ชำแหละโชว์ 3 คริปโตเขย่าโลก ด้วย Data Analysis

Botnoidse3 Group5
botnoi-classroom
Published in
4 min readMay 8, 2021
by Hurca!™ https://dribbble.com/shots/8133422/attachments/556885?mode=media

เป็นเวลาผ่านมาราวๆ 7 ปี หลังจากที่ได้ยินคำว่า Bitcoin เป็นครั้งแรก พร้อมกับคำถามมากมายในหัว ว่าสิ่งนี้มันคืออะไร ขับเคลื่อนด้วยอะไรกันแน่ สำหรับบางคนที่ศึกษาเรื่องการเงินและการลงทุนมาระดับหนึ่ง และสามารถรับความเสี่ยงได้ ก็กระโจนลงไปในกองเหรียญโดยที่แทบจะไม่ต้องคิด บางคนก็ลงทุนมันตั้งแต่แรกที่มันเกิดขึ้นมาบนโลกไปเรียบร้อยแล้ว ท่ามกลางเสียงวิพากวิจารณ์และการตักเตือนจากนักลงทุนอีกหลายคนเช่นกัน

ตัดภาพกลับมาตอนนี้ ที่ Cryptocurrency ไม่ได้เป็นเรื่องลึกลับอีกต่อไป ด้วยราคาเหรียญที่พุ่งสูงไปกว่าเมื่อก่อนมาก รวมถึงการเติบโตของเหรียญใหม่ๆ อีกมากมาย ทำให้เกิดผลลัพธ์ที่งอกงามของการลงทุนที่ยากที่จะปฏิเสธ ทำให้การลงทุนใน Cryptocurrency เป็นกระแสแรงไปทั่วโลก

แน่นอนว่าคำถามที่หลายคนอยากหาคำตอบเพราะผลการตอบแทนที่สูงลิบ คืออะไรเป็นแรงขับเคลื่อนให้กับการขึ้นของราคา Cryptocurrency เพราะจะเป็นตัวบ่งชี้ถึงผลตอบแทนที่นักลงทุนจะได้รับอย่างชัดเจน

แล้วอะไร คือปัจจัยที่มีผลต่อการขึ้นลงของราคาของมันกันแน่?

ยืนงงในดงเหรียญ

“จะลงทุนกับบริษัทอะไร ก็ไปศึกษาเชิงลึกธุรกิจของบริษัทนั้น” แนวทางง่ายๆ ที่อาจจะนำไปใช้ได้ในการลงทุนหุ้น แต่กับคริปโตฯ นั้น มีธรรมชาติและความหวือหวาที่ต่างออกไป เราจะไปศึกษาอะไรได้บ้าง เราปรึกษากันอย่างไม่รอช้า พร้อมกับตั้งคำถามและสมมุติฐานขึ้นมา

ราคาน้ำมัน ทอง และ สกุลเงิน dollar มีความสัมพันธ์กับราคาของ Cryptocurrency หรือไม่ อย่างไร

จากการพูดคุยกัน พวกเราคิดว่าราคาของ Cryptocurrency นั้น ไม่ได้ขึ้นอยู่กับสินทรัพย์ใดๆ บนโลก หรือเรียกว่าไม่มีความสัมพันธ์ต่อกัน

การระบาดของ Covid-19 ทำให้เกิดการ Work From Home และ การ Lock Down เหตุการณ์ดังกล่าว มีผลกับราคาหรือองค์ประกอบอื่นๆ ของ Cryptocurrency หรือไม่ อย่างไร

เนื่องจากมาตรการต่างๆ ที่เกิดขึ้นในช่วงการระบาดของโรค Covid-19 ทำให้ผู้คนมีเวลาว่างมากขึ้น และต้องการรายได้ จะมีโอกาสทำให้ราคาของ Cryptocurrency นั้นสูงขึ้น เพราะมีความต้องการมากขึ้น

ความนิยมในการขายงานศิลปะในรูปแบบ NFT (Non-Fungible Token) ที่มีมากขึ้น มีผลต่อราคา ETH มากแค่ไหนอย่างไร

Non-Fungible Token (NFT) คือการนำเทคโนโลยี Blockchain มาใช้กับสินทรัพย์นั้นๆ เพื่อแสดงความเป็นเจ้าของ ให้เป็นสินทรัพย์ดิจิทัลเฉพาะตัว คล้ายกับโฉนดที่ดิน ที่เราสามารถแสดงความเป็นเจ้าของที่ดินนั้นๆ ได้ แต่อันนี้จะทำถูกสร้างขึ้นบนระบบ Blockchain แทน ส่วนใหญ่เป็นผลงานเกี่ยวกับ งานอาร์ต พวกภาพวาด ภาพถ่าย วิดีโอ เพลง ดนตรี

จากความนิยมในการขายงานศิลปะ จะทำให้ราคาของ ETH นั้นขึ้นตามความต้องการในการซื้อขาย เพราะหน่วยเงินที่นิยมใช้ในการแลกเปลี่ยนคือ ETH นั่นเอง

จากคำถามและสมมุติฐานใหญ่ๆ 3 ข้อ สู่เบาะแสที่ไม่เคยอยู่ในใจ!

มาถึงตรงนี้ ต้องขอบอกว่าก็ยังยืนงงอยู่ ด้วยความกว้างใหญ่ของอาณาจักร Cryptocurrency ที่ทำให้เราจับต้นชนปลายกันแทบไม่ถูก ทีม dev ของเรา จึงได้ทำการ scrape ข้อมูลมาจาก Yahoo Finance มาทำเป็น Data Mart ซึ่ง Data Mart คือแหล่งเก็บข้อมูลขนาดเล็ก ที่สร้างมาเพื่อเก็บข้อมูลที่เราต้องการจะใช้งาน โดยข้อมูลเหล่านั้นจะต้องผ่าน การเลือก ทำความสะอาด และ การจัดรูปแบบข้อมูล มาก่อนเพราะเราจะทำให้เราสามารถใช้งาน Data ได้สะดวกมากขึ้น

ข้อมูลที่ดึงมาจาก Yahoo Finance ค่อนข้างมีคุณภาพ จากการตรวจสอบจะไม่มีข้อมูลที่เป็น null และมีการบันทึกอย่างต่อเนื่อง แต่ข้อมูลที่เกี่ยวกับ dollar supply หรือ M1 เป็นข้อมูลที่มาจากอีกแหล่ง นั่นคือ ที่จะมีการเก็บข้อมูลเป็นช่วงๆ

ข้อมูล M1: https://fred.stlouisfed.org/series/M1

เพื่อให้ทุกคนได้เห็นภาพกันคร่าวๆ โดยทำการดึงข้อมูลย้อนหลังไป 5 ปี จากข้อมูลดังกล่าวทำให้เราเห็นความสัมพันธ์บางอย่างระหว่าง BTC (Bitcoin) ETH (Ethereum) และ BNB (Binance Coin) ซึ่งสิ่งที่เห็นได้จากกราฟก็คือ การพุ่งทะยานของราคาเหรียญแต่ละเหรียญนั้น เพิ่งเกิดขึ้นเมื่อต้นปีนี้เองเท่านั้น

เมื่อเห็นดังนี้ จึงเกิดข้อสงสัยว่า trend ของมัน เพิ่งมาในต้นปีนี้จริงๆ หรือไม่ จึงลองค้นหาต่อด้วยการนำคีย์เวิร์ด ETH ไปใส่ใน Google Trends เพื่อดูความนิยมในการค้นหาคำดังกล่าวจากทั่วโลกในช่วงระยะเวลา 1 ปีที่ผ่านมา เหตุผลที่เป็น ETH เพราะข่าวความนิยมของ ETH ในช่วงต้นปี จึงคิดว่าน่าจะได้เห็นผลลัพธ์ที่ชัดเจน

ซึ่งผลลัพธ์ก็ทำให้นั่งไม่ติดเก้าอี้ จะเห็นได้ว่าเริ่มมีการพุ่งขึ้นของกราฟในการค้นหา ทั้งคีเวิร์ดคำว่า ETH และหัวข้อที่มีความเกี่ยวข้องเมื่อต้นปีนี้จริงๆ จึงนำช่วงวันที่ ไปเช็คกับราคาของ ETH ในช่วงเวลานั้น จึงพบว่าเริ่มมีการขยับขึ้นในช่วงเวลานั้นอย่างก้าวกระโดดเช่นกัน

ข้อสงสัยเกี่ยวกับวันนี้ในช่วงต้นปีก็ยังไม่หมด มองย้อนกลับไป ถ้าเราสังเกตสิ่งที่กำลังจะเกิดขึ้นนี้ได้ในวันนั้น เราคงจะ search Google ตามเค้าไป แล้วถ้าเรา search ในวันนั้นจริงๆ เราจะเห็นอะไรบ้าง จึงได้พบกับข่าว ที่มีการพูดถึง Twitter จากผู้ใช้ท่านหนึ่ง ที่ทวีตในวันที่ 2 มกราคม ในช่วงที่ ETH กำลังไต่ขึ้นไปอย่างช้าๆ

แม้ว่าทวีตนี้จะไม่ได้เป็นกระแสอะไรมาก แต่ประโยคที่ทำให้เราติดใจคือประโยคสุดท้ายที่พูดถึงการยืนราคาของ BTC ที่จากการวิเคราะห์ของเขา คือการที่ BTC ยืนพื้นบนราคา 30,000$ จะมีผลต่อการพุ่งขึ้นของราคาของ ETH

เอาล่ะสิ! แบบนี้แปลว่า Cryptocurrency สองตัวนี้ มีความสัมพันธ์กันจริงๆ หรือ ถึงแม้ว่าจะมีราคาที่ต่างกันราวฟ้ากับเหว ทีม dev ไม่รอช้า จับราคาทั้งสองตัวมาเทียบกันดูเลย

เราเอาข้อมูลจาก Data Mart ไปพลอตเป็นกราฟในโปรแกรม Tableau ซึ่งเป็นโปรแกรมที่ไว้ทำ Data Visualization เนื่องจากมูลค่าของทั้งสองเหรียญนี้ มีค่าต่างกันมากเกินไป การพลอตบน Python จะไม่สามารถแสดงผลคู่กันได้ จากกราฟนี้ สีน้ำเงินคือราคาของ BTC ส่วนสีส้มคือ ETH จะเห็นได้ชัดเลยว่ามี trend ที่ไปในทางเดียวกันจนน่าขนลุก ทั้งการขึ้นและลงในจังหวะที่ใกล้เคียงกันมากๆ รวมถึงช่วงเวลาที่เกิดการพุ่งขึ้นด้วย

แล้วแบบนี้จะมีอะไรอีก ที่น่าจะมีความสัมพันธ์กัน เราจึงดึงข้อมูลมารวมกัน และทำการดู correlation โดย correlation เป็นการแสดงความสัมพันธ์ของสองตัวแปร ยิ่งcorrelation มีความเข้าใกล้ |1| แสดงว่ามีความสัมพันธ์กันยิ่งสูง และถ้าค่า correlation มีค่าเป็น บวก แสดงความสัมพันธ์ของสองตัวแปรเป็นไปในทิศทางเดียวกัน แต่ถ้าค่า correlation มีค่าเป็น ลบ แสดงความสัมพันธ์ของสองตัวแปรเป็นไปในทิศทางตรงข้ามกัน

จะเห็นว่านอกจาก BTC และ ETH แล้ว ยังมี BNB ที่แสดงค่าแปรผันตรงที่คิดได้เป็นค่ามากกว่า 80% รวมไปถึง dollar index ที่แสดงค่าแปรผกผันกับราคาของ BTC

นอกจากราคาของ dollar index เรามาดูองค์ประกอบอื่นๆ ของค่าเงินดอลล่าบ้าง หลังจากได้ไปดูราคาของค่าเงินดอลล่า และราคาของ Cryptocurrency ต่างๆ ยังไม่พบความสัมพันธ์ที่เป็นตัวบ่งชี้อย่างชัดเจน จึงมีการเสนอให้ลองหยิบตัวแปรอื่นเข้ามาเปรียบเทียบดู สิ่งที่เราหยิบมาก็คือ dollar supply (M1) หรือการนำเงินเข้ามาเพิ่มในระบบ ซึ่งเป็นนโยบายของทางรัฐ

จะเห็นว่าการนำเงินเข้ามาในระบบ ที่อัตราที่เป็นไปในทางเดียวกันกับราคาของ cryptocurrency และมีอัตราการเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง

นอกจากการสนับสนุนเงินในระบบของรัฐบาลสหรัฐที่เพิ่มขึ้น สิ่งที่มีความเปลี่ยนแปลงอย่างมีนัยยะสำคัญคือจำนวนเหรียญในระบบของ BTC ที่มีอัตราการลดลงอย่างเห็นได้ชัด

ข้อมูลจาก Crypto Quant https://cryptoquant.com/overview/full/247?window=day

จะเห็นได้ว่ากราฟเส้นสีแดงคืออัตราการถือครอง Bitcoin ใน exchange ต่างๆ นั้นลดลง แสดงให้เห็นว่ามีคนที่ซื้อ Bitcoin แล้ว hold อยู่ใน Wallet ของตัวเองเพิ่มมากขึ้น เพราะต้องการทรัพย์สินที่มั่นคงกว่าเงินดอลล่า ทำให้ Supply ของ Bitcoin ลดลงมาเรื่อยๆ ตั้งแต่ปี 2020 เมื่อ Supply ลดน้อยลงทำให้ราคาเพิ่มมากขึ้น เพราะความต้องการมากขึ้นด้วยเช่นกัน

BTC มีการควบคุมจำนวน supply ของเหรียญไว้ตั้งแต่แรก โดยกำหนดให้มีแค่ 21 ล้านเหรียญ จำนวนของเหรียญจะมีการลดลงจำนวนการผลิตลดลงครึ่งหนึ่งทุกๆ 4 ปี หรือเรียกว่าการ halving

ปริมาณเหรียญจะมีการสร้างขึ้นใหม่น้อยลงทุกๆสี่ปี แต่ความต้องการของคนที่ต้องซื้อกลับมีความต้องการมากขึ้น ทำให้ราคาของ BTC มีราคาเพิ่มขึ้น ตามความต้องการของที่ต้องการซื้อมากกว่าจำนวนเหรียญในระบบ ปัจจุบัน มี btc ในระบบแล้ว 18,700,512 btc หรือ 89% ของ supply limit (ข้อมูล 6/5/2000)

อีกเหตุการณ์หนึ่งที่เกี่ยวข้องกับ supply ของ Cryptocurrency คือการ Burn หรือเผาเหรียญ Binance Coin หรือ BNB ซึ่งเป็นเหรียญของ Binance Exchange การเผาเหรียญ ไม่ใช่การเอาเหรียญไปเผา แต่เป็นการโอนเหรียญไปเก็บไว้ใน wallet ที่ไม่สามารถเปิดได้ ทำให้เหรียญในระบบมีจำนวนลดลง

โดยทุกๆไตรมาส จะนำกำไรของบริษัท 20% ไปซื้อเหรียญคืนเพื่อลดจำนวนเหรียญในระบบ จนกว่าจะมีเหรียญในระบบแค่ 100 ล้านเหรียญ ซึ่งการเผาเหรียญนี้ จะไม่มีการประกาศวันที่แน่ชัด แต่จะมีข่าวประกาศออกมาเมื่อมีการเผาไปแล้ว ปัจจุบันมีการเผามาแล้ว 15 ครั้ง ซึ่งทำให้เกิดการคาดเดาเวลา และทำให้ราคาของ BNB นั้นสูงขึ้นในแต่ละช่วงเวลาในแต่ละไตรมาส จะเห็นมีจะมีช่วงที่ราคาสูงขึ้น เพราะคาดว่าเกิดการคาดการในการเผา ซึ่งกลไกนี้ ให้เห็นภาพชัดเจนขึ้นเหมือนกับสิ่งที่เกิดขึ้นกับ supply ของ BTC

ให้เธอลืมโลกที่กว้างใหญ่

ในช่วงเวลา 3 ปีที่ผ่านมานี้ มีเหตุการณ์ที่สร้างผลกระทบต่อโลกมากมาย ทั้งการระบาดของโรค Covid-19 ที่ทั่วโลกต้องรับมือและเฝ้าระวังกันอย่างเต็มที่ รวมถึงการเลือกตั้งประธานาธิบดีของมหาอำนาจอย่างสหรัญอเมริกา เพียงแค่สองเหตุการณ์นี้ ก็ทำให้เศรษฐกิจทั่วโลกต้องสั่นคลอน เราจึงลองนำข้อมูลมาพลอตเป็นดู correlation แยกเป็นแต่ละช่วงปี

ในกราฟนี้ เราได้นำราคาของสินทรัพย์อื่นๆ เข้ามาเปรียบเทียบร่วมกัน จะเห็นว่าความสัมพันธ์ระหว่างเหรียญแต่ละเหรียญนั้น ยังคงเกาะกันอย่างเหนียวแน่น ส่วนสินทรัพย์อื่นๆ นั้น มีการแปรผันตรง แปรผกผัน หรือไม่มีความสัมพันธ์กันเลยในแต่ละช่วง

เปรียบเทียบราคาของสินทรัพย์ต่างๆ กับ Cryptocurrency

และเมื่อมาเทียบดูราคาของแต่ละอย่างในแต่ละช่วงเวลา จะพบว่าสินทรัพย์อื่นๆ มีผลกับ Cryptocurrency น้อยมากๆ

และคนร้ายก็คือ… เค้าคนนั้น!!

จากการสืบค้นหา ทำให้เรามองคริปโตไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป ถึงแม้จะไม่มีอะไรที่เป็นตัวบ่งชี้ได้ 100% ว่าอะไรคือเหตุปัจจัยของการขึ้นลงของราคา แต่สิ่งที่เราได้เรียนรู้นั่นก็คือ

Cryptocurrency เป็นเหมือนโลกใบใหม่ ในโลกดิจิตอล

เราได้เห็นความสัมพันธ์ของ Cryptocurrency แต่ละตัว ว่ามีทิศทางและแนวโน้มในการเติบโตไปในทางเดียวกัน และมีการขับเคลื่อนในตัวเอง ด้วย demand และ supply ที่อยู่ในตัวของตัวเอง การลงทุนในตลาดคริปโตนั้น มีความคล้ายคลึงกับการลงทุนในตลาดหุ้น คือต้องศึกษารายละเอียดให้เข้าใจ แต่ในรายละเอียดเหล่านั้น แทบจะต่างกันไปโดยสิ้นเชิง เพราะมีปัจจัยภายนอกและภายในเข้ามาเกี่ยวข้องเยอะมาก ถ้าให้เปรียบเทียบ ตลาดคริปโตอาจจะไม่ใช่ธุรกิจ แต่เป็นระบบเศรษฐกิจย่อยอีกระบบหนึ่งเลยก็เป็นได้

ผลกระทบจากนโยบายทางเศรษฐกิจและความต้องการของประเทศมหาอำนาจ

นอกจากนี้ยังพบว่า สิ่งที่อาจมีผลกับราคานั้นคือค่าเงินดอลล่า ซึ่งไม่ใช่แค่เพียงราคา แต่ยังรวมถึงองค์ประกอบอื่นๆ เช่น supply ของ dollar และ demand ของประชากรซึ่งได้รับผลกระทบจากเหตุการณ์ทางโลกต่างๆ ดังนั้น การออกนโยบายต่างๆ ที่มีผลกับการจับจ่ายใช้สอยของประชาชนในประเทศมหาอำนาจ อาจสร้างผลกระทบให้กับตลาดคริปดต

ด้วยข้อมูลเหล่านี้ ทำให้เราพบว่าเราต้องเข้าไปวิเคราะห์ข้อมูลอะไรที่ไหนเพิ่มเติม เพื่อรับมือการขึ้นและลงของราคา และประกอบการตัดสินใจในการซื้อขายลงทุน ยังมีข้อมูลและตัวแปรที่ต้องวิเคราะห์อีกมากมาย หากเลือกตัดสินใจที่จะลงทุนจริงๆ สำหรับบทวิเคราะห์นี้ ยังเหลือสมมุติฐานที่เรายังตอบไม่ได้ คือเรื่องของ NFT กับราคาของ ETH เนื่องจากไม่สามารถเข้าถึงข้อมูลการซื้อขายทั้งหมดได้ จะมีเพียงข่าวของดีลใหญ่ๆ ที่ยังไม่เพียงพอต่อการวิเคราะห์ แต่ปฏิเสธไม่ได้ว่า เรื่องของ NFT ก็เป็นตัวจุดประกายให้กับการวิเคราะห์นี้ในช่วงเริ่มต้น ซึ่งเราก็ต้องหาคำตอบกันต่อไป

ขอทิ้งท้ายบทความนี้ด้วยกราฟสุดท้าย ที่เราไม่ได้นำเข้ามาเป็นปัจจัยในการวิเคราะห์ แต่ก็อดคิดไม่ได้ ว่าจะมีอะไรเกิดขึ้นต่อไป และนโยบายหรือการขยับเขยื้อนของใคร จะรุนแรงพอที่จะสั่นคลอนตลาดคริปโตได้ และนี่คือกราฟแผนที่ของการค้นหากับหัวข้อที่เกี่ยวกับ ET

จริงๆ แล้ว คนที่ซุ่มมาตลอด อาจจะอยู่ไม่ไกลบ้านเราก็ได้นะครับ

ทั้งนี้จะลงทุนแบบไหน ศึกษาให้แน่ชัดก่อนตัดสินใจ เป็นคำเตือนคลาสสิคที่ใช้ได้ตลอดกาล

--

--