เติบโตเป็นผู้ใหญ่ที่ตัวเองตอนเด็กไม่เกลียด

Chris
Chris’ Dialogue
Published in
Apr 15, 2023

ช่วงนี้ผมกำลังเล่นเกม Cyberpunk 2077 และมันมีเรื่องราวของตัวละครที่น่าสนใจคนนึงชื่อ Johnny Silverhand

ผมคงไม่เล่าเรื่องของ Johnny เพราะมันละเอียดมาก แต่ผมพบเห็นส่วนหนึ่งของ Johnny ที่มันสะท้อนประเด็นที่หลายๆ คนอึดอัดหรือไม่พอใจมาก คือ Johnny นั้นย้อนกลับไปมองชีวิตตัวเองในอดีตแล้ว มีความเสียใจและเสียดายหลายๆ อย่างเกิดขึ้น ซึ่งมันสะท้อนไปสู่บทสนทนาหลายๆ อย่างในเกมที่ Johnny มักจะพูดถึงชีวิตตัวเองในอดีตว่าเป็น Good old days อยู่เสมอ

ในโลกความเป็นจริง ผมเห็นหลายๆ คนรวมถึงตัวผมส่วนนึง มีอาการที่ผมเรียกว่า การตัดขาดระหว่างตัวตนในอดีตกับตัวตนในปัจจุบัน ซึ่งมักสะท้อนออกมาสองรูปแบบใหญ่ๆ

  1. รู้สึกโรแมนติกและพึงพอใจชีวิตตนเองในอดีตเป็นอย่างมากและมีความแบบว่า “หันมามองอีกทีฉันกลายเป็นตัวอะไรไปแล้ว ตัวฉันในอดีตที่เคยดีกว่านี้ (ใสซื่อ มีความฝัน มีความหวัง มีความสุข ไม่ต้องคิดอะไรมาก สบายใจ) หายไปไหน”
  2. รู้สึกรังเกียจชีวิตของตนเองในอดีตเป็นอย่างมาก มีความแบบว่า ช่วงเด็กฉันช่างงี่เง่าไร้เดียงสาและน่าอับอายเสียนี่กะไร มันน่ารังเกียจมาก และมักจะสะท้อนออกมาเป็นลักษณะเพิ่มเติมว่า “ใครที่ประพฤติตัวมันฉันตอนเด็กก็คือน่ารังเกียจ” แทนที่จะเข้าอกเข้าใจ

ทั้งสองอาการนี้อาจจะตรงข้ามกัน แต่พอผมสำรวจตัวเอง ผมพบว่ามันมาจากรากฐานเดียวกัน คือการตัดขาดระหว่างตัวตนในอดีตและปัจจุบัน

คนเราเติบโตและเปลี่ยนแปลงในทุกๆ วินาที ไม่ว่าจะรู้ตัวหรือไม่รู้ตัวก็ตามที

ผมขอยกตัวอย่างคนนึงที่เติบโตจากเด็กเป็นผู้ใหญ่ในลักษณะนี้

ตอนเด็กคนๆ นี้สนุกสนานและเอ็นจอยกับโลกใบนี้ และใน 30 ปีถัดมาเขามองว่าโลกเรามันอันตรายโหดร้ายและต้องระวังตัวอยู่เรื่อย

ถ้าเขาเห็นภาพแค่นี้ สิ่งที่จะเกิดขึ้นกับเขาได้มีสองแบบคือ

  1. ถ้าเขามองว่าฝั่งเด็กมันดีกว่า เขาก็จะเกลียดตัวเองที่ฉันโตมากลายเป็นตัวอะไรวะเนี่ย
  2. ถ้าเขามองว่าฝั่งผู้ใหญ่ของเขาดีกว่า เขาก็จะเกลียดตัวเขาฝั่งเด็กว่าช่างอีเดียตไร้เดียงสาและโง่เง่าเต่าตุ่นสมควรตายในโลกอันโหดร้ายใบนี้ไม่มีที่ให้คนอย่างตัวฉันในวัยเด็กอยู่หรอก

อาการทั้งสองอย่างนี้เกิดขึ้นได้ทั้งคู่เมื่อเรามองเห็นภาพตัวเองแค่นี้

แต่แท้จริงแล้วเราไม่ได้เติบโตแบบนี้นะ

เราเติบโตแบบนี้ต่างหาก

การเปลี่ยนแปลงความเชื่อหรือตัวเราเองมันเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องตลอดเวลา ไม่ได้เกิดขึ้นแบบดีดนิ้วแวบเดียวเปลี่ยน

ทีนี้ความเจ็บปวดอย่างนึงคือ หลายๆ ครั้ง เราโตโดยไม่ได้คุยกับตัวเราในอดีตให้มากพอจนเข้าใจกัน

หลายๆ ครั้ง เวลาที่เราโดนทรยศหักหลังโดยเพื่อนรักใน Event#1 เราตัดตัวเราเองที่ไว้ใจคนอื่นทิ้งไปเลย เราไม่ได้นั่งคุยกับมันก่อน

หลายๆ ครั้งเวลาที่เราเจอความผิดหวังจากญาติมิตรใน Event#2 เราตัดตัวเราเองในอดีตที่เคยไว้ใจญาติมิตรทิ้งไปเลยโดยไม่ได้คุยกับมันก่อน

ผมกำลังจะบอกว่าถ้าในการเติบโตของเรา เราคุยกับตัวเองแบบนี้

เราได้เลือกอย่างชัดเจน โดยไม่ทิ้งตัวเองในอดีตไว้ข้างหลัง แต่ก็ยอมรับเหตุการณ์ที่เข้ามาเปลี่ยนตัวเองว่ามันกระทบเราอย่างแท้จริง

และถ้าเราทำแบบนี้ทุกครั้งที่เราเติบโต เราจะเข้าใจได้ว่าแต่ละครั้งที่เราตัดสินใจเติบโต เราไม่เคยทิ้งตัวเองในอดีต

เราจะเติบโตเป็นผู้ใหญ่ที่ตัวเองตอนเด็กไม่เกลียด

เพราะเราไม่เคยทิ้งเขาไป

เราพาเขามาด้วยเสมอ

ผมถึงได้มักจะพูดว่าการ Reflect กับตัวเองเป็นระยะๆ สำคัญมาก

ในโลกที่ทุกวันนี้เร่งรีบเสียเหลือเกิน หลายๆ คนเสียตัวตนของตัวเองไป เพราะมองเห็นภาพแบบนี้

John อาจจะไม่เคยพาตัวเอง John#1, John#2, John#3 เข้ามาร่วมู่ในตัวเองที่เป็น John 2023 เลยก็ได้นะ

พอย้อนกลับไป John ก็ได้แต่อุทานว่า ฉันเป็นใครวะเนี่ย

ฉันช่างไร้พลังต่อโลกนี้ที่เปลี่ยนแปลงฉันกลายเป็นคนที่ฉันไม่รู้จัก 5–6 version ไปได้ยังไง โลกมันน่ารังเกียจเดียดฉันท์ยิ่งนัก

แน่นอนโลกที่เร่งรีบก็มีส่วนที่ทำให้เราโตเร็วและโลกที่ไม่ให้ความสำคัญกับการ Consolidate หรือรวบรวมตัวตนของเรากลับมา

โลกที่คอยจะเราว่าบอกว่า “วันนี้คุณสามารถเปลี่ยนตัวเองไปเป็นเวอร์ชั่นที่ดีกว่าได้ เดี๋ยวนี้เลย รออะไรอยู่ คนไม่กล้าที่จะ่รีบตัดสินใจก็เท่ากับอ่อนแอและขี้แพ้” ก็มีส่วนทำให้เราลืม

แต่เราเลือกได้นะว่าเราจะใช้เวลากับมันมั้ย

และผมคิดว่าการใช้เวลาในการรวบรวมและพูดคุยกับตัวเราเองในอดีตกลับมาเป็นระยะๆ เป็นเรื่องที่สำคัญมากนะครับกับสุขภาพจิต

และจะทำให้เราไม่โตไปเป็นผู้ใหญ่แบบที่ตัวเราตอนเด็กเกลียด หรือตรงข้าม ผู้ใหญ่ที่เกลียดตัวเราเองตอนเด็กครับ

--

--

Chris
Chris’ Dialogue

I am a product builder who specializes in programming. Strongly believe in humanist.