขึ้น ซึ่งทำให้คุณจำเป็นต้องกลับไปแก้ไขมัน
เร็วแค่ไหนถึงพอใจ ?
- ทุกวันนี้เราทำอะไรได้เร็วกว่าเมื่อก่อนเยอะแล้ว
- แต่เราไม่พอใจกับเวลาทั้งหมดที่ประหยัดได้ แถมยังหงุดหงิดกว่าเดิม
- เพราะหวังว่ามันจะเร็วได้มากกว่านี้อีก
- เอาอีกละ ความหวัง
- มันเป็นเพราะเราไม่ยอมรับความจริงว่า กิจกรรมส่วนใหญ่ต้องใช้เวลา
- นั่นเป็นสาเหตุว่า ทำไมความอดทนถึงสำคัญ
อยู่บนรถบัสต่อไป
หลักควรอดทน สามประการ
1. ทำตัวให้คุ้นชินกับการเจอปัญหา
- เพราะ ภาวะไร้ปัญหา จะไม่มีวันมาถึงอย่างแน่นอน และคุณไม่อยากให้มันมาถึง เพราะชีวิตที่ไร้ปัญหานั้นว่างเปล่า ไม่มีอะไรน่าทำ เป็นชีวิตที่ไร้ความหมาย
2. เปิดรับการเปลี่ยนแปลงอย่างช้าๆ เพื่อผลลัพธ์ที่ต่างออกไปอย่างสิ้นเชิง
- ต้องเข้าใจก่อนว่า วันๆนึงเราทำอะไรได้ไม่มากนัก
- เราไม่สามารถ อ่านหนังสือ 24 ชม แทน อ่านหนังสือวันละ 3–4 ชม ทุกวันในสัปดาห์ได้
- ทุกอย่างต้องค่อยเป็นค่อยไป
3. ความเป็น Original เป็นอีกขั้วของการเลียนแบบ
- คุณอย่าคาดหวังว่าสิ่งที่คุณทำ มาจากคุณคนเดียวล้วนๆ
- มันต้องมีอะไรสักอย่างที่ไปซ้ำกับคนอื่น ไม่ต้องเปลี่ยนไปเรื่อยเพื่อให้ไม่ซ้ำ
- ไม่ต้องพยายามหาที่ให้ตัวเอง ไม่ซ้ำใครทั้งหมด
- เอนจอยชีวิต จะซ้ำก็ช่างมันบ้าง
ความโดดเดี่ยวของดิจิทัลโนแมด
เวลาเป็นสินค้าเครือข่าย ( Network good )
- มูลค่าของมันขึ้นอยู่กับว่าคนอื่นเข้าถึงมันได้อีกกี่คน และส่วนที่เขามีกับส่วนที่คุณมี ประสานเข้ากับได้มากแค่ไหน
- เวลาว่าง แต่ใช้ร่วมกับคนรัก เพื่อน และครอบครัวคุณไม่ได้ ก็มูลค่าแทบไม่เหลือ
- เวลาเลยไม่ใช่สิ่งที่ต้องกักตุน แต่เป็นแบ่งปัน ใช้เวลาพร้อมๆกับคนอื่น
- เราจะมีความสุขมากขึ้น เมื่อได้ใช้เวลาร่วมกับคนอื่น หรือ ชุมชน หรือ กลุ่มคน
- คนว่างงาน ยังแฮปปี้ขึ้นในวันเสาร์อาทิตย์ แม้จะว่างทุกวัน
เรียนรู้ที่จะปฏิเสธ
- เป็นเกราะป้องกันคนอื่นมาแย่งเวลาจากเรา
เราไม่ได้สำคัญในจักรวาล
ศาสนาไม่สามารถมอบจุดมุ่งหมายสำเร็จรูปที่เป็นสากลอย่างที่เคยเป็นมาได้อีกแล้ว
- มันจะมีประโยชน์อะไร ถ้าคุณใช้เวลาทั้งหมดที่คุณมีในแบบที่ต้องพยายามทำให้รู้สึกว่า มันมีคุณค่าอยู่ตลอด
- เรามัวแต่ไขว่คว่าชีวิตการงานจนไม่มีเวลาให้เพื่อนบ้าน
- ที่ผ่านมา คุณพยายามเทียบตัวเองกับมาตราฐานที่คุณไม่ควรคาดหวังให้ตัวเองไปถึง
เราไม่ได้ปฏิเสธเก้าอี้เพราะมันชงชาไม่ได้สักหน่อย
- ทุกคนต่างเรียกร้องให้เราเป็นอย่างนู้นอย่างนี้ เป็นในสิ่งที่มีไม่กี่คนทำได้
- แต่ต่อให้คุณสำคัญขนาด ไอน์สไตล์ หรือ โมซาร์ท จักรวาบก็จะลืมคุณในไม่ช้า