การฝึกงานครั้งแรก จากมุมมองเด็กอายุ 19

Jakpat Mingmongkolmitr
CODIUM
Published in
3 min readAug 18, 2018

Hello World!

ก่อนอื่นก็ขอแนะนำตัวก่อนนะครับ

สวัสดีครับ ผมชื่อ ฟาร์ (ชื่อจริงก็อยู่ข้างบนเนอะ) ศึกษาอยู่ที่ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยชั้นปีที่ 3 ภาค ICE ครับ

Getting Started

ย้อนกลับไปหลายปีก่อน ในช่วงที่ผมอยู่ ม.ต้น ผมเป็นเด็กสายแข่งขัน ณ เวลานั้นชีวิตผมมีเป้าหมายชัดเจนว่าผมต้องการที่จะทำอะไร และผมก็ใช้ทุกๆวันอย่างสุดความสามารถเพื่อทำให้ความฝันนั้นเป็นจริง ซึ่งในไม่ช้าความพยายามของผมก็สำเร็จ แต่ใครจะไปรู้ละครับ ว่าถ้าวันหนึ่งเป้าหมายที่เราเคยตั้งไว้ดันไม่มีอยู่อีกแล้ว จะต้องทำอะไรเป็นอันดับต่อไป

สิ่งตอบแทนที่ผมได้จากความพยายามหลายต่อหลายปี คือความรู้สึกยินดีเพียงแค่ไม่กี่คำ มันกลับไม่ใช่สิ่งที่เราสามารถเอ่ยถึงได้ตลอดเวลา เพราะไม่ใช่ว่าทุกคนที่รับรู้ถึงความสำเร็จของเราจะเข้าใจไปกับมัน แต่ส่วนที่แย่ที่สุดก็คือสิ่งที่ตามมาหลังจากนั้น

“…เคว้ง” ผมถูกความสำเร็จในวัยเยาว์ลูบหลังและตบหัวในเวลาเดียวกัน และหลังจากนั้นชีวิตผมก็ถูกใช้แบบทิ้งขว้างไปวันๆ

Photo by Jonny Caspari on Unsplash

Vision

ตอนขึ้นมหาลัยปี 1 ผมได้มีโอกาสเข้าชมรม Thinc. ซึ่งเป็นชมรมแรกและชมรมเดียวของผมในรั้วมหาลัย และชมรมนี้ทำให้มุมมองการใช้ชีวิตของผมเปลี่ยนไปอีกครั้ง ผมเจอเป้าหมายใหม่ที่ท้าทายกว่าเดิม และอาจจะต้องใช้เวลาทั้งชีวิตไปกับมัน นั้นก็คือการสร้าง Impact ให้กับโลกใบนี้

แต่เดี๋ยวก่อนนะ แล้วมันคืออะไร? ผมก็ไม่รู้หรอกครับ มันอาจจะฟังดูไร้สาระ แต่การตั้งเป้าหมายให้ใหญ่เข้าไว้มันก็ไม่ใช่เรื่องที่ผิดอะไร และก็ยังมีอีกหนึ่งคำถามที่ผมต้องตอบตัวเองให้ได้ แล้วต้องทำอะไรต่อไปละ?

Mission

Impact อาจจะฟังดูเหมือนเป็นคำพูดลอยๆที่ไม่มีความหมายที่ชัดเจน แต่จนกว่าผมจะรู้จักสิ่งนั้น ผมก็สามารถเริ่มจากสิ่งเล็กๆก่อนและค่อยๆประกอบให้มันใหญ่ขึ้นได้ ผมจึงคิดว่า ผมจะเริ่มจากการสร้าง Impact เล็กๆให้กับตัวเองให้ได้เสียก่อน

หลังจากเป้าหมายในวัยเด็กของผมหายไป ผมก็เริ่มกลายเป็นคนขี้เกียจ รวมถึงช่วงเวลาหยุดยาว 6 เดือนก่อนขึ้นมหาลัยที่ผ่านมา ผมก็ทิ้งมันไปกับเรื่องไร้สาระ ผมจึงอยากสร้าง Impact แรกโดยเริ่มจากการพัฒนาตัวเองให้ดีขึ้น

Goal

ตลอด 2 ปีที่ผ่านมาในมหาลัย ผมรู้สึกเหมือนว่าใช้ชีวิตอยู่ในกล่อง ผมถูกตีกรอบทั้งความคิดและความรู้ให้อยู่แต่ในวิชาเรียนเท่านั้น ในขณะที่ความรู้ผมยิ่งมีมากขึ้นเท่าไหร่ ความสนใจอยากหาความรู้ด้านอื่นก็เพิ่มขึ้นเท่านั้น แต่เนื่องจากข้อจำกัดทางด้านเวลาและการเรียน ทำให้ผมไม่สามารถทำมันได้อย่างเต็มที่

ผมเลยอยากลองออกจาก Safe Zone นี้ อยากลงมือทำ อยากลองผิดลองถูกด้วยตัวเอง ผมจึงเลือกที่จะฝึกงานในปิดเทอมที่ผ่านมา (ขึ้นปี 3)

Action vs Motion

คนส่วนใหญ่มักจะเข้าใจผิดระหว่างสองอย่างนี้ ถ้ามองดูผ่านๆสองสิ่งนี้อาจจะมีบริบทที่ใกล้เคียงกัน แต่สิ่งที่ต่างกันนั้นก็คือ “ผลลัพธ์”

ลองจินตนาการดูนะครับ ถ้าหากคุณมีเวลา 4 ปี เวลาที่คุณมีอิสระในการทำสิ่งต่างๆ เวลาที่ไม่ต้องมีกฎเกณฑ์มาคอยบังคับ เวลาที่คุณสามารถลองผิดลองถูกได้โดยไม่ต้องกลัวล้ม ผมกำลังพูดถึงเวลา 4 ปี ในรั้วมหาลัยของคุณที่ไม่ควรจะถูกจำกัดไว้แค่ในวิชาภาค หรือกิจกรรมมหาลัย ผมว่าช่วงเวลานี้แหละครับที่เหมาะสำหรับ Action มากที่สุดแล้ว

มีบล็อคนึงได้อธิบายความแตกต่างระหว่าง Action vs Motion เอาไว้ดีมากๆ ถ้าหากสนใจ สามารถอ่านเพิ่มเติ่มได้ที่ https://jamesclear.com/taking-action

CODIUM

CODIUM คือ บริษัทที่ผมได้ไปฝึกงานในปีนี้นั้นเองครับ

รู้จัก CODIUM ได้ยังไง?

จริงๆแล้วต้องบอกก่อนว่าผมนั้นรู้ตัวช้าเกินไปว่าอยากจะฝึกงาน จึงทำให้บริษัทส่วนใหญ่นั้นปิดรับสมัครไปแล้ว แต่ผมก็ยังสมัครทันไปบริษัทหนึ่ง ซึ่งเขารับแค่ 1 ที่นั่ง และเก้าอี้นั้นก็ไม่ใช่ของผม

ถึงแม้ว่าผมจะสมัครไปในฐานะ Android Developer ซึ่งเป็นตำแหน่งที่ผมมั่นใจที่สุดแล้วก็ตาม คนที่รู้จักผมคงรู้ว่าผมถนัด Android มากที่สุด แต่นั้นไม่ใช่ประเด็นสำคัญครับ หลังจากนั้นผมเลยไปขอคำแนะนำจากรุ่นพี่ เขาก็เลยแนะนำ CODIUM มา

ทำไมถึงเลือก CODIUM?

สาเหตุหลักที่ผมเลือกที่นี่ก็คือเรื่องของ Technology ครับ เมื่อเทียบกับบริษัทอื่นแล้ว CODIUM เป็นบริษัทที่เลือกใช้ Tech ตามความเหมาะสมของแต่ละโปรเจค ที่นี่จะไม่ยึดติดกับเครื่องมือต่างๆหรือวิธีเดิมๆ และยังคอยติดตามเทรนใหม่ๆอยู่ตลอดเวลา ซึ่งส่วนหนึ่งมันก็เป็นข้อดีของบริษัทแนว Software House อยู่แล้วครับ ที่จะมี Projects ใหม่เข้ามาเรื่อยๆ จึงทำให้สามารถเลือกใช้ Tech ที่หลากหลายได้

อีกหนึ่งสาเหตุก็คือ CODIUM มี Ethos และ Project Management Methodology ที่ดีและน่าสนใจมากๆครับ ผมจึงเลือกที่จะฝึกงานที่นี้

สัมภาษณ์งาน

ตอนแรกผมสมัครงานไปในตำแหน่ง Backend Developer ซึ่งจะใช้ Python และ Django เป็นหลัก และผมก็ยังไม่เคยใช้ทั้งสองอย่างมาก่อน ผมจึงแอบถามไปว่าการสัมภาษณ์จะเน้นทางด้าน Technical ด้วยไหม ซึ่งคำตอบที่ได้ก็คือ “ใช่” และช่วงนั้นก็ดันเป็นสัปดาห์ก่อนสอบ Final พอดี ผมเลยจำเป็นต้องสละเวลาอ่านหนังสือมาประมาณ 3 วัน เพื่อศึกษาวิธีการใช้ Python กับ Django สำหรับไปสัมภาษณ์โดยเฉพาะ แต่ผลออกมาว่า ไม่มีคำถามเกี่ยวกับ Django เลย

บรรยากาศตอนสัมภาษณ์นั้นชิวมาก โดยคำถามส่วนมากจะเป็นแนวคำถามให้ Reflect ตัวเองว่า ผมต้องการฝึกงานไปทำไม ผมอยากให้ตัวเองพัฒนาไปในทางไหน และต้องทำยังไงถึงจะไปถึงจุดนั้นได้ ซึ่งก็เขาจะช่วยผมทำเป้าหมายนั้นให้สำเร็จ ผมว่าเป็นคำถามที่ดีมากนะครับ มันทำให้ผมได้ทบทวนความคิดตัวเองอีกครั้ง ซึ่งผมก็มีเป้าหมายที่ค่อนข้างชัดเจนอยู่แล้ว และผมก็ได้เริ่มฝึกงานวันแรก วันที่ 1 มิถุนายน…

First Internship

ผมจะไม่ลงลึกเรื่องการทำงานที่ CODIUM นะครับ เพราะมันไม่ใช่จุดประสงค์ที่ผมเขียน Blog นี้ แต่ผมจะอธิบายให้ฟังคร่าวๆครับ

ทำอะไร?

อย่างที่ผมบอกครับ ตอนแรกที่ผมสมัครในตำแหน่ง Backend Developer โดยใช้ Python และ Django แต่สิ่งที่ผมได้ทำมันมีมากกว่านั้น ไม่ว่าจะเป็น Backend, Frontend ไปจนถึง DevOps เช่น Kotlin, Spring, Ktor, HSM, Azure KeyVault, Digital Signature, PDF/XML/Docx Signing, Android, OTP, TypeScript, CAS, SSO, API Gateway, ExpressGateway, Cypress, Puppeteer, Docker, etc… และอีกเยอะแยะมากมาย

Relevance?

ตอนนี้ทุกคนคงจะเริ่มสงสัยแล้วว่าผมมาเล่าเรื่องพวกนี้ทำไมกันนะ ผมกำลังจะสื่อถึงอะไรกันแน่ ทำไมสิ่งที่ผมเขียนมันไม่ค่อยสัมพันธ์กัน ย้อนกลับไปอ่านชื่อเรื่องก็ยิ่งไม่เข้าใจเข้าไปอีก ซึ่งสิ่งที่ผมอยากจะสื่อจริงๆก็ตามชื่อ Blog นั้นแหละครับ หรือก็คือ “มุมมองของการฝึกงาน ในความคิดของผม”

ผมรู้สึกผิดหวังกับการฝึกงาน ฟังไม่ผิดหรอกครับ และก็ไม่ใช่เพราะ CODIUM นะครับ แต่อาจเป็นเพราะสิ่งที่ผมคิดไว้ กับความเป็นจริงนั้นมันแตกต่างออกไป ผมเป็นคนที่มี Motivation ในการพัฒนาตัวเองอยู่ตลอดเวลา และผมคิดว่าการฝึกงานจะทำให้ผมได้ความรู้ในด้านต่างๆ ที่ผมไม่หาสามารถหาได้จากตัวหนังสือ ผมเลยเสี่ยงกับอะไรหลายอย่างเพื่อที่จะทำให้ผมได้มาฝึกงานในครั้งนี้ ไม่ว่าจะเป็นการแบ่งเวลาจากการอ่านหนังสือสอบปลายภาค หรือการออกจาก Safe Zone เพื่อมาทำสิ่งใหม่ๆที่ไม่เคยทำมาก่อน โดยมีเพียงแต่ความหวังว่าสิ่งที่ได้กลับมานั้นจะคุ้มค่ากับสิ่งที่แลกไป

ในช่วงแรกของการฝึกงาน ผมรู้สึกสนุกกับการได้ทำสิ่งใหม่ๆ ได้เผชิญหน้ากับความท้าทายที่ยากขึ้นหลายเท่าตัว แต่ทำไปได้ไม่นาน ผมกลับรู้สึกว่าตัวเองนั้นหยุดอยู่กับที่ ซึ่งมันจะเป็นผลกระทบโดยตรงต่อ Mission ของผมอย่างแน่นอน ผมรู้สึกว่าสิ่งที่ผมทำอยู่มันไม่สามารถตอบสนองความต้องการของผมได้ และรู้สึกว่าตัวเองกำลังเสียเวลาเปล่า เพราะว่าผมแทบไม่ได้ความรู้อะไรใหม่เลย ได้แค่ฝึกทักษะด้าน Practical เท่านั้น

หลังกลับบ้านผมจึงเริ่มอ่านหนังสือหาความรู้เพิ่มเติมถึงตี 3 ทุกๆวัน แต่มันก็เป็นงานที่หนักเกินกว่าร่างกายผมจะรับไหว เพราะผมยังมีโปรเจคของชมรม Thinc. อีก 2 โปรเจคที่ผมต้องทำควบคู่กันไป จึงทำให้ผมไม่สามารถทำงานบริษัทได้อย่างเต็มที่ จน Project Manager เห็นถึงความผิดปกติ แล้วเรียกตัวผมเข้าไปคุยว่า เกิดเรื่องอะไรขึ้นและยังอยากฝึกงานที่นี้ต่อรึเปล่า?

ผมอาสามาฝึกเองแบบไม่มีหน่วยกิตของมหาลัย ซึ่งแปลว่าผมสามารถที่จะหยุดฝึกงานได้ทุกเมื่อถ้าผมต้องการ แต่ผมก็เลือกที่จะพยายามต่อไปเพื่อดูว่าผมจะสามารถไปได้ไกลแค่ไหน จนกระทั่งเข้าเดือนที่สองผมเริ่มที่จะปรับตัวได้ ผมสามารถจัดตารางเวลางานให้เหมาะสมได้มากขึ้น และในขณะเดียวกันผมก็สามารถหาความรู้พัฒนาตัวเองไปได้ด้วย ผมเลยมีความสุขกับการทำงานมากขึ้น และสองเดือนแห่งการฝึกงานของผมก็จบลงด้วยดี

ถึงแม้ว่าในตอนแรกผมจะรู้สึกผิดหวังกับการฝึกงานครั้งนี้ แต่พอผมมองย้อนกลับไปตลอด 2 เดือนที่ผ่านมาแล้ว ผมค้นพบว่าสิ่งที่ผมได้มาส่วนใหญ่นั้นก็คือ Soft Skill ซึ่งเป็นสิ่งที่ผมมองข้ามไปในตอนแรก เพราะผมคิดว่าการพัฒนาตัวเองควรจะต้องเน้นไปทางด้าน Hard Skill มากกว่า แต่ในการทำงานจริงแล้ว Soft Skill นั้นก็สำคัญไม่แพ้กัน นอกจากนี้ผมยังได้ซึมซับวิธีการทำงานและวัฒนธรรมต่างๆของ CODIUM มาอีกด้วย ซึ่งผมว่าสิ่งเหล่านี้มันมีค่ากว่า Hard Skill ที่ผมต้องการตอนแรกซะอีก และตอนนี้ผมก็พอใจกับผลลัพธ์ของการฝึกงานครั้งนี้มากครับ

ผมคิดมาเสมอว่าการฝึกงานเป็นวิธีการที่จะทำให้ผมได้พัฒนาตัวเองหรือทำให้ Mission ของผมสำเร็จ แต่หลังจากได้ฝึกงานจริงแล้ว ทำให้ผมรู้ว่าการฝึกงานนั้นเป็นเพียงแค่ Vehicle ที่จะช่วยให้เราไปถึงจุดหมายเร็วขึ้นเท่านั้น และปัจจัยสำคัญนั้นก็คือเราที่เป็นคนขับเคลื่อนมันนั่นเอง ซึ่งผมคิดว่าสำหรับการฝึกงานครั้งนี้ ผมยังทำหน้าที่นั้นได้ไม่ดีพอ ซึ่งตอนนี้ผมยังมีเวลาอีก 1 ปีเพื่อที่จะเตรียมความพร้อมสำหรับสนามจริงในปีหน้า และผมก็จะทำให้ดีกว่าเดิม

แต่อย่างไรก็ตามการฝึกงานในครั้งนี้ก็ได้สร้าง Impact ให้กับผมมากกว่าที่ผมคาดการณ์ไว้ตอนแรกซะอีก และตอนนี้ผมก็รู้แล้วครับว่าเป้าหมายต่อไปของผมคืออะไร

สุดท้ายนี้ผมอยากทุกคนบอกว่า

“เราควรเลิกเป็น Theoretical Animal อย่ามัวแต่เสียเวลานั่งคิด แล้วหันมาลงมือทำจริงกันดีกว่าครับ และมาเริ่มต้นจากการฝึกงานกันเถอะ”

ขอบคุณที่อ่านจบครับ CODIUM+1

--

--

Jakpat Mingmongkolmitr
CODIUM
Writer for

A full-time learner, part-time developer and sometime writer.