Chaos Theory จุดเริ่มต้นของการอยากรู้
It has been said something as small as the flutter of a butterfly’s wing can ultimately cause a typhoon halfway around the world. — Chaos Theory.
การขยับของปีกผีเสื้อ ก็อาจจะเป็นจุดเริ่มต้นของการเกิดพายุหมุนนี้อีกซีกโลกหนึ่งได้
จากแค่ประโยคนี้ ประโยคเดียวนี้คือจุดเริ่มต้นของ Chaos Theory บริษัทที่ผมกำลังเริ่มทำขึ้นมา โดยมีพี่กษมาชเป็นผู้ Funding ในแนวความคิดให้เพื่อพิสูจน์ว่าสิ่งที่ผมคิดกับทฤษฏีนั้นเป็นจริงหรือไม่
Chaos theory หรือ ทฤษฎีความอลวน เป็นทฤษฎีที่อธิบายถึงลักษณะพฤติกรรมของระบบพลวัต (คือ ระบบที่มีการเปลี่ยนแปลง เช่น เปลี่ยนแปลงตามเวลาที่เปลี่ยนไป) โดยลักษณะการเปลี่ยนแปลงของระบบที่เรียกว่าเคออสนี้ จะมีลักษณะที่ปั่นป่วนจนดูคล้ายว่า การเปลี่ยนแปลงนั้นเป็นแบบสุ่มหรือไร้ระเบียบ (random/stochastic) แต่จริง ๆ แล้ว ระบบเคออสนี้เป็นระบบแบบไม่สุ่ม หรือระบบที่มีระเบียบ (deterministic)
แนวความคิดของเรื่องนี้นั้นตกผลึกมาจากการทำงานในวงการ Communication และ Marketing มานาน สิ่งที่เกิดขึ้นที่ผ่านตามานับวันทุกวัน คือการที่นักการตลาดทำ Communication หรือ Marketing หรือ Advertising ออกไป ต่างก็ใช้ความรู้สึกส่วนตัว และ Insight ที่เกิดขึ้นมาในอดีตทำขึ้นมา ไม่ว่าจะเป็นการเก็บข้อมูลเหล่านี้โดยมือหรือใช้เครื่องมือก็ตาม แต่สิ่งที่เกิดขึ้นจริงหลาย ๆ ครั้งทำให้ข้อมูลเหล่านี้ไม่ได้ผล ไม่ว่าจะโดยข้อมูลนั้นเข้ามาผิดพลาด การแปลผลนั้นผิดพลาดและอื่น ๆ อีกมากมาย
สิ่งหนึ่งที่เกิดขึ้นคือ ข้อมูลที่ได้มาส่วนใหญ่กลับกลายเป็นข้อมูลในอดีต ที่บางทีกลายมาเป็นบทเรียนเพื่อเรียนรู้ เพื่อรับมือวิกฤตครั้งถัดไป (ฝรั่งเรียกว่า Rear view mirror data) แต่ไม่ได้ช่วยให้เกิด inspiration ใหม่ ๆ ออกมา เพื่อทำให้เกิดการสร้างการตลาดในรูปแบบใหม่ ๆ ที่ไม่ใช่ซ้ำรอยแบบเดิม การสร้างการตลาด การสื่อสารทางการตลาดที่ได้ผลจริง ๆ ไม่ใช่เพียงแค่ทำให้เกิดการสร้างการรับรู้ หรือเชื่อมผู้บริโภคเท่านั้น
แต่จากการที่ทำงานในวงการมา ทำให้เราเห็น signal อะไรบางอย่างที่ Tools บางทีไม่สามารถตอบได้ หรือบางทีคนก็ไม่สามารถตอบได้ และ signal นี้กลายเป็นเทรนด์หรือกลายเป็นปัจจัยสำคัญอย่างมากในการตลาด หรือการทำ communication ต่อไป สิ่งหนึ่งที่สำคัญคือการจับ signal เหล่านี้ให้ได้ มาเข้ากระบวนการสูตรทางคณิตศาสตร์และโมเดลทางคณิตศาสตร์เพื่อไปทำนายว่าสิ่งที่เกิดขึ้นจะเป็นอย่างไรต่อไป
ทั้งนี้ด้วยเหตุผลเหล่านี้ ทำให้ผมพยายามหาทีมที่จะสร้างเครื่องมือตัวนึงขึ้นมา เพื่อทำเครื่องมือที่เรียกว่า Predictive insight analysis ซึ่งเครื่องมือนี้ เป็นเครื่องมือที่จะเอาองค์ความรู้ทุกอย่างที่เกี่ยวข้องกับมนุษย์ นั้นใส่ลงไป เพื่อให้เราสามารถทำนายว่าจุด ๆ หนึ่งในชีวิตคนนั้นจะมีผลอย่างไรต่อไปในอนาคต โดยใช้ศาสตร์ต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องกับมนุษย์มาทำนายผลออกมา ซึ่งจะเป็นการผสมผสานการทำงานระหว่างบุคลากรที่เชี่ยวชาญ และหุ่นยนต์ที่จะช่วยทำนายออกมา (ในเมืองนอกจัดอยู่ Predictive tools หรือ Consumer Behavior Tools)
เรามองเห็นว่า Data Online นั้นไม่ใช่ทุกสิ่ง มันยังมี Data มากมายที่หลบซ่อนอยู่ และไม่ได้เอามาคิดรวมกับสิ่งที่เกิดขึ้นต่อมา ไม่ว่าจะด้าน Quantity หรือ Quality เองก็ตาม ด้าน Emotional หรือ Rational เองก็ตาม สิ่งเหล่านี้ จำเป็นต้องเอามาผสานรวมกันเพื่อหาสิ่งที่จะสามารถทำนายความเป็นมนุษย์ต่อการตลาดให้ได้แม่นยำที่สุดออกมา เพื่อสร้างการรับมือการตลาดที่ผมเรียกว่า Pre Real Time Marketing ขึ้นมาได้ในอนาคต
ตอนนี้เราได้เริ่มทำงานขึ้นมาแล้ว ก็หวังว่าเราจะประสบความสำเร็จในสิ่งที่เราอยากจะรู้ว่าสิ่งที่คิดมันจะเป็นจริงได้ไหม เพราะถ้าทำได้ ผลที่เกิดขึ้นจากการใช้เครื่องมือนี้และการแปรผลออกมานั้น จะสามารถก่อให้เกิดสิ่งดี ๆ ให้กับสังคมนี้ได้อีกมาก
