ทำไมเราถึงต้องให้ความสำคัญ กับ ธรรมชาติตั้งแต่ตอนนี้ ?

Chun Rapeepat
Chun
Published in
1 min readMar 26, 2019

วันก่อนได้ดู Video ที่ เด็กอายุ 15 ปีคนหนึ่ง (Greta Thunberg) หยุดเรียนประท้วง เพื่อให้คนในสังคมมาสนใจปัญหาเรื่อง ภาวะโลกร้อน เห็นว่าน่าสนใจดี ก็เลยนั้งดู

พอดูจบแล้วความรู้สึกแรกเลยคือ โครตเจ๋ง พูดได้โดนใจมาก เพราะเราก็เป็นคนๆหนึ่งที่ต้องเจอกับปัญหาเรื่องมลพิษอยู่ทุกวัน แล้วก็บ่นมันอยู่ทุกวัน

วันนี้เลยได้ไอเดียมาเขียนเป็นบล็อก เพื่อจะบอกเล่าปัญหาที่เจอ แนวทางที่พวกเราพอจะทำกันได้ แล้วก็สาเหตุว่าทำไมเราถึงต้องสนใจปัญหาเหล่านี้ ตั้งแต่วันนี้

เมื่อ 70,000 ปีที่แล้ว มนุษย์เริ่มมีการใช้ภาษา (Cognitive Revolution) เพื่อใช้ในการสื่อสาร

ถือเป็นการปฏิวัติการรับรู้ของมนุษย์ ทำให้มนุษย์ไม่เหมือนสิ่งมีชีวิตใดในโลกใบนี้

หลังจากนั้น มนุษย์เริ่มออกเดินทาง ไปตามที่ต่างๆ เพื่อขยายดินแดน ออกล่าหาของป่า และพัฒนาเครื่องมือในการล่าสัตว์ มาเรื่อยๆ

จนกระทั้งถึงยุควิทยาศาสตร์ ยุคอุตสาหกรรม และ ยุคปัจจุบันที่โลกทั้งใบ ขับเคลื่อนด้วยระบบ Computer

จะเห็นว่าหลังๆนี้โลกของเราเติบโตขึ้นมาก ชนิดที่ว่าที่เราไม่สามารถที่จะคาดเดาได้เลยว่า อนาคตในอีก 2–3 ปีข้างหน้าจะเกิดอะไรขึ้นบ้าง

แต่มีสิ่งหนึ่งที่ต้องแลกไปก็คือ ธรรมชาติ จะเห็นได้ว่า หลังๆมานี้จะเห็นข่าวด้านนี้เกิดขึ้นบ่อยมากๆ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องขยะ หรืออากาศเป็นพิษอย่าง PM2.5

และนับวันปัญหาพวกนี้จะยิ่งเยอะขึ้นเรื่อยๆ จนอาจจะถึงจุดที่เราไม่สามารถรักษาโลกของเรา จากปัญหาพวกนี้ได้

เหมือนเรื่อง PM2.5 เนี่ย มันมีมานานมากแล้ว แต่ก็พึ่งจะมาเป็นข่าว และจะเห็นว่า ปัญหาทั้งหมดนี้ ล้วนเกิดจากสิ่งที่มนุษย์สร้างขึ้น

ไม่ว่าจะเป็น การเผาขยะ โรงงานเผาถ่าน หรือรถยนต์ที่วิ่งกันอยู่ล้นถนน และในทุกๆปี มันจะรุนแรงมากขึ้นเรื่อยๆ จนไม่แน่ว่าเราอาจจะต้องใส่ที่ครอบหัวเหมือน ชาวมังกรฟ้าใน One Piece ก็เป็นได้

นี่ยังไม่นับเรื่องการก่อสร้าง ที่ตัดต้นไม้จนเหลือแต่ตอ เรื่องขยะตามทางเดิน หรือแยกขยะกันมั่ว etc.. และที่สำคัญคือ พวกเราไม่ได้ตั้งใจจะแก้ปัญหาเหล่านี้กันอย่างจริงจัง

บางคนคิดว่าเป็นเป็นเรื่องไกลตัว และไม่ได้สนใจอะไร นี่ยังไม่รวมปัจจัยอื่นๆอีกเช่น ความเห็นแก่ตัวของแต่ละบุคคล หรือ หรือผลประโยชน์ส่วนตัว etc..

มันก็เลยยากที่จะแก้ไข ถ้าหากไม่มีกฎหมาย หรือมาตรการที่เด็ดขาด มาเป็นตัวกำหนดการกระทำของคนในสังคม การแก้ปัญหาจะเกิดขึ้นได้ยากมาก

ส่วนตัวผมคิดว่า เราควรมีมาตรการ หรือ กฎหมายที่เด็ดขาดกับเรื่องเหล่านี้ได้แล้ว

และต้องเริ่มตั้งแต่ตอนนี้ เพราะปัญหาไม่ได้แก้ได้ภายใน 1–2 ปีแน่ๆ เผลอๆอาจใช้เวลามากกว่า 10 ปีด้วยซำ้ และต้องมีทั้งแผนระยะสั้น และแผนระยะยาว ทำไปพร้อมๆกัน แม้ว่าบางคนอาจจะต้องเสียผลประโยชน์ของตัวเองไปก็ตาม

“เราจะแก้วิกฤตไม่ได้ ถ้าเราไม่เห็นว่าสิ่งเหล่านี้เป็นวิกฤต”

ผมเป็นคนหนึ่งที่คิดว่า โลกเราจะไม่มีทางเจริญได้ ถ้าหากเราไม่สามารถใช้ชีวิตอยู่กับธรรมชาติได้ หรือแม้ตัวประเทศเองก็จะไม่เจริญแน่นอนหาก เต็มไปด้วยมลพิษ

ทุกวันที่เราตื่นมาแล้วเดินทางด้วยรถเมย์ แล้วรู้สึกหงุดหงิดกับ สภาพอากาศ และทางเดินที่เต็มไปด้วยขยะ ไม่มีความเรียบร้อย มันทำให้คุณภาพชีวิตเราแย่ลงไปมาก

และแน่นอนว่า Productivity ในการทำงานก็ลดลงไปเยอะเช่นกัน

แล้วก็ต้องถามต่อไปอีกว่า แล้วเราในฐานะที่เป็นคนตัวเล็กๆคนหนึ่ง ไม่มีอำนาจอะไร จะสามารถทำอะไรได้บ้าง เพื่อให้หลายๆอย่างมันดีขึ้น

อย่างแรกคือ เริ่มที่ตัวเราเองก่อน พยายามลดขยะ และเริ่มแก้ปัญหาจากจุดเล็กๆ เช่น ในบ้าน หรือในมหาลัย

อีกอย่างคือต้องช่วยกันสร้าง Awareness ให้คนในสังคม เพื่อที่ว่าจะได้ตระหนักถึงเรื่องนี้อย่างจริงจัง และช่วยกันร้องเรียนให้ไปถึงผู้ที่มีอำนาจลงมาจัดการกับปัญหา

ต้องลองคิดภาพว่า ถ้าวันหนึ่งเราสามารถทางเดินเท้า ที่เต็มไปด้วยต้นไม้ 2 ข้างทาง อากาศไม่เป็นพิษ และถนนสะอาดไม่มีขยะได้ เราจะมีความสุขแค่ไหน

ขณะเดินทางไปเรียนที่มหาลัย เราอาจจะมีเวลาได้ผ่อนคลาย ได้อยู่กับตัวเอง และเอาเวลาหงุดหงิด อารมณ์เสีย ไปคิดไอเดีย นวัตกรรม ช่วยแก้ปัญหาอื่นๆไปได้อีกมาก

ไม่รู้ว่าจะมีใครอ่านมาถึงตรงนี้รึป่าว หรือไม่ก็อาจจะหลับคาหน้าคอมไปกันหมดแล้ว 55 ถ้าเกิดมีอะไรเพิ่มเติมก็ Comment มาพูดคุยกันได้ครับ ❤️

--

--

Chun Rapeepat
Chun
Editor for

Indie hacker, entrepreneur, and Web3 researcher.