Mental health คือเรื่องละเอียดอ่อน
Mental health เป็นอะไรที่ละเอียดอ่อน ขนาดร่างกายคุณยังต้องดูแลเป็นส่วนๆ เลย ดูแลตับก็อย่าง หัวใจก็อย่าง สร้างกล้ามเนื้อก็อย่างหนึ่ง
ดูแลสภาพ Mental นี่ก็ละเอียดพอกัน ลองแบ่งๆ ดูเล่นๆ (ไม่ได้แบ่งตามวิชาการนะ)
- ปมภายในกับการเลี้ยงดูหรือการเติบโต
- ไม่เห็นคุณค่าของตัวเอง
- ไม่เห็นเป้าหมายในชีวิตของตัวเอง
- มีเป้าหมายในชีวิตแล้ว แต่ไม่มั่นใจว่าใช่หรือเปล่า
- จมกับปัญหาไม่เห็นทางออก
- เห็นทางออกแล้วแต่ไม่สามารถมีวินัยกับตัวเองได้
- ทางออกที่ใช้มันไม่ได้ผลแต่หยุดถอยหลังกลับมาพิจารณาทางออกใหม่ไม่ได้
- กลัวคนอื่นไม่รักไม่ให้ความสำคัญ ยอมตามความต้องการคนอื่น
- อยู่ใน Abusive relationship
นี่แค่คิดเล่นๆ ก็มีเคสที่ปัญหาแตกต่างกัน รวมถึงฐานปัญหาคนละส่วนกันหลายเคสมาก
ผมว่าคนเราชอบคิดว่าปรับความคิดหรือแรงภายในแค่นิดๆ หน่อยๆ ก็ฉลุยแล้ว แค่คิดแบบนั้นสิ คิดแบบนี้สิ ปรับ Mindset สิ คิดบวกสิ ตั้งเป้าสิ มีระเบียบวินัยสิ
คือการดูแลสมองและร่างกายมันมีรายละเอียดเยอะ ก็อยากให้คิดดูว่า Mental ซึ่งเป็นแกนสำคัญอีกแกน การดูแลมันจะมีรายละเอียดขนาดไหน
Misconception ที่เห็นคือ ผมมองว่าคนในสังคมไทยดูถูกความยากลำบากในการดูแลจิตใจของตัวเองมากเกินไป แค่เข้าวัดฟังธรรมจบบ้าง นั่งสมาธิก็จบบ้าง คิดบวกก็จบบ้าง
จริงๆ ถ้ามองว่าสภาพจิตใจก็เหมือนร่างกาย ที่ป่วยได้จากหลายมุม เครื่องมือแต่ละตัวทั้งศาสตร์ Traditional อย่างธรรมะ การนนั่งสมาธิ ไปจนถึงศาสตร์ที่ยังไม่แพร่หลายอย่างจิตบำบัด การใช้เคมีบำบัดปรับสารในสมอง การใช้ NLP, Satir หรือแม้แต่ศาสตร์การสร้างวินัยให้ตัวเอง
ทุกศาสตร์ มันก็มีประเด็นที่มันแก้ไขและดูแลจิตใจไม่เหมือนกัน
ซึ่งไม่ต่างอะไรกับที่ร่างกายเรามีทั้งคาดิโอ เล่นเวท ใช้ยาปฏิชีวนะ ใช้ยาแก้อาการแล้วรอให้ร่างกายเยียวยาตัวเอง ใช้สมุนไพร ใช้การควบคุมอาหาร ผ่าตัด นั่นแหละ การดูแลร่างกายก็มีหลายแง่มุมที่ใช้วิธีการไม่เหมือนกัน และใช้คนละอย่างกัน คาดิโอไม่เพิ่มกล้ามเนื้อ เวทไม่ทำให้หัวใจแข็งแร่งขึ้น คนเป็นหวัดผ่าตัดไม่หาย
การดูแลจิตใจก็เช่นกัน แต่ละคนมีปมปัญหาที่แตกต่าง รากฐานปัญหาที่แตกต่างกัน มันจึงใช้เครื่องมือคนละอย่างกัน
คนไทยเราอยู่ในสังคมที่มีความเชื่อว่าจิตใจมันเป็นอะไรที่จัดการง่ายๆ และคนที่จัดการไม่ได้คือ “ก็แค่ไม่เข้มแข็ง” บ้าง “ก็แค่ใจไม่สู้” บ้าง หรือ “ก็แค่ไม่รู้จักธรรมะ” บ้าง
พอศาสตร์ต่างๆ เข้ามามากขึ้นก็เป็นเรื่องดี แต่ความเชื่อที่ว่า Mental health เป็นอะไรที่มีสูตรสำเร็จ คนส่วนมากขาดกุญแจแค่ดอกเดียวก็แก้ได้ มันยังอยู่ ก็แค่เปลี่ยนจากธรรมะหรือใจสู้เป็น Mindset theory เปลี่ยนเป็น NLP เปลี่ยนเป็น etc.
ซึ่งมันไม่ใช่…….. มันละเอียดไม่ต่างกับดูแลร่างกายเลย ซึ่งดูแลร่างกายยังดีที่เราเข้าใจมันมากขึ้นด้วยการแพทย์ก้าวหน้า แต่การดูแลสภาพจิตใจนี่เรายังไม่เข้าใจมันอย่างถ่องแท้ เลยยากกว่าในแง่นี้
มันละเอียดอ่อนและมีหลายแง่มุมมากมายนัก
ถ้าผมพูดแต่ว่าให้ละเอียดอ่อนให้ระวังก็คงจะทำเอาเริ่มต้นไม่ถูก ถ้าใครจะเริ่มต้นผมขอให้ลองไปดูที่ผมลิสต์ไว้ข้างบนว่ามันมีหัวข้อหลักๆ อะไรบ้าง เข้าใจก่อนว่า “จุด” ที่เป็นประเด็นในตัวเองคือตรงไหน แล้วพยายามจัดการที่จุดนั้นครับ