[รีวิว + สรุป] หนังสือ : Guns, Germs, and Steel | ปืน เชื้อโรค เหล็กกล้า
“ทำไมความเจริญรุ่งเรืองถึงกระจายไม่เท่าเทียมกันในโลก?”
รีวิว
- หนังสือเล่มนี้เน้นการอธิบายปัจจัยที่มีผลต่อการพัฒนาของสังคมมนุษย์อย่างเป็นระบบและวิทยาศาสตร์ ทำให้เราเข้าใจถึงสาเหตุและผลกระทบต่างๆ ที่ทำให้โลกในปัจจุบันเป็นอย่างที่เป็น
- คนเขียนถามคำถามที่เราไม่เคยคิดจะถามมาก่อน แล้วเมื่อรู้คำถามแล้วก็ไม่อยากวางหนังสืออีกเลย โดยหนังสือเล่มนี้พยายามจะสรุปประวัติศาสตร์ที่เป็นของที่คนในช่วง 13,000 ปีที่ผ่านมา
- เห็นเล่าหนาๆ คนเขียนใจดีแบ่งเป็น 20 บทให้ ซึ่งบทนึงราวๆ 30 หน้า กำลังสนุก
อ่านแบบยาวๆได้ที่ Bit.ly/mosbook2024-012
สรุป
Part One: From Eden to Cajamarca
1. Up to the Starting Line
- อธิบายถึงการเริ่มต้นของมนุษยชาติและการกระจายของมนุษย์จากแอฟริกาไปยังส่วนต่างๆ ของโลก
2. A Natural Experiment of History
- เปรียบเทียบการพัฒนาของชาวมาวรี (Maori) และชาวโมริโอริ (Moriori) ซึ่งแสดงให้เห็นถึงบทบาทของสภาพแวดล้อมในประวัติศาสตร์ของมนุษย์
3. Collision at Cajamarca
- เล่าถึงการพบกันระหว่างชาวสเปนและอินคาที่ Cajamarca ซึ่งชี้ให้เห็นถึงบทบาทของเทคโนโลยีและโรคในความสำเร็จของผู้พิชิตยุโรป
Part Two: The Rise and Spread of Food Production
4. Farmer Power
- อธิบายว่าการเกษตรนำไปสู่การสร้างสังคมที่มีความซับซ้อนและอำนาจมากขึ้นได้อย่างไร
5. History’s Haves and Have-Nots
- วิเคราะห์ว่าทำไมบางภูมิภาคจึงมีการเกษตรที่พัฒนาและผลิตผลมากกว่าภูมิภาคอื่น
6. To Farm or Not to Farm
- สำรวจเหตุผลที่บางกลุ่มคนเลือกทำการเกษตรและบางกลุ่มไม่เลือกทำ
7. How to Make an Almond
- อธิบายกระบวนการทำให้พืชป่าเปลี่ยนไปเป็นพืชเกษตรที่สามารถปลูกและเก็บเกี่ยวได้
8. Apples or Indians
- เปรียบเทียบการเพาะปลูกพืชในภูมิภาคต่างๆ ของโลก เช่น เมโสอเมริกาและตะวันออกกลาง
9. Zebras, Unhappy Marriages, and the Anna Karenina Principle
- วิเคราะห์ว่าทำไมสัตว์บางชนิดสามารถเลี้ยงในบ้านได้และสัตว์บางชนิดไม่สามารถเลี้ยงได้
Part Three: From Food to Guns, Germs, and Steel
10. Spacious Skies and Tilted Axes
- อธิบายว่าการกระจายของการเกษตรไปในทิศทางตะวันออก-ตะวันตกง่ายกว่าไปในทิศทางเหนือ-ใต้เนื่องจากภูมิอากาศและช่วงเวลาของฤดูกาล
11. Lethal Gift of Livestock
- อธิบายว่าโรคระบาดที่มาจากสัตว์เลี้ยงมีบทบาทสำคัญในการล่มสลายของสังคมต่างๆ
12. Blueprints and Borrowed Letters
- วิเคราะห์การพัฒนาและการกระจายของการเขียนและภาษาในสังคมต่างๆ
13. Necessity’s Mother
- อธิบายถึงบทบาทของนวัตกรรมและการประดิษฐ์ในประวัติศาสตร์มนุษย์
14. From Egalitarianism to Kleptocracy
- อธิบายว่าทำไมและอย่างไรสังคมมนุษย์เปลี่ยนจากสังคมที่เท่าเทียมไปสู่สังคมที่มีการควบคุมและการกดขี่
Part Four: Around the World in Five Chapters
15. Yali’s People
- สำรวจประวัติศาสตร์และการพัฒนาของประชากรในปาปัวนิวกินี
16. How China Became Chinese
- วิเคราะห์ว่าทำไมและอย่างไรจีนจึงกลายเป็นสังคมที่รวมศูนย์และมีวัฒนธรรมเดียวกัน
17. Speedboat to Polynesia
- อธิบายการกระจายของประชากรและวัฒนธรรมในแปซิฟิก
18. Hemispheres Colliding
- วิเคราะห์ผลกระทบจากการพบกันของโลกใหม่และโลกเก่าหลังจากการค้นพบอเมริกา
19. How Africa Became Black
- สำรวจประวัติศาสตร์และการพัฒนาของประชากรในแอฟริกา
- “Who are the Japanese?”
- สำรวจถึงประวัติศาสตร์และต้นกำเนิดของประชากรญี่ปุ่น
เหตุใดประวัติศาสตร์โลกจึงเปรียบเสมือนหอมหัวใหญ่ ,
- หนังสือส่วนใหญ่ที่กล่าวถึงประวัติศาสตร์โลกมักมุ่งเน้นที่ยุโรป-เอเชีย กับแอฟริกาเหนือที่มีลายลักษณ์อักษรแล้วเป็นหลัก ช่วง 3000 ปี ก่อนคศ
- ซึ่งการพูดถึงแค่ วงแคบๆ แบบนั้นมีข้อด้อยด้วยกัน 3 อย่างคือ
1) ทุกวันนี้เราให้ความสนใจประเทศอื่นๆแล้ว และ ประเทศอื่นๆก็ไม่ได้ด้อยพัฒนาแล้ว
2) ประวัติศาสตร์วงแคบ ไม่อาจให้คำตอบที่ลึกซึ้ง และเป็นการไม่ถูกต้องที่จะกล่าวว่าสังคมอื่นๆ เหมือนกันไปหมด จนกระทั่ง 3000 ปีก่อนคศ
3) ประวัติศาสตร์ที่เน้นยูเรเชีย มองข้ามคำถามสำคัญไปข้อนึงคือ เหตุใดสังคมเหล่านั้นจึงมีอำนาจต่างจากสังคมอื่นๆ
- ทำไมลัทธิขงจื๊อจึงไม่พัฒนาในยุโรป แล้วทำไม ยิว-คริสเตียน ไม่พัฒนาขึ้นในจีน
- ประวัตศาสตร์โลกจึงเหมือนหัวหอมใหญ่ที่ถูกบอกเล่าเพียงแค่เปลือกนอกที่มีแต่โลกสมัยใหม่ ห่อหุ้มอยู่ และหนังสือเล่มนี้จะลอกกลีบหัวหอมนั้นออกมา
คำถามของยาลี วิถีความเป็นมาทางประวัติศาสตร์ที่แตกต่างกันในแต่ละภูมิภาคของโลก
- เรารู้แล้วว่าประวัติศาสตร์ของคนแต่ละกลุ่มในส่วนต่างๆของโลก ดำเนินไปในวิถีที่แตกต่างกันมาในช่วง 13,000 ปี นับตั้งแต่สิ้นยุคน้ำแข็งครั้งสุดท้าย
- ปี 1972 เราได้เจอกับ ยาลี บนเกาะนิวกีนี เมื่อ 2 ศตวรรษก่อน ชาวนิวกินียังคงใช้ชีวิตแบบยุคหินจนกระทั่งการมาของนักล่าอนานิคมผิวขาว พวกเรารู้ดีว่าอย่างน้อยชาวนิวกินีทั่วไปก็ฉลาดพอๆ กับชาวยุโรป แต่นั่นเป็นสิ่งที่คาใจ ยาลี มากว่า
ทำไมพวกคนขาวอย่างคุณจึงพัฒนาสินค้าได้มากมายแล้วส่งมานิวกินี ในขณะที่พวกเราคนผิวดำมีสินค้าของตัวเองไม่กี่อย่างเท่านั้น
- ทำไมอำนาจและความมั่นคงถึงกระจายตัวเป็นในรูปแบบปัจจุบัน ทำไมไม่เป็นแบบอื่น
- ก่อน 11,000 ปีก่อนคศ มนุษย์ใช้ชีวิตด้วยการล่าสัตว์ หาของป่าเหมือนๆ กัน จนกระทั่ง ถึงปี 11,000 ก่อน คศ จนถึง คศ 1,500 นั่นเองที่ก่อให้เกิดความไม่เท่าเทียมกันทั้ง ทางเทคโนโลยีและการเมือง
- ภาษาที่เคยมีมากมายก็เริ่มเหลือภาษายอดนิยมไม่กี่ภาษา
- มีเหตุผลง่ายๆสองข้อที่ช่วยยืนยันว่าชาวนิวกินีฉลาดกว่าชาวยุโรป
1) การคัดเลือกทางธรรมชาติน่าจะพรากคนโง่ ของชาว นิวกินีไปหมดแล้ว ในขณะที่ชาวยุโรป คนโง่ยังคงได้สืบพันธุ์ต่อ
2) ชาวยุโรปเสียเวลาไปกับสิ่งบันเทิงจำนวนมาก
- แต่ทำไมชาวยุโรปยังคงพัฒนาได้มากกว่า? บางทีสภาพอากาศที่หนาวเย็นบังคับให้มนุษย์ต้องประดิษฐ์คิดค้นเทคโนโลยีใหม่ๆ ?
- แต่สภาพอากาศแบบนั้นก็ไม่ได้ก่อให้เกิดอารยธรรม จนกระทั่ง 1,000 ปีก่อน
- คำอธิบายอีกอันหนึ่งที่ใช้กันคือ ปัจจัยเฉพาะหน้าที่ทำให้ชาวยุโรปคร่าชีวิตหรือมีชัยเหนือผู้คนกลุ่มอื่นๆ คือ อาวุธปืน โรคติดต่อ และเครื่องมือโลหะ
แล้วทำไม อาวุธปืนถึงไม่เกิดขึ้นที่ แอฟฟริกาหล่ะ ! ทั้งๆที่พัฒนามาก่อนชาวบ้านเขาเลย
ภาคหนึ่ง จากอีเดนสู่กาฆามาร์กา
บทที่1 ก่อนถึงจุดตั้งต้น : เกิดอะไรขึ้นบ้างในแต่ละทวีปก่อนถึง 11,000 ปีก่อนคริสต์ศักราช
- ประวัติศาสตร์ของมนุษย์ เริ่มต้นที่แอฟริกาเล่า เจ็ดล้านปี ก่อน ในช่วงนั้นลิงหางสั้นได้แยกออกเป็นหลายกลุ่ม หนึ่งในนั้นมีวิวัฒนาการมาเป็นมนุษย์
- ปัญหาทางโบราณคดีมักใช้เวลานานหลายทศวรรษกว่าที่นักโบราณคดีจะมีความเห็นเป็นเอกฉันท์ โดยมีสิ่งเดียวในด้านวัฒนธรรมของบรรพบุรุษของเราที่สามารถกล่าวถึงด้วยความมั่นใจก็คือการใช้ประโยชน์จากไฟ ราวห้าแสนปีก่อน
- ประวัติศาสตร์ของมนุษย์ที่แท้จริงก็เริ่มขึ้นหรอกห้าหมื่นปีก่อน เป็นยุคการเติบโตแบบก้าวกระโดด
- การมีกล่องเสียงที่สมบูรณ์และพื้นฐานทางสรีระสำหรับภาษาสมัยใหม่ซึ่งเป็นสิ่งจำเป็นสำหรับความคิดหรือความสามารถในการสร้างสรรค์ของมนุษย์ แม้ว่าขนาดสมองไม่ได้เปลี่ยนแปลงไปด้วยก็ตามสิ่งนี้เอง ที่ช่วยให้มนุษย์สามารถพัฒนาภาษาสมัยใหม่ได้สำเร็จ
- มีประเด็นคำถามมากมายเกี่ยวกับมนุษย์ในแต่ละพื้นที่ว่าการวิวัฒนาการนะเป็นไปแบบคู่ขนานหรือมาจากจุดเริ่มต้นจุดเดียว ซึ่งเรายังไม่มีคำตอบในประเด็นนี้
- เราได้เริ่มเดินทางไกลข้ามทะเลครั้งแรกราว 40,000 ปีก่อนโดยข้ามไปที่ออสเตรเลียและนิวกินี ซึ่งเป็นการเดินทางออกจากทวีปใหญ่อย่างยูเรเชียเป็นครั้งแรก
- หลังจากนั้นเราก็ได้สัมผัสการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์เป็นครั้งแรกโดยสัตว์ขนาดใหญ่ได้สูญพันธุ์ไปทั้งหมด เหตุผลอาจจะมาจากการที่มนุษย์ฆ่าพวกมันเองหรือต้องตายจากผลกระทบทางอ้อมจากการตั้งถิ่นฐานของมนุษย์
- สัตว์ขนาดใหญ่ในแอฟริกามีชีวิตรอดมาได้เพราะว่า พวกมันมีเวลามากพอที่จะพัฒนาความรู้สึกกลัวขึ้นมา ในขณะที่บรรพบุรุษของเรากำลังค่อยๆพัฒนาทักษะการล่าขึ้นมาทีละเล็กทีละน้อย
- มนุษย์ไม่มีเทคโนโลยีรับมือกับความหนาวเลย จนกระทั่ง 40,000 ปีก่อน และเริ่มอยู่อาศัยในอลาสกาครั้งแรก ราว 12,000 ปีก่อนคริสต์ศักราช
- ในบรรดา 5 ทวีป ทวีปอเมริกาเป็นทวีปที่มีมนุษย์ยุคก่อนประวัติศษสตร์อาศัยอยู่ในช่วงสั้นที่สุด
ประเด็นสำคัญ
1. ปัจจัยทางภูมิศาสตร์และสิ่งแวดล้อมมีบทบาทสำคัญในการพัฒนาของสังคมมนุษย์ มากกว่าความสามารถหรือคุณลักษณะเฉพาะของผู้คนในสังคมนั้น ๆ
2. การเกษตรและการเลี้ยงสัตว์เป็นจุดเริ่มต้นที่สำคัญสำหรับการพัฒนาเทคโนโลยีและการสะสมทรัพยากร
3. ความไม่เท่าเทียมระหว่างสังคมต่าง ๆ เกิดจากปัจจัยเหล่านี้ ไม่ใช่จากความสามารถหรือปัญญาของผู้คนแต่ละกลุ่ม
บทที่ 2 “A Natural Experiment of History”
การทดลองโดยธรรมชาติในประวัติศาสตร์ สภาพภูมิศาสตร์มีส่วนหล่อหลอมสังคมบริเวณหมู่เกาะโพลีนีเซียอย่างไร
- ในปี 1835 บน หมู่เกาะชาแธมทางตะวันออกของนิวซีแลนด์ราว 500 ไมล์ มีชาวโมริโอริ อาศัยอยู่ จากนั้นก็มีผู้บุกรุกชาวเมารี 500 คน บุกเข้ามา แล้วก็ฆ่าชาวโมริโอริ ที่มีจำนวนมากกว่าทิ้งทั้งหมด
- โศกนาฎกรรมของชาวโมริโอริ เกิดขึ้นหลายที่บนโลก จากสาเหตุที่ คนกลุ่มหนึ่งมีเทคโนโลยีที่เหนือกว่าอีกกลุ่มหนึ่ง
- ประเด็นคือ ทั้งสองกลุ่มมีต้นกำเนิดเหมือนกัน แต่แยกตัวออกมาเมื่อไม่ถึง 1,000 ปีก่อน
- ประวัติศาสตร์ของชาวโมริโอริ(-) และ ชาวเมารี(+) จะทำให้เราเข้าใจผลกระทบของสภาพแวดล้อม
การแนะนำกรณีศึกษา
- ชาวมาวรี (Maori) และชาวโมริโอริ (Moriori) เคยเป็นกลุ่มคนเดียวกันในนิวซีแลนด์
- ชาวมาวรีย้ายไปยังเกาะเหนือของนิวซีแลนด์ ส่วนชาวโมริโอริย้ายไปยังเกาะ Chatham ที่อยู่ห่างไกล
ความแตกต่างของสิ่งแวดล้อม
- เกาะนิวซีแลนด์: อุดมสมบูรณ์ มีทรัพยากรมาก ทำให้ชาวมาวรีสามารถทำการเกษตรและเลี้ยงสัตว์ได้
- เกาะ Chatham: สภาพแวดล้อมยากลำบาก ไม่มีทรัพยากรเพียงพอสำหรับการเกษตร ต้องอาศัยการล่าสัตว์และเก็บของป่า
ผลกระทบของสิ่งแวดล้อมต่อสังคม
- ชาวมาวรี: มีการเกษตรที่มั่นคง สามารถสะสมทรัพยากร มีประชากรมากและการแบ่งแยกชนชั้น เกิดการต่อสู้เพื่อแย่งชิงทรัพยากร
- ชาวโมริโอริ: มีชีวิตที่เรียบง่าย สงบสุข ไม่มีการต่อสู้ เน้นการอยู่ร่วมกันอย่างสงบ
การปะทะกันระหว่างชาวมาวรีและชาวโมริโอริ
- ในปี 1835 ชาวมาวรีเดินทางมาถึงเกาะ Chatham และพิชิตชาวโมริโอริได้อย่างง่ายดาย เนื่องจากชาวโมริโอริไม่มีการฝึกทหารและอาวุธที่มีประสิทธิภาพ
- ในขณะที่ชาวเมารีที่เจริญกว่า เลือกที่จะทำเกษตรกรรม ชาวโมริโอริที่อยู่บนเกาะ ถูกบังคับให้กลับไปเก็บของป่า ล่าสัตว์อีกครั้งเพราะพื้นที่ไม่เหมาะกับการทำเกษตร
- การที่ชาวโมริโอริ เก็บของป่าล่าสัตว์นั้น ทำให้พวกเขาไม่มีของผลผลิตส่วนเกิน เก็บสำรองหรือแบ่งกันกิน จึงไม่สามารถอุดหนุนเลี้ยงดูบรรดาช่างฝีมือ นักรบ เจ้าพนักงาน และหัวหน้าเผ่า ซึ่งล้วนไม่ได้ล่าสัตว์ด้วยตนเอง
- แถมการเป็นเกาะที่อยู่ห่างไกลจากคนอื่น ก็สามารถรองรับชีวิตแบบเก็บของป่าได้แค่ 2,000 คน
- แม้ชาวเมารีและโมริโอริ จะมีบรรพบุรุษร่วมกัน แต่เมื่อเวลาผ่านไปพันปี การที่ชาวเมารีได้ข่าวว่า มีเกาะที่อุดมสมบูรณ์ และคนบนเกาะนั้นตัวเล็ก ไม่มีอาวุธ ก็เพียงพอที่จะเดินเรือไปยึด และชิงเกาะมาเป็นของตัวเองได้แล้ว
ลองขยายการทดลองมาเป็นขนาดกลาง ซึ่งเป็นสังคมของชาวโพลีนีเซีย ซึ่งกระจายตามเกาะต่างๆ
- ซึ่งความแตกต่างเกิดจากตัวแปรด้านสิ่งแวดล้อมที่แตกต่างกันอย่างน้อย 6 ประเภท
1. สภาพภูมิอากาศ — บางพื้นที่ร้อน บางพื้นที่หนาว บางพื้นที่มีฝน บางพื้นที่แห้งแล้ง
2. สภาพทางธรณีวิทยา — บ้างก็มีดินที่เหมาะแก่การเพาะปลูก บ้างก็มีธารน้ำขนาดใหญ่
3. ทรัพยากรทางทะเล — บ้างก็อยู่ในเขตน้ำตื้น แนวปะการังล้อมรอบ มีกุ้งหอยปูปลานานาชนิด แต่บางเกาะเป็นก้นทะเลดิ่ง ไม่มีแนวปะการังโดยรอบ
4. ขนาดเนื้อที่ — บางเกาะเล็กแค่ 100 เอเคอร์ หรือ บางเกาะใหญ่ถึง 103,000 ตารางไมล์ ซึ่งใหญ่จนเป็นทวีปเล็กๆได้ทีเดียว
5. สภาพภูมิประเทศที่แยกพื้นที่ก็ออกเป็นส่วน ๆ
6. การแจ้งตัวโดดเดี่ยวของแต่ละเกาะ
- โดยสรุปแล้ว เกาะไหนมีการทำเกษตรยิ่งเข้มข้นมากเท่าใด ความหนาแน่นของประชากรก็จะมากขึ้นเท่านั้น !!
ประเด็นสำคัญ
1. สภาพแวดล้อมที่อุดมสมบูรณ์และเอื้อต่อการเกษตรช่วยให้สังคมสามารถพัฒนาเทคโนโลยีและการทหารที่เข้มแข็ง
2. สภาพแวดล้อมที่ยากลำบากทำให้สังคมต้องปรับตัวและมีชีวิตที่สงบสุขโดยไม่มีการทำสงคราม
3. “การทดลองทางธรรมชาติ” นี้ยืนยันว่าปัจจัยทางภูมิศาสตร์และสิ่งแวดล้อมมีบทบาทสำคัญในการกำหนดรูปแบบของสังคมมนุษย์
บทที่ 3 "Collision at Cajamarca"
การปะทะที่กาฆามาร์กา ทำไมจักรพรรดิอาตาวัลปาแห่งอินดาจึงไม่เป็นฝ่ายที่จับกุมพระเจ้าชาร์ลส์ที่ 1 แห่งสเปนเป็นเชลย
กรณีศึกษา การปะทะกันของโลกเก่าและใหม่
- ทวีปอเมริกา มีคนอยู่มาตั้งแต่ 11,000 ปีก่อนศริสต์ศักราชแล้ว แต่เกือบทั้งหมดได้ถูกชาวยุโรปฆ่าตายในเวลาไม่นาน หลังจาก คริสโตเฟอร์ โคลัมบัส ค้นพบ ทวีปนี้ในปี 1492
- ปี 1532 จักรพรรดิอาตาวัลปาแห่งอินดา ที่มีทหารกว่า 80,000 นาย พสกนิกรหลายล้านคน โดนชาวสเปน 168 คนจับตัวเป็นเชลย เรียกค่าไถ่เป็นทองคำเต็มห้อง แถมโดนฆ่าตายอยู่ดีท้ายที่สุด
อะไรที่ทำให้สเปนชนะขาดลอย ?
1. ปืน : ถึงแม้สมัยนั้นปืนจะไม่ได้ฆ่าคนได้มากนักเพราะน้ำหนักและความเชื่องช้า แต่มันส่งผลต่อจิตใจของอีกฝ่ายเป็นอย่างมาก
2. อาวุธเหล็กกล้า : ที่แทงทะลุเกราะอันเปราะบางของชนพื้นเมืองได้สบายๆ
3. ม้า : พาหนะที่ชนพื้นเมืองไม่เคยเห็น ที่ฆ่าทหารยามได้ก่อนส่งข่าวเตือนภัย ม้าสำคัญในการรบมาก ตั้งแต่ 4000ปีก่อนคริสต์ศักราช จนถึงปี 19xx ที่เริ่มมีรถถังและปืนกล
4. เกราะเหล็ก : ที่ป้องกันกระบองไม้ หิน จากชนพื้นเมืองได้โดยไร้รอยขีดข่วน
5. จิตวิทยา : ความเหนือกว่าทางอาวุธ ทำให้ชนพื้นเมืองคนว่าชาวสเปนเป็นเทพ และคิดว่าสู้ไม่ได้แน่ๆ ยอมแพ้ เข้าพวกดีกว่า
6. เชื้อโรค : ไข้ทรพิษ ทำให้ชนพื้นเมืองที่ไม่มีภูมิคุ้มกัน ตายก่อนที่จะได้สู้กับชาวสเปนด้วยซ้ำ แถมยังคร่าชีวิตจักรพรรดิจนเกิดสงครามแย่งชิงอำนาจ ที่ทำให้สเปนโจมตีได้ง่ายขึ้นไปอีก แต่เชื้อโรคอย่าง มาลาเรียเองก็ กันไม่ให้สเปนยึดครองพื้นที่ในเขตร้อนในบแถบอินเดีย ASEAN เหมือนกัน
7. การเดินเรือ : ถ้าไม่มีเรือ เสปนก็ยกกองทัพมาถึงที่นี่ไม่ได้หรอก
8. การปกครองแบบรวมศูนย์ : ที่คอยจัดสรรงบประมาณในการต่อเรือ จ้างแรงงาน หาอุปกรณ์
9. ภาษาเขียน : ที่ทำให้ส่งต่อความรู้ และ แรงจูงใจ ให้มีคนอยากมาทวีปอเมริกามากพอที่จะยึดทวีปได้ รวมไปถึงกลยุทธในการทำสงครามด้วย
ทำไมจักรพรรดิอาตาวัลปาถึงแพ้ง่ายจัง
- รู้น้อย : จักรพรรดิรู้จักสเปนจาก คำบอกเล่าของทูต ที่สังเกตกองทหารแค่ไม่กี่วัน แล้วคิดว่า ทหารผอมๆไม่เป็นระเบียบแค่ร้อยกว่าคน ไม่น่าทำอะไรได้ เลยยอมไปเจอด้วยกำลังคนไม่เยอะมาก
- ขนาดสเปนไล่เอาชนะ ชนเผ่ามาตั้งแต่ 1510 ซึ่งเป็นชนเผ่าเก่งๆมาตั้งเยอะ ยังประมาทได้ กว่าจะรู้ว่าสเปนเก่ง ก็ปาเข้าไปปี 1527
- เชื่อคนง่าย : ยังไม่รู้ว่าสเปนโหดร้ายได้แค่ไหน ถึงยอมจ่ายค่าไถ่ แล้วให้สเปนมีทองไปจ้างคนมาบุกเพิ่ม
- เชื่อเรื่องเทพ : โดนคนยุโรปหลอกว่าเป็นเทพ ก็เชื่อเฉย
ภาคสอง จุดเริ่มตันและการขยายตัวของการผลิตอาหาร
บทที่ 4 “Farmer Power”
อำนาจของเกษตรกร รากเหง้าอันเป็นที่มาของปืน เชื้อโรค และเหล็กกล้า
- มนุษย์แยกกับลิงเมื่อ 7 ล้านปีก่อน แล้วก็เก็บผักล่าสัตว์จนถึง 11,000 ปีที่แล้ว ที่มีคนบางกลุ่มเริ่มทำเกษตร
- บทนี้จะสรุปให้เห็นว่า ทำไมการปลูกผักเลี้ยงสัตว์ ถึงเป็นต้นตอของการพัฒนา ปืน เชื้อโรค และเหล็กกล้าของมนุษย์
ที่ไหนทำเกษตรก่อน
- ผมว่าทุกคนพอจะเดาได้ว่า ปลูกผักแล้วเจริญกว่า แต่ทำไมบางกลุ่มถึงปลูกก่อน ได้เปรียบก่อน ชนะก่อน
จริงๆ การปลูกผักเลี้ยงสัตว์ ไม่ได้ทำได้ทุกที่ และไม่ใช่ทุกที่ ที่ต้องทำด้วย
- ในแอฟริกา ที่ทุกอย่างอุดมสมบูรณ์ ผักเขียว สัตว์ให้ล่าเต็มไปหมด จะปลูกไปทำไมในเมื่อล่าง่ายกว่าเยอะ
- ในขณะที่ยูเรเชียอาจจะไม่อุดมสมบูรณ์เท่า หรือ ถึงขั้นบางช่วงในหน้าหนาว หากินไม่ได้เลย
- แถบตะวันออกกลาง ซึ่งเป็นที่แรกๆ ที่มนุษย์เริ่มออกจากแอฟริกา เลยเป็นที่แรกที่เริ่มทำการเกษตร
ทำเกษตรแล้วดียังไง
- การมีอาหารที่ให้ปริมาณแคลอรีมากขึ้น ย่อมหมายถึงการมีจำนวนประชากรมากขึ้น
- ในพื้นที่เท่ากัน การปลูกผักเลี้ยงสัตว์ ให้พลังงานมากกว่า 10–100 เท่าเลยทีเดียว
- สัตว์เลี้ยงถูกเอาใช้เป็น เนื้อ,ให้นม,ให้ปุ๋ย, เป็นแรงงาน
- เผ่าที่กินอิ่ม คนเยอะ ก็ไม่แปลกที่จะรบชนะเผ่าอื่น
ทำเกษตรเลยต้องอยู่กับที่
- พออยู่กับที่ ก็มีลูกได้มากขึ้น สำรองอาหารได้
- พอสำรองอาหารได้ ทุกคนก็ไม่ต้องหาอาหาร เลยเกิดความชำนาญอื่นๆ เช่น กษัตริย์ ขุนนาง ช่าง ทหาร
- พอรวมกันเยอะๆเป็น อณาจักร ก็เริ่มพัฒนารูปแบบการปกครอง และการจัดสรรทรัพยากร
- พืชกับสัตว์ ยังเอามาเป็น เสื้อผ้า อุปกรณ์ ในการพัฒนาเมือง และทำให้คนตายยากขึ้นด้วย
- ม้า อูฐ ยังช่วยรบชนะคนเก็บของป่า ทำให้สุดท้ายคนที่เหลือ ก็มีแต่อณาจักร
- พอคนไม่ต้องหาอาหาร ก็มีเวลาพัฒนาเทคโนโลยี เช่น ตัวอักษร อาวุธ
ปืน เชื้อโรค เหล็กกล้า มายังไง ?
1. ปืน : เพราะเป็นอณาจักร ข้าวเหลือ เงินเหลือเลยเกิดช่าง ซึ่งดันอยากทำสงครามอีก ก็เลยค่อยๆพัฒนามา
2. เชื้อโรค : คนอยู่กันหนาแน่น ไม่สะอาด โรคก็มาสิ เช่น ไข้ทรพิษ หัด ไข้หวัดใหญ่ ได้มาเพราะเลี้ยงสัตว์ คนเลี้ยงโดนก่อน แล้วค่อยๆพัฒนาภูมิขึ้นมา จากนั้นเอาไปแพร่ให้คนที่ไม่เคยมีภูมิ ตาย99% จริงๆอันนี้สาเหตุหลักที่ทำให้ยุโรปชนะคนอื่น
3. เหล็กกล้า : เพราะมีม้าและมีช่าง เลยเริ่มขนแร่จากที่ไกลๆ เข้ามาใกล้ที่ทำเกษตรได้
ประเด็นสำคัญ
1. การเกษตรทำให้มนุษย์สามารถสะสมทรัพยากรและพัฒนาเทคโนโลยีได้
2. การตั้งถิ่นฐานถาวรและการสะสมทรัพยากรนำไปสู่การสร้างสังคมที่ซับซ้อนและการแบ่งแยกชนชั้น
3. การแพร่กระจายของการเกษตรได้รับอิทธิพลจากปัจจัยทางภูมิศาสตร์และสิ่งแวดล้อม
4. การเกษตรมีทั้งประโยชน์และข้อเสีย เช่น ทำให้มีอาหารเพียงพอแต่ก็ทำให้เกิดโรคระบาดและความไม่เท่าเทียมทางสังคม
5. การเลี้ยงสัตว์มีบทบาทสำคัญในการเกษตรและการพัฒนาภูมิคุ้มกันต่อโรคบางชนิด
บทที่ 5 “History’s Haves and Have-Nots”
ผู้มีอำนาจและผู้ไร้อำนาจในประวัติศาสตร์ ความแตกต่างของสภาพภูมิศาสตร์ในยุคเริ่มต้นการผลิตอาหาร
เรารู้ได้ไงว่าใครปลูกข้าวก่อน
- ใช้วิธี Radio Carbon วัดการสลายตัว ของคาร์บอน 14 ไป 12 จากซากพืชและสัตว์
- แต่วิธีนี้ใช้กับ เศษซากเล็กกว่า 2–3 กรัมได้ไม่แม่น
- จริงๆก็มีการปรับปรุง และ วัดใหม่เรื่อยๆ ถ้าหาอ้างอิงแล้ว บางทีจะไม่ตรง ซึ่งเล่มนี้ เอาเฉพาะอันวิธีใหม่มาอ้างอิง
- แต่เอาเข้าจริง ซากพืชมันก็โดนปนเปื้อนจากรอบๆได้ ฉะนั้นอย่ายึดติดมากเกินไป
การปลูกพืชที่แรกมาจากที่ไหน
- มันจะมีที่ๆ ปลูกเอง กับ ได้รับอิทธิพลจากคนปลูกเป็น อีกทีนึง
- ที่แรกคือแถว เอเชียตะวันตกเฉียงใต้ 8500 ปีก่อน ค.ศ. ปลูกข้าวสาลี เลี้ยงแพะ แกะ
- ที่ๆตามมาคือ จีน 7500 B.C. และค่อยๆ กระจายๆไปเรื่อยๆ
- พื้นที่ส่วนใหญ่ จะเป็นคนเก็บของป่าเป็นหลัก ที่ ค่อยๆปลูกพืชเสริม แล้วค่อยๆเลิกหาของป่าไปเอง
- ไม่ก็ โดนเกษตรกร บุกเข้ามาฆ่าแล้วแย่งพื้นที่
ความสำคัญของพืชและสัตว์ท้องถิ่น
- การมีพืชและสัตว์ที่สามารถนำมาเพาะปลูกและเลี้ยงได้ง่ายเป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้บางภูมิภาคสามารถพัฒนาเกษตรกรรมได้เร็วกว่า
- พืชที่เพาะปลูกได้ง่ายและให้ผลผลิตสูง เช่น ข้าวสาลีและข้าวบาร์เลย์ใน Fertile Crescent มีบทบาทสำคัญในการพัฒนาเกษตรกรรม
ผลกระทบของการพัฒนาเกษตรกรรมต่อสังคม
- การพัฒนาเกษตรกรรมทำให้เกิดการสะสมทรัพยากรและการสร้างสังคมที่ซับซ้อน
- สังคมที่มีการเกษตรที่พัฒนาสามารถสนับสนุนประชากรที่ไม่ต้องทำงานในภาคการเกษตร เช่น นักรบ, นักประดิษฐ์, และผู้ปกครอง
ความไม่เท่าเทียมในประวัติศาสตร์
- การมีหรือไม่มีพืชและสัตว์ที่เหมาะสมสำหรับการเกษตรเป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้เกิดความไม่เท่าเทียมระหว่างภูมิภาคต่างๆ ในประวัติศาสตร์
- ภูมิภาคที่สามารถพัฒนาเกษตรกรรมได้เร็วและมีทรัพยากรเกินพอจะสามารถขยายอำนาจและอิทธิพลของตนไปยังภูมิภาคอื่นๆ
บทที่ 6 “To Farm or Not to Farm”
ทำการเกษตร หรือไม่ทำการเกษตร สาเหตุที่ทำให้การผลิตอาหารขยายตัว
ทำไมคนจึงเริ่มผลิตอาหารเอง
- จริงๆต้องบอกก่อนว่า ไม่ใช่มีคนคิดวิธีผลิตอาหารได้แล้ว เย้ ผลิตอาหารกันเถอะ ไม่ใช่แบบนั้นเลย
- วิธีการปลูกพืช หรือ เลี้ยงสัตว์มันมีๆหายๆมาตลอด
- คนสมัยนั้นต้องเลือกว่า จะล่าหรือจะปลูกดี ซึ่งก็ขึ้นอยู่กับความคุ้มค่ากับการลงแรง
- บางทีตั้งรกราก ก็ยังไม่ได้เลือกปลูกพืชด้วยซ้ำ แค่ตั้งจุดล่าสัตว์ หรือเกษตรกรบางกลุ่มก็เปลี่ยนที่ไปเรื่อยๆ ปลูกกล้วย แล้วออกไปล่าทางซ้าย กลับมา แล้วขึ้นเหนือต่อไรงี้
แล้วทำไมเพิ่งมาปลูกจริงจังเมื่อ 8,500 ปีก่อน
- มี 5 ปัจจัยที่พอจะอธิบายได้ว่า ทำไมเริ่มตอนนั้น
1. อาหารจากป่าเริ่มลดลงและหาได้ยากขึ้น — ปลูกเองเลยเริ่มคุ้มค่าขึ้นมา ซึ่งแต่ละพื้นที่ก็หาของป่ายากง่ายไม่เท่ากัน เลยเริ่มไม่เท่ากัน เช่น ญี่ปุ่นเริ่มช้าเพราะปลาหาง่ายและเหลือเฟือ
2. คนเพิ่งจะเริ่มเห็นประโยชน์และความคุ้ม ของการเอาพืชมาปลูก
3. เทคโนโลยีในการผลิตอาหาร เริ่มดีพอ เช่น การรวบรวม การแปรรูป การเก็บอาหาร
4. คนเยอะขึ้น ล่าไม่พอ เลยต้องปลูก
5. คนล่าสัตว์ โดนเกษตรกร เข้ามายึดครองที่
ประเด็นสำคัญ
- การตัดสินใจทำหรือไม่ทำการเกษตรได้รับอิทธิพลจากปัจจัยทางภูมิศาสตร์, สภาพภูมิอากาศ, ทรัพยากรท้องถิ่น, และความหนาแน่นของประชากร
- การเกษตรมีทั้งประโยชน์และข้อเสีย ทำให้สังคมสามารถสะสมทรัพยากรและพัฒนาเทคโนโลยีได้ แต่ก็ทำให้เกิดโรคระบาดและความไม่เท่าเทียมทางสังคม
- การแพร่กระจายของการเกษตรไม่ได้เกิดขึ้นพร้อมกันทั่วโลก แต่แพร่กระจายจากภูมิภาคหนึ่งไปยังอีกภูมิภาคหนึ่งตามปัจจัยทางภูมิศาสตร์และสิ่งแวดล้อม
บทที่ 7 “How to Make an Almond”
วิธีผลิตเมล็ดอัลมอนด์ พัฒนาการของพืชเกษตรสมัยโบราณ
คือ อัลมอนด์ป่ามันเป็นพิษ กินเยอะๆตาย… แล้วเรามาจุดนี้ได้ยังไง
เริ่มจาก เราเอาพืชมาปลูกได้ยังไงก่อน
- คือเกษตรกรยุคแรก ไม่ได้เรียกว่าปลูก แต่พืชหลอกใช้เราขยายพันธุ์พวกมัน
- เราก็ไม่ต่างจากสัตว์ชนิดอื่นๆ ที่ช่วยต้นไม้ขยายพันธุ์โดยไม่รู้ตัว
- เราหาของป่ากิน กินเสร็จอึออกมา แล้วมันก็โต…ง่ายๆแบบนั้นแหล่ะ
- ไม่ก็แค่บังเอิญเก็บมาแล้วทำหล่น หรือ กินไม่หมด ตั้งไว้เฉยๆ มันก็โตได้
- พวกผลไม้ มักจะมีกลิ่นหอมและรสหวาน ล่อให้สัตว์มากิน แต่เมล็ดขม เพื่อให้สัตว์โยนทิ้ง จะได้ขยายพันธุ์ได้
การคัดเลือกพันธุ์โดยธรรมชาติและมนุษย์
- ในธรรมชาติ การคัดเลือกพันธุ์เกิดขึ้นจากกระบวนการที่พืชที่มีคุณลักษณะที่เอื้อต่อการอยู่รอดและการแพร่กระจายจะมีโอกาสรอดชีวิตและสืบพันธุ์ได้มากกว่า
- มนุษย์ใช้กระบวนการคัดเลือกพันธุ์โดยเลือกพืชที่มีคุณลักษณะที่ต้องการ เช่น ผลผลิตมากขึ้น, รสชาติดีขึ้น, หรือปลูกง่ายขึ้น มาปลูกและสืบพันธุ์
กลายพันธุ์ เอ้ย ขยายพันธุ์
- เมื่อก่อนผลไม้ไม่ได้อร่อยขนาดนี้ แต่
- เวลาคนเลือกกิน ก็จะมองหาสตรอว์เบอร์รี ลูกใหญ่ๆ หวานๆไปกิน
- การคัดเลือกทางธรรมชาติก็เลยเริ่มต้นขึ้น
- ยิ่งเราไปหยิบลูกใหญ่ ลูกหวานมากินบ่อย มันก็ขยายพันธุ์ได้ดีขึ้น แล้วก็จะหวานอร่อยขึ้นเรื่อยๆ
อัลมอนด์พิษหายไปได้ไง
- สิ่งมีชีวิตมันกลายพันธุ์ได้ อาจจะมีบางต้นมีพันธุกรรม ที่ไม่สังเคราะห์สารอะมิกดาลินที่มีรสขม
- แล้วดันมีเด็กซนๆไปหยิบมากิน แล้วดันอร่อย แล้วก็ไปอึไว้สักที่
- แล้วต้นใหม่ที่มียีนส์นี้ก็โต แล้วก็วนลูป
- ถั่วลิสง แตงโม มันฝรั่ง มะเขือ กะหล่ำปี ล้วนเคยขมและมีพิษทั้งนั้น
ข้าว
- ข้าวป่าปกติ เมล็ดข้าวจะตกลงพื้นแล้วงอกใหม่ ซึ่งมนุษย์ไม่ชอบ เพราะมันตกลงพื้นแล้วไง เอามาเก็บกินต่อยาก
- แต่เราก็บังเอิญเจอต้นกลายพันธุ์ ที่เมล็ดมันไม่ตกลงพื้น ก็เลยเอามากิน เหลือ ปลูกต่อ ขยายพันธุ์ จนมาถึงทุกวันนี้
- ซึ่งการเลือกกิน ปลูก เฉพาะพันธุ์ที่ดีต่อมนุษย์แบบนี้ ถือเป็นการปรับปรุงพันธุ์ ครั้งแรกๆ ของมนุษย์
- แล้วก็ลองผิดลองถูก ในกระบวนการปลูกไปเรื่อย จนมันผลิตง่าย ได้เยอะ แล้วยอดฮิต
ตัวอย่างพืชที่ถูกคัดเลือกพันธุ์
- อัลมอนด์: ในป่ามีสารพิษไซยาไนด์ แต่พันธุ์อัลมอนด์ที่ปลูกเพื่อการเกษตรไม่มีสารพิษนี้เนื่องจากการคัดเลือกพันธุ์
- ข้าวสาลี: ข้าวสาลีในป่าเมล็ดแตกกระจายได้ยาก แต่ข้าวสาลีเกษตรมีลักษณะที่เมล็ดสามารถเก็บเกี่ยวได้ง่าย
- ข้าวโพด: ข้าวโพดป่ามีขนาดเล็กและไม่เหมาะสำหรับการเก็บเกี่ยว แต่ข้าวโพดที่ปลูกในปัจจุบันมีขนาดใหญ่และให้ผลผลิตสูง
กลายพันธุ์ กับ ไม่กลายพันธุ์
- คือ ถ้าจะปลูกข้าวให้มันเมล็ดไม่ตกจากต้น แล้วหอม เม็ดใหญ่ไปเรื่อยๆ
- เราต้องเอาต้นที่ กลายพันธุ์ + กลายพันธุ์ มาผสมกัน ไม่ก็ ต่อกิ่ง ปักชำ ซึ่งเป็นเทคนิคที่มายุคหลังๆละ
- ถ้าเอา ต้นปกติ + ต้นกลายพันธุ์ มันจะได้ผลลัพธ์ ครึ่งๆกลางๆ เป็นแบบที่เราชอบบ้าง ไม่ชอบบ้าง ซึ่งไม่คุ้มการปลูก
- การหว่านเมล็ดลงไปใน ดินที่อุดมสมบูรณ์ เมล็ดใหญ่จะได้เปรียบ แล้วเบียดเมล็ดเล็กให้แพ้ไป
- ในขณะที่ ถ้าไปที่แห้งแล้ว เมล็ดเล็กจะได้เปรียบ ในขระที่เมล็ดใหญ่ ขาดสารอาหารตายก่อนโต
- การเพาะปลูกของมนุษย์เลยได้ต้นใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ
ทำไมเราปลูกต้นโอ๊ก ไม่ได้
- พวกข้าว ถั่ว ปลูกไม่กี่เดือนก็กินได้แล้ว ในขณะที่ต้นโอ๊คต้องรอสิบปี
- แล้วลูกโอ๊คก็โดนกระรอก คาบไปกิน แล้วก็ฝังดิน แล้วต้นโอ๊คป่าก็ขึ้นพรึบๆๆ
- ทำให้ ต้นโอ๊คส่วนใหญ่เป็นต้นโอ๊คป่า ลูกเล็ก ไม่คุ้มค่า เราไม่มีโอกาสได้เลือกเอาเมล็ดใหญ่ๆไปปลูกให้มันใหญ่ขึ้น
- แถมยีนส์ที่คุมรสชาติต้นโอ๊ค เกิดจากยีนหลายๆตัว ทำให้กว่าจะเพาะได้ต้นที่ชอบ ปลูก100ต้น ได้แค่ 5ต้น แล้วกว่าจะวนลูปทำรอบ มันกินเวลาเกินชีวิตมนุษย์คนนึง ทำให้ไม่คุ้มค่า
ทำไมเราเพิ่งปลูกสตอเบอร์รี่ได้เมื่อไม่นานมานี้
- เพราะโดนนกเอาไปกิน แล้วอึออกมา ปลูกต้นใหม่ ซึ่งเป็นเม็ดเล็กๆ ที่นกชอบ แต่คนไม่ชอบ
- เราเพิ่งเพาะพันธุ์ให้ สตอเบอร์รี่เม็ดใหญ่อร่อยได้ หลังจากที่ผลิตตาข่ายกันนกได้
บทที่ 8 “Apples or Indians”
แอปเปิลหรือคนอินเดียน เหตุใดคนในบางภูมิภาคจึงไม่สามารถเพาะพันธุ์พืชเกษตร
- มีที่เหมาะๆในการเพาะปลูกตั้งหลายที่ เช่น แคลิฟอร์เนีย ยุโรป ออสเตรเลีย แล้วทำไมถึงมีแค่ที่ดินแดนพระจันทร์เสี้ยวที่ปลูกก่อนชาวบ้านเขานานมาก
1. อาจจะเพราะวัฒนธรรมท้องถิ่น
2. ลองปลูกแล้วไม่เวิร์ค เพราะพืชไม่เหมาะแก่คนกิน เลยไม่ได้พัฒนาต่อ
- บรรพบุรุษเราเลือกปลูกก็ต่อเมื่อมันคุ้มแรงและเวลา
- พืชหลักๆ มี 2 แสนกว่าชนิด กว่าจะรู้ว่าอันไหนคุ้มค่า ก็เหนื่อยก่อนแล้ว
กว่าจะมีแอปเปิล
- แอปเปิลอย่างเดียวไม่ทันกิน ถ้าจะลงหลักปักฐานปลูกแอปเปิล แถวนั้นต้องมีพืชและสัตว์อย่างอื่นให้กินด้วย
- ซึ่งที่ดินแดนพระจันทร์เสี้ยวมีครบ ทั้งพืชและสัตว์อื่นๆ
5 เหตุผลว่าทำไม การผลิตอาหารถึงเกิดขึ้นบริเวณดินแดนพระจันทร์เสี้ยว ที่แรก ?
- ดินแดนพระจันทร์เสี้ยวคือ แถวๆ ซีเรีย ตุรกี อิรัก ติดกับ ทะเลเมดิเตอร์เรเนียน
1. อากาศแบบเมดิเตอร์เรเนียน ไม่หนาวจัด ฝนตกชื่น และ มีฤดูร้อนนาน ทำให้ พืชที่ขึ้นแถวนี้ทนต่อทุกสภาพอากาศ โตเร็วช่วงหน้าฝน และตายช่วงหน้าแร้ง ซึ่งก็คือ เป็นรอบๆ เหมาะแก่มนุษย์เก็บเกี่ยวมาก
- พืชล้มลุกไม่เสียพลังงานไปกับการสร้างกิ่งก้าน และ เนื้อไม้ ที่คนกินไม่ได้ เน้น เมล็ดใหญ่ๆ ซึ่งคนกินได้
- ดินแดนพระจันทร์เสี้ยว มีสภาพอากาศแบบทะเลเมดิเตอร์เรเนียนกว้างใหญ่ที่สุดในโลก แถมเป็นแบบอากาศแปรรวนที่สุด ซึ่งส่งผลให้มีพืชล้มลุกเยอะ
- แถบนี้มีระดับความสูงและลักษณภูมิประเทศต่างกันมากด้วย ตั้งแต่ ต่ำสุดทะเลสาบ และ สูงสุดเทือกเขา ซึ่ง พืชต่างกัน ระยะเวลาเก็บเกี่ยวต่างกัน ทำให้มีกินทั้งปี ไม่ต้องเก็บพร้อมๆกัน และ หุบเขาพืชโตเองง่ายด้วย
2. พืชที่นี่มีจำนวนมากและให้ผลผลิตสูง แถมให้พลังงานสูงโดยธรรมชาติ ไม่ต้องตัดแต่งเยอะ บรรพบุรุษของข้าว ก็ คล้ายๆข้าวปัจจุบันนี้ ในขณะที่บรรพบุรุษข้าวโพด หน้าตาต่างจากปัจจุบันมาก เลยเพิ่งมาฮิตช่วงหลังๆ
3. มี % พืชกระเทยเยอะ ทำให้ต้นที่กลายพันธุ์มาให้เหมาะกับคนกินนั้น ได้สืบพันธุ์ต่อ โดยไม่ต้องไป ผสมกับต้นอื่นที่ไม่เหมาะกับคนกินให้เสียเวลา
4. มีสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมขนาดใหญ่ แพะ แกะ สุกร วัว มีครบเลย
5. เกษตรกรกับคนเก็บของป่า ไม่ตีกัน เพราะหมู่บ้านได้เปรียบกว่าเห็นๆ
บทที่ 9 “Zebras, Unhappy Marriages, and the Anna Karenina Principle”
ม้าลาย คู่สมรสที่ไร้ความสุข และหลักการอันนา คาเรนินา เหตุใดจึงไม่อาจนำสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมส่วนใหญ่มาเป็นสัตว์เลี้ยง
คุณสมบัติของสัตว์ที่เลี้ยงเป็นสัตว์บ้านได้
- สัตว์ที่สามารถเลี้ยงได้ต้องมีคุณสมบัติหลายประการที่เข้ากันได้ดี เช่น ความสามารถในการเจริญเติบโตเร็ว, สามารถเพาะพันธุ์ในที่เลี้ยง, อาหารที่หาได้ง่าย, ลักษณะนิสัยที่เชื่อง และการไม่ตื่นกลัวง่าย
- ตัวอย่างเช่น วัว, แพะ, แกะ, และหมู มีคุณสมบัติเหล่านี้ทำให้สามารถเลี้ยงเป็นสัตว์บ้านได้
ตัวอย่างสัตว์ที่ไม่สามารถเลี้ยงได้
- ม้าลาย: ม้าลายไม่สามารถเลี้ยงได้เพราะมันตื่นกลัวง่ายและมีนิสัยดุร้าย
- กวาง: กวางไม่สามารถเลี้ยงได้เพราะมันมีนิสัยที่ไม่เชื่องและตื่นกลัวง่าย
- ฮิปโป: ฮิปโปไม่สามารถเลี้ยงได้เพราะมันดุร้ายและมีขนาดใหญ่
การกระจายของสัตว์ที่เลี้ยงได้
- สัตว์ที่เลี้ยงได้ส่วนใหญ่มีต้นกำเนิดในยูเรเซีย ซึ่งเป็นเหตุผลหนึ่งที่ทำให้การเกษตรและการพัฒนาของสังคมในยูเรเซียก้าวหน้ากว่าในภูมิภาคอื่น
- สัตว์ที่เลี้ยงได้ เช่น ม้า, วัว, และแพะ ถูกนำไปใช้ในการเกษตรและการขนส่ง ทำให้สังคมสามารถพัฒนาได้เร็วกว่า
ผลกระทบของการเลี้ยงสัตว์ต่อสังคม
- การเลี้ยงสัตว์ช่วยให้สังคมสามารถผลิตอาหารได้มากขึ้นและสะสมทรัพยากร
- สัตว์เลี้ยงยังช่วยในการทำงานทางการเกษตร, การขนส่ง, และการทำสงคราม ทำให้สังคมมีความสามารถในการขยายอาณาเขตและควบคุมทรัพยากร
บทที่ 10 “Spacious Skies and Tilted Axes”
ผืนฟ้ากว้างกับแนวการวางตัวของทวีป เหตุใดการผลิตอหารจึงขยายตัวในอัตราที่แตกต่างกัน ในแต่ละทวีป
- แนวตั้ง (ทิศเหนือ-ใต้) และแนวนอน (ทิศตะวันออก-ตะวันตก) ของทวีปมีผลต่อการแพร่กระจายของการเกษตรและนวัตกรรม
การกระจายของการเกษตรในทวีปยูเรเซีย
- ยูเรเซียมีแนวนอนที่ยาว (ทิศตะวันออก-ตะวันตก) ซึ่งมีสภาพภูมิอากาศที่คล้ายคลึงกัน ทำให้พืชและสัตว์สามารถแพร่กระจายได้ง่าย
- การเกษตรจากดินแดนพระจันทร์เสี้ยวแพร่กระจายไปยังยุโรปและเอเชียอย่างรวดเร็ว เนื่องจากสภาพภูมิอากาศและวันที่ยาวนานของฤดูปลูกที่คล้ายกัน
การกระจายของการเกษตรในทวีปอเมริกา
- ทวีปอเมริกามีแนวตั้งที่ยาว (ทิศเหนือ-ใต้) ซึ่งมีสภาพภูมิอากาศที่แตกต่างกันมาก ทำให้การแพร่กระจายของพืชและสัตว์ช้ากว่า
- พืชจากเมโสอเมริกาเช่น ข้าวโพด ต้องเผชิญกับสภาพภูมิอากาศที่แตกต่างกันในอเมริกาเหนือและใต้ ทำให้การแพร่กระจายช้ากว่า
การกระจายของการเกษตรในทวีปแอฟริกา
- แอฟริกามีแนวตั้งที่ยาวเช่นเดียวกับทวีปอเมริกา ทำให้การแพร่กระจายของพืชและสัตว์ช้าและยากลำบาก
- พืชและสัตว์จากแอฟริกาเหนือไม่สามารถแพร่กระจายได้ง่ายไปยังแอฟริกาใต้เนื่องจากทะเลทรายซาฮาราและสภาพภูมิอากาศที่แตกต่างกัน
การแพร่กระจายของการเกษตรอย่างรวดเร็วในยูเรเซียทำให้สังคมในทวีปนี้มีการพัฒนาและสะสมทรัพยากรได้มากกว่า
ภาคสาม จากอาหาร…ปืน เชื้อโรค และเหล็กกล้า
บทที่ 11 “Lethal Gift of Livestock”
ของขวัญมรณะจากสัตว์เลี้ยง วิวัฒนาการของเชื้อโรค
โรคระบาดหลายชนิดที่มีผลกระทบต่อมนุษย์มีต้นกำเนิดมาจากสัตว์เลี้ยง
ไข้ทรพิษ (Smallpox): มาจากวัว
หัด (Measles): มาจากสุนัขและโค
วัณโรค (Tuberculosis): มาจากวัว
ไข้หวัดใหญ่ (Influenza): มาจากหมูและไก่
การแพร่กระจายของโรคระบาด
- การแพร่กระจายของโรคระบาดเกิดขึ้นอย่างรวดเร็วในสังคมที่มีความหนาแน่นของประชากรสูงและมีการเลี้ยงสัตว์ในที่เดียวกัน
- โรคระบาดสามารถแพร่กระจายได้อย่างรวดเร็วผ่านการค้าขายและการเคลื่อนย้ายของผู้คน
ผลกระทบของโรคระบาดต่อสังคม
- ทำให้ประชากรลดลงอย่างมากและทำลายสังคมหลายแห่ง
- โรคระบาดจากยุโรปมีผลกระทบอย่างมากต่อประชากรพื้นเมืองในอเมริกาเมื่อชาวยุโรปมาถึง
- โรคระบาดช่วยให้ชาวยุโรปสามารถพิชิตและควบคุมดินแดนใหม่ได้ง่ายขึ้น เนื่องจากประชากรพื้นเมืองอ่อนแอลงจากโรคระบาด
การพัฒนาภูมิคุ้มกัน
- สังคมที่มีการเลี้ยงสัตว์และมีความหนาแน่นของประชากรสูงจะพัฒนาภูมิคุ้มกันต่อโรคระบาดบางชนิด
- ภูมิคุ้มกันที่พัฒนาขึ้นนี้ทำให้สังคมสามารถรับมือกับโรคระบาดได้ดีกว่า
บทที่ 12 “Blueprints and Borrowed Letters”
ภาษาเขียน…คัดลอกหรือขอยืม วิวัฒนาการของภาษาเขียน
การเขียนเป็นหนึ่งในนวัตกรรมที่สำคัญที่สุดในประวัติศาสตร์มนุษย์
การเขียนช่วยในการบันทึกข้อมูล, การบริหารจัดการ, และการสื่อสาร
ต้นกำเนิดของการเขียน
- การเขียนเริ่มต้นขึ้นครั้งแรกในเมโสโปเตเมีย (สุเมเรียน) และอียิปต์ ประมาณ 3,000 ปีก่อนคริสต์ศักราช
- ชนชาติสุเมเรียนใช้ระบบการเขียนที่เรียกว่า “คูนิฟอร์ม” ส่วนอียิปต์ใช้ “เฮียโรกลิฟฟิกส์”
การพัฒนาของการเขียนในภูมิภาคต่าง ๆ
- จีนพัฒนาระบบการเขียนของตัวเองที่แตกต่างจากเมโสโปเตเมียและอียิปต์
- ในอเมริกากลาง ชาวมายาและแอซเท็กมีระบบการเขียนของตัวเอง
- การเขียนช่วยในการบันทึกข้อมูลทางประวัติศาสตร์, การบริหารจัดการทางเศรษฐกิจ, และการสื่อสารทางการปกครอง
- การเขียนยังช่วยในการแพร่กระจายความรู้และวัฒนธรรม
การแพร่กระจายของการเขียน
- การเขียนแพร่กระจายจากภูมิภาคหนึ่งไปยังอีกภูมิภาคหนึ่งผ่านการแลกเปลี่ยนทางการค้า, การพิชิตดินแดน, และการติดต่อทางวัฒนธรรม
- ระบบการเขียนหลายแห่งถูกดัดแปลงและนำไปใช้ในสังคมอื่น ๆ เช่น ระบบตัวอักษรฟินิเชียนที่เป็นรากฐานของระบบตัวอักษรกรีกและละติน
- สังคมบางแห่งไม่พัฒนาการเขียนเอง แต่ยืมและดัดแปลงระบบการเขียนจากสังคมอื่น เช่น ระบบการเขียนของญี่ปุ่นถูกดัดแปลงมาจากระบบการเขียนของจีน
ข้อเสีย: การเขียนอาจทำให้เกิดการควบคุมและการผูกขาดข้อมูลโดยผู้ปกครองหรือชนชั้นนำ
บทที่ 13 “Necessity’s Mother”
สิ่งประดิษฐ์คือต้นกำเนิดของความจำเป็น วิวัฒนาการของเทคโนโลยี
ปัจจัยที่ส่งผลต่อการพัฒนานวัตกรรม
- ความจำเป็น: ความต้องการแก้ไขปัญหาหรือความท้าทายเป็นแรงกระตุ้นสำคัญในการพัฒนานวัตกรรม
- ความพร้อมของทรัพยากร: การมีวัตถุดิบและทรัพยากรที่เพียงพอสำหรับการสร้างนวัตกรรม
- ความรู้และการแลกเปลี่ยน: การสะสมความรู้และการแลกเปลี่ยนความรู้ระหว่างสังคม
การยอมรับและการแพร่กระจายนวัตกรรม
นวัตกรรมต้องได้รับการยอมรับจากสังคมเพื่อที่จะประสบความสำเร็จ
- ปัจจัยทางสังคมและวัฒนธรรมมีผลต่อการยอมรับนวัตกรรม เช่น ความเข้ากันได้กับวัฒนธรรมท้องถิ่น, ความสามารถในการตอบสนองความต้องการของสังคม
ล้อ: การพัฒนาล้อเป็นนวัตกรรมที่สำคัญในการขนส่งและการเกษตร
การเขียน: การพัฒนาการเขียนช่วยในการบันทึกข้อมูลและการสื่อสาร
การผลิตเหล็ก: การพัฒนาเทคโนโลยีการผลิตเหล็กช่วยในการสร้างเครื่องมือและอาวุธที่มีประสิทธิภาพ
ปัจจัยที่ส่งผลต่อความเร็วในการพัฒนานวัตกรรม
- การแข่งขันระหว่างสังคม: การแข่งขันระหว่างสังคมต่าง ๆ กระตุ้นการพัฒนานวัตกรรม
- การมีปฏิสัมพันธ์กับสังคมอื่น: การแลกเปลี่ยนความรู้และทรัพยากรระหว่างสังคมช่วยให้การพัฒนานวัตกรรมเร็วขึ้น
- การมีโครงสร้างทางสังคมที่สนับสนุน: สังคมที่มีการจัดการและการสนับสนุนทางเทคโนโลยีที่ดีจะพัฒนานวัตกรรมได้เร็วกว่า
บทที่ 14 “From Egalitarianism to Kleptocracy”
จากสมภาพนิยมสู่สังคมโจราธิปไตย วิวัฒนาการของรัฐและศาสนา
การเกิดขึ้นของสังคมที่มีการควบคุม (Kleptocracy)
- เมื่อสังคมเริ่มทำการเกษตรและสะสมทรัพยากร การแบ่งแยกชนชั้นเริ่มเกิดขึ้น
- ผู้ปกครองหรือชนชั้นนำเริ่มควบคุมและกักเก็บทรัพยากร สร้างโครงสร้างการปกครองที่ซับซ้อน
เหตุผลที่ทำให้เกิดสังคมที่มีการควบคุม
- การจัดการทรัพยากร: ผู้ปกครองใช้ระบบการควบคุมเพื่อจัดการและกระจายทรัพยากร
- การรักษาความสงบเรียบร้อย: การควบคุมช่วยในการรักษาความสงบเรียบร้อยและป้องกันความขัดแย้งภายในสังคม
- การป้องกันจากภัยคุกคามภายนอก: ผู้ปกครองสามารถรวบรวมทรัพยากรเพื่อป้องกันการรุกรานจากศัตรูภายนอก
- การสร้างโครงสร้างทางสังคมและวัฒนธรรม: ผู้ปกครองสร้างโครงสร้างทางสังคมและวัฒนธรรมที่สนับสนุนการควบคุมและการกดขี่
การรักษาอำนาจในสังคมที่มีการควบคุม
- การสร้างความชอบธรรม: ผู้ปกครองใช้วิธีการต่าง ๆ เช่น ศาสนาและวัฒนธรรมเพื่อสร้างความชอบธรรมในการปกครอง
- การควบคุมทางทหาร: การมีกองทัพที่เข้มแข็งเพื่อรักษาอำนาจและป้องกันการกบฏ
- การเก็บภาษีและการสะสมทรัพยากร: การเก็บภาษีจากประชาชนเพื่อสะสมทรัพยากรและรักษาอำนาจ
ภาคสี่ สำรวจโลกใน 6 บท
บทที่ 15 “Yali’s People”
คนของยาลี ประวัติศาสตร์ออสเตรเลียและนิวกินี
ปัจจัยทางภูมิศาสตร์และสิ่งแวดล้อม
- นิวกินีมีสภาพภูมิอากาศที่เอื้อต่อการเกษตร แต่พื้นที่ส่วนใหญ่เป็นภูเขาสูงและมีการกระจายตัวของประชากรที่กระจายและแยกจากกัน
- การขาดพืชและสัตว์ที่เหมาะสมสำหรับการเกษตรในเชิงพาณิชย์ทำให้การพัฒนาเกษตรกรรมในนิวกินีไม่สามารถเจริญเติบโตได้มากเท่าที่ควร
ชาวนิวกินีที่ถามเขาว่าทำไมคนขาวถึงมี “สิ่งของ” มากมายในขณะที่ชาวนิวกินีไม่มี
ความพร้อมทางภูมิศาสตร์และสิ่งแวดล้อม:
- ยุโรปและเอเชียมีภูมิประเทศและสภาพภูมิอากาศที่เอื้อต่อการเกษตรและการเลี้ยงสัตว์ เช่น การมีพืชที่สามารถเพาะปลูกได้ง่ายและให้ผลผลิตสูง เช่น ข้าวสาลี ข้าวบาร์เลย์ และสัตว์เลี้ยงเช่น วัว แพะ และม้า
- นิวกินีมีพืชและสัตว์ที่เหมาะสมสำหรับการเกษตรน้อยกว่า ทำให้การพัฒนาเกษตรกรรมและเทคโนโลยีเกิดขึ้นช้ากว่า
การสะสมทรัพยากรและการพัฒนาสังคม:
- การเกษตรที่มีประสิทธิภาพในยุโรปและเอเชียทำให้สามารถสะสมทรัพยากรได้มากขึ้น สนับสนุนประชากรที่มากขึ้น และสร้างสังคมที่ซับซ้อนขึ้น
- การมีทรัพยากรเกินพอทำให้สามารถสนับสนุนการพัฒนาเทคโนโลยี การศึกษา และการวิจัย
การแลกเปลี่ยนและการแพร่กระจายเทคโนโลยี:
- ยุโรปและเอเชียมีการแลกเปลี่ยนทางการค้าและวัฒนธรรมระหว่างภูมิภาค ทำให้การแพร่กระจายของเทคโนโลยีและนวัตกรรมเกิดขึ้นได้รวดเร็ว
- นิวกินีและภูมิภาคที่ห่างไกลอื่น ๆ มีการติดต่อกับโลกภายนอกน้อยกว่า ทำให้การแลกเปลี่ยนเทคโนโลยีและนวัตกรรมเกิดขึ้นได้ยาก
การพัฒนาการเกษตรและการเลี้ยงสัตว์:
- ยุโรปและเอเชียมีสัตว์เลี้ยงที่สามารถนำมาใช้ในการเกษตรและการขนส่ง เช่น ม้า วัว และแพะ ซึ่งช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการผลิตและการขนส่งสินค้า
- นิวกินีมีสัตว์เลี้ยงที่ใช้งานได้จำกัด เช่น หมู และไม่มีสัตว์ใหญ่ที่สามารถใช้ในการเกษตรหรือการขนส่งได้
ผลกระทบจากการล่าอาณานิคมและการครอบครองดินแดน:
- การล่าอาณานิคมโดยชาวยุโรปในศตวรรษที่ 19 และ 20 ทำให้ทรัพยากรและเทคโนโลยีถูกนำไปใช้และพัฒนาในยุโรปมากขึ้น ในขณะที่ภูมิภาคอื่น ๆ ถูกควบคุมและมีการนำทรัพยากรออกไป
บทที่ 16 “How China Became Chinese”
แผ่นดินจีนกลายเป็นจีนได้อย่างไร ประวัติศาสตร์เอเชียตะวันออก
ประวัติศาสตร์การรวมตัวของจีน
- จีนเริ่มต้นจากรัฐและอาณาจักรเล็ก ๆ หลายแห่งที่มีการแย่งชิงอำนาจและดินแดน
- ในศตวรรษที่ 3 ก่อนคริสต์ศักราช รัฐฉิน (Qin) สามารถรวมจีนเป็นเอกภาพได้ภายใต้การปกครองของจักรพรรดิฉินชิฮ่องเต้ (Qin Shi Huang)
การพัฒนาและการแพร่กระจายของภาษาและวัฒนธรรม
- จีนมีระบบการเขียนและภาษาเดียวที่แพร่กระจายทั่วประเทศ ช่วยในการสื่อสารและการบริหารจัดการ
- วัฒนธรรมจีนและปรัชญาคอนฟูเซียสมีบทบาทในการสร้างความเป็นเอกภาพทางวัฒนธรรมและการเมือง
ประเด็นสำคัญ
- จีนเป็นประเทศที่มีความเป็นเอกภาพทางวัฒนธรรมและการเมืองมากที่สุดในโลก
- ปัจจัยทางภูมิศาสตร์ เช่น ที่ราบใหญ่และแม่น้ำยาว ช่วยในการรวมตัวของจีน
- การพัฒนาเกษตรกรรมและเทคโนโลยีช่วยให้จีนสามารถสนับสนุนประชากรที่มากขึ้นและสร้างสังคมที่ซับซ้อนได้
- การพัฒนาและการแพร่กระจายของภาษาและวัฒนธรรมเดียวช่วยในการสื่อสารและการบริหารจัดการ
- ระบบการปกครองแบบรวมศูนย์ที่เข้มแข็งช่วยในการควบคุมและบริหารจัดการพื้นที่กว้างใหญ่
- จีนสามารถปรับตัวและรักษาความเป็นเอกภาพได้แม้จะเผชิญกับความท้าทายจากภายนอก
บทที่ 17 “Speedboat to Polynesia”
เรือเร็วมุ่งสู่โพลีนี่เชีย ประวัติศาสตร์การขยายตัวของพวกออสโตรนีเซียน
การแพร่กระจายของมนุษย์ไปยังเกาะต่าง ๆ ในมหาสมุทรแปซิฟิก และปัจจัยที่ส่งผลต่อการพัฒนาและความสำเร็จของชุมชนโพลินีเซีย
ต้นกำเนิดของชาวโพลินีเซีย
- ชาวโพลินีเซียมีต้นกำเนิดจากเกาะไต้หวันและค่อย ๆ แพร่กระจายไปยังฟิลิปปินส์ อินโดนีเซีย และหมู่เกาะในมหาสมุทรแปซิฟิก
- การแพร่กระจายนี้เริ่มต้นประมาณ 3,000 ปีก่อนคริสต์ศักราช
เทคโนโลยีการเดินเรือและการนำทาง
- ชาวโพลินีเซียมีเทคโนโลยีการสร้างเรือและการนำทางที่ยอดเยี่ยม ซึ่งช่วยให้พวกเขาสามารถข้ามมหาสมุทรและค้นพบเกาะใหม่ ๆ ได้
- การใช้เรือแคนูสองลำที่มีความแข็งแรงและการนำทางโดยใช้ดาวและกระแสน้ำช่วยให้การเดินทางเป็นไปได้
การตั้งถิ่นฐานบนเกาะต่าง ๆ
- ชาวโพลินีเซียตั้งถิ่นฐานบนเกาะต่าง ๆ โดยการปรับตัวเข้ากับสภาพแวดล้อมที่หลากหลาย
- พวกเขานำพืชและสัตว์เลี้ยงติดตัวไปด้วย เช่น มันเทศ หมู ไก่ และสุนัข เพื่อใช้ในการเกษตรและการดำรงชีวิต
การพัฒนาและการเปลี่ยนแปลงของชุมชนโพลินีเซีย
- ชุมชนโพลินีเซียพัฒนาและเปลี่ยนแปลงตามสภาพแวดล้อมและทรัพยากรที่มีอยู่ในแต่ละเกาะ
- เกาะที่มีทรัพยากรอุดมสมบูรณ์สามารถสนับสนุนประชากรที่มากขึ้นและพัฒนาโครงสร้างทางสังคมที่ซับซ้อนได้
- เกาะที่มีทรัพยากรจำกัดต้องพึ่งพาการแลกเปลี่ยนกับเกาะอื่นและการจัดการทรัพยากรอย่างระมัดระวัง
ตัวอย่างของชุมชนโพลินีเซีย
- ฮาวาย: มีทรัพยากรอุดมสมบูรณ์ สามารถพัฒนาโครงสร้างทางสังคมที่ซับซ้อนและระบบการปกครองที่เข้มแข็ง
- เกาะอีสเตอร์: มีทรัพยากรจำกัด การใช้ทรัพยากรอย่างไม่ระมัดระวังทำให้สังคมล่มสลายในที่สุด
- นิวซีแลนด์: มีสภาพแวดล้อมที่แตกต่างจากเกาะโพลินีเซียอื่น ๆ ทำให้เกิดการปรับตัวและการพัฒนาที่ไม่เหมือนกัน
ปัจจัยที่ส่งผลต่อความสำเร็จและความล้มเหลวของชุมชนโพลินีเซีย
- ทรัพยากรธรรมชาติ: เกาะที่มีทรัพยากรอุดมสมบูรณ์สามารถสนับสนุนประชากรที่มากขึ้นและพัฒนาโครงสร้างทางสังคมได้ดีกว่า
- เทคโนโลยีและการจัดการทรัพยากร: การมีเทคโนโลยีที่เหมาะสมและการจัดการทรัพยากรอย่างระมัดระวังมีบทบาทสำคัญในการรักษาความยั่งยืนของสังคม
- การแลกเปลี่ยนและการติดต่อกับเกาะอื่น: ชุมชนที่มีการแลกเปลี่ยนสินค้ากับเกาะอื่นมีโอกาสที่จะเจริญเติบโตและพัฒนาได้ดีกว่า
บทที่ 18 “Hemispheres Colliding”
การปะทะกันระหว่างโลกเก่า-โลกใหม่ ประวัติศาสตร์ยูเรเซียและทวีปอเมริกาโดยเปรียบเทียบ
การค้นพบและการพิชิตดินแดนในอเมริกาโดยชาวยุโรปในศตวรรษที่ 15 และ 16
ประเด็นสำคัญ
- ชาวยุโรปมีเทคโนโลยีทางการทหารที่เหนือกว่า เช่น ปืนและม้า
- โรคระบาดที่ชาวยุโรปนำมาแพร่กระจายในอเมริกาทำให้ประชากรพื้นเมืองลดลงอย่างมาก
- ชาวยุโรปมีระบบการเกษตรและการจัดการทรัพยากรที่มีประสิทธิภาพ
- ระบบการปกครองและการบริหารจัดการที่เข้มแข็งช่วยให้ชาวยุโรปสามารถควบคุมดินแดนในอเมริกาได้
- การปะทะกันระหว่างวัฒนธรรมยุโรปและวัฒนธรรมพื้นเมืองอเมริกาทำให้เกิดการผสมผสานทางวัฒนธรรม
บทที่ 19 “How Africa Became Black”
แอฟริกากลายเป็นแผ่นดินของคนผิวดำได้อย่างไร ประวัติศาสตร์ทวีปแอฟริกา
ประเด็นสำคัญ
- แอฟริกาเป็นที่อยู่อาศัยของมนุษย์มาตั้งแต่แรกเริ่ม และการตั้งถิ่นฐานในแอฟริกามีความหลากหลายทางภูมิศาสตร์และวัฒนธรรม
- การแพร่กระจายของการเกษตรและการเคลื่อนย้ายของประชากรทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงทางวัฒนธรรมในแอฟริกา
- การปะทะและการแลกเปลี่ยนวัฒนธรรมระหว่างชุมชนต่าง ๆ ในแอฟริกามีบทบาทสำคัญในการพัฒนาเทคโนโลยีและการจัดการทรัพยากร
- การล่าอาณานิคมโดยชาวยุโรปมีผลกระทบอย่างมากต่อวัฒนธรรมและเศรษฐกิจในแอฟริกา
บทที่ 20 “Who are the Japanese?”
คนญี่ปุ่นเป็นใคร ประวัติศาสตร์ญี่ปุ่น
ต้นกำเนิดของประชากรญี่ปุ่น
- ญี่ปุ่นมีประชากรที่หลากหลายทางชาติพันธุ์ที่อพยพมาจากภูมิภาคต่าง ๆ ของเอเชีย
- กลุ่มคนที่มีบทบาทสำคัญในการก่อตั้งญี่ปุ่น ได้แก่ ชาวไอนุ (Ainu) และชาวยามาโตะ (Yamato)
การอพยพและการตั้งถิ่นฐาน
- ประชากรที่อพยพมาจากเอเชียตะวันออกเฉียงเหนือผ่านทางคาบสมุทรเกาหลีและตะวันออกไกลของรัสเซียมายังญี่ปุ่น
- การตั้งถิ่นฐานของประชากรในญี่ปุ่นมีความหลากหลายตามภูมิภาคและสภาพภูมิประเทศ
การพัฒนาเกษตรกรรมและวัฒนธรรม
- ญี่ปุ่นพัฒนาเกษตรกรรมที่ใช้ข้าวเป็นหลักซึ่งมีผลกระทบต่อโครงสร้างทางสังคมและเศรษฐกิจ
- วัฒนธรรมญี่ปุ่นได้รับอิทธิพลจากจีนและเกาหลีในด้านเทคโนโลยี การเขียน และศาสนา เช่น พุทธศาสนาและลัทธิขงจื๊อ
การรวมตัวทางการเมือง
- รัฐยามาโตะ (Yamato) มีบทบาทสำคัญในการรวมตัวทางการเมืองของญี่ปุ่นในช่วงศตวรรษที่ 4 และ 5
- การรวมตัวนี้ช่วยสร้างความเป็นเอกภาพทางวัฒนธรรมและการปกครองในญี่ปุ่น
ปัจจัยทางภูมิศาสตร์และวัฒนธรรม
- ญี่ปุ่นเป็นหมู่เกาะที่มีสภาพภูมิประเทศที่หลากหลาย ทำให้เกิดความหลากหลายทางวัฒนธรรมและการพัฒนาเศรษฐกิจ
- การเป็นหมู่เกาะทำให้ญี่ปุ่นมีความโดดเดี่ยวในบางช่วงเวลา แต่ก็สามารถพัฒนาการติดต่อทางการค้ากับประเทศอื่น ๆ ได้
การพัฒนาเทคโนโลยีและอุตสาหกรรม
- ญี่ปุ่นมีการพัฒนาเทคโนโลยีและอุตสาหกรรมอย่างรวดเร็วในช่วงยุคเมจิ (Meiji) ซึ่งเป็นผลมาจากการเปิดประเทศและการติดต่อกับชาติตะวันตก
- การปฏิรูปและการนำเข้าเทคโนโลยีจากต่างประเทศช่วยให้ญี่ปุ่นกลายเป็นประเทศที่มีอุตสาหกรรมที่ทันสมัย
มีเนื้อหาไหน ที่ไม่สอดคล้องกับข้อมูลใหม่ๆ ในปี 2024 บ้าง
หนังสือ “Guns, Germs, and Steel” ของ Jared Diamond ได้รับการยอมรับอย่างกว้างขวางในวงการวิชาการ อย่างไรก็ตาม บางแนวคิดและข้อมูลที่ Diamond นำเสนอในหนังสืออาจไม่สอดคล้องกับการค้นพบและข้อมูลใหม่ ๆ ในปี 2024 โดยเฉพาะอย่างยิ่งในด้านของวิทยาศาสตร์สังคมและการศึกษาเกี่ยวกับปัจจัยทางชีววิทยา นี่คือตัวอย่างบางประเด็น:
1. ปัจจัยทางพันธุกรรมและชีววิทยา
- งานวิจัยใหม่ ๆ ในด้านพันธุศาสตร์และชีววิทยาอาจให้ข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับความหลากหลายทางพันธุกรรมของมนุษย์และผลกระทบที่มีต่อการพัฒนาและความเจริญรุ่งเรืองของสังคม
- ข้อมูลเกี่ยวกับการเคลื่อนย้ายของประชากรและการผสมพันธุ์ทางพันธุกรรมในอดีตอาจมีการปรับปรุงและให้มุมมองที่ละเอียดขึ้นเกี่ยวกับการแพร่กระจายของมนุษย์
2. บทบาทของวัฒนธรรมและสังคม
- Diamond เน้นปัจจัยทางภูมิศาสตร์และสิ่งแวดล้อมเป็นหลักในการอธิบายความแตกต่างในการพัฒนา แต่การวิจัยใหม่ ๆ อาจให้ความสำคัญกับบทบาทของวัฒนธรรม, การเมือง, และเศรษฐกิจมากขึ้นในการกำหนดเส้นทางการพัฒนาของสังคม
- การวิเคราะห์ที่ลึกขึ้นเกี่ยวกับปฏิสัมพันธ์ระหว่างวัฒนธรรมและปัจจัยภายในอื่น ๆ อาจนำไปสู่ความเข้าใจที่ซับซ้อนขึ้นเกี่ยวกับการพัฒนาและความเจริญรุ่งเรือง
3. การเคลื่อนย้ายของโรคและผลกระทบของมัน
- Diamond อธิบายว่าโรคระบาดที่มาจากสัตว์เลี้ยงมีบทบาทสำคัญในการทำให้ชาวยุโรปสามารถพิชิตดินแดนอื่นได้ แต่การวิจัยใหม่ ๆ อาจให้ข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับการแพร่กระจายของโรคและวิธีการที่สังคมต่าง ๆ รับมือกับโรคเหล่านี้
- ผลกระทบของการแพร่กระจายของโรคในสังคมต่าง ๆ อาจถูกศึกษาในเชิงลึกขึ้น ทำให้เข้าใจปัจจัยที่ซับซ้อนที่มีผลต่อการแพร่กระจายและการควบคุมโรค
4. การวิพากษ์เกี่ยวกับการใช้ทฤษฎีเดียวในการอธิบายประวัติศาสตร์
- การเน้นปัจจัยทางภูมิศาสตร์และสิ่งแวดล้อมเป็นปัจจัยหลักอาจถูกวิพากษ์ว่าเป็นการลดทอนความซับซ้อนของประวัติศาสตร์มนุษย์
- นักวิจัยบางคนอาจเสนอว่าการใช้ทฤษฎีที่หลากหลายและการรวมข้อมูลจากหลายแหล่งจะทำให้การวิเคราะห์ประวัติศาสตร์มนุษย์มีความครบถ้วนและแม่นยำมากขึ้น
สรุป
แม้ว่าหนังสือ “Guns, Germs, and Steel” จะมีคุณค่าอย่างมากในการอธิบายปัจจัยที่มีผลต่อการพัฒนาของสังคมมนุษย์ แต่การค้นพบใหม่ ๆ ในปี 2024 อาจให้ข้อมูลเพิ่มเติมหรือปรับปรุงมุมมองที่มีต่อปัจจัยต่าง ๆ ที่ Diamond นำเสนอในหนังสือ การศึกษาต่อเนื่องและการวิจัยในสาขาต่าง ๆ จะช่วยให้เราเข้าใจประวัติศาสตร์และการพัฒนาของมนุษย์ได้ดียิ่งขึ้น