ประสบการณ์ออกแบบเฟอร์นิเจอร์ไว้ใช้ในที่ทำงาน — Cleverse Desk 1.0 — How I designed my office desk

เนื่องจากตอนนี้ (May 2017) ผมกำลังออกแบบโต๊ะทำงาน version 2.0 อยู่ — เลยอยากเขียนบันทึกไว้ว่าออกแบบ version 1.0 ไว้อย่างไรบ้าง

ด้วยความเรื่องมากส่วนตัว ผมจึง(ร่วม)ออกแบบโต๊ะทำงานไว้ใช้เองในออฟฟิศ

เรื่องนี้ เริ่มจาก Version 1.0 ซึ่งออกแบบไว้ตั้งแต่ปี 2009

รวบรวม Requirement

ก่อนออกแบบ ผมรวบรวม requirement จากความชอบส่วนตัวและหลัก ergonomic ไว้ดังนี้

ขนาด

การออกแบบโต๊ะ ต้องคำนึงถึงการจัดวางและพื้นที่ในออฟฟิศด้วย

ผมตั้งใจให้โต๊ะมีขนาด 200cm x 90cm กะว่าให้นั่งสองคนแบบทแยงข้างกัน แต่ละคนจะมีพื้นที่ทำงานเป็นสามเหลี่ยมมุมฉาก

กรณีเรียงโต๊ะเป็น 2 แถว ๆ ละ 3 ตัว

โต๊ะทำงานทั่วไป (แบบที่เป็นคอก partition) มีขนาด 120 x 60 ซึ่งถ้าใช้กับจอขนาดเล็ก ๆ (สมัยนั้นออฟฟิศทั่ว ๆ ไปใช้จอ 14–17 นิ้ว — ถ้ามีจอ 19-21 นิ้วก็ถือว่าหรูแล้ว) แต่ที่ออฟฟิศเราให้ทุกคนใช้จอ 24 นิ้วขึ้นไป ทำให้โต๊ะ 120 x 60 เป็นขนาดที่เล็กไป

การให้ทุกคนนั่งทแยงกันแบบนี้ จะทำให้แต่ละคนนั่งห่างกันถึง 2 เมตร! มีที่กว้างขวางสำหรับเหยียดแขนกันได้สบายใจ รู้สึกเป็นส่วนตัวสุด ๆ

วัสดุ

ผมต้องการให้ใช้วัสดุแสตนเลสและกระจก ข้อนี้มีหลายเหตุผล

  • ผมเกลียดโต๊ะทำงานสำเร็จรูปทั่ว ๆ ไปที่มักใช้วัสดุไม้อัดปิดผิว
  • โต๊ะไม้มีความคงทนต่ำ ใช้ไม่กี่ปีก็เป็นรอย — ในขณะที่กระจกทำให้คุณสามารถทำงานโหด เช่น กรีดกระดาษ ได้โดยไม่ต้องกลัวเป็นรอย
  • Brushed stainless steel คงทนมาก แทบจะเรียกได้ว่าอยู่ไปจนคุณแก่ได้เลย แถมยังดูแพง (ราคาก็แพงจริง ๆ) และให้ feel แบบ industrial นิด ๆ แบบที่ผมชอบ

ต้องสอดที่วางแขนของเก้าอี้เข้าไปใต้โต๊ะได้

ข้อนี้คือเพื่อผลทางด้าน ergonomic และเป็นเหตุที่เราต้องใช้กระจก— โต๊ะไม้โดยทั่วไปจะมีความหนาประมาณ 2cm เพื่อให้แข็งแรงพอ มีผลให้เวลาเรานั่งต้องเลือกทำอย่างใดอย่างหนึ่ง ระหว่าง

  1. สอดที่วางแขนเข้าไปใต้โต๊ะ ซึ่งเวลาวางมือบน keyboard จะทำให้มืออยู่บนโต๊ะ แต่แขนอยู่บนที่วางแขนของเก้าอี้ที่ต่ำลงไป 2cm ทำให้ข้อมือต้องงอ — เจ็บข้อมือ
  2. ปรับที่วางแขนให้สูงเสมอโต๊ะ ทำให้ข้อมือไม่งอ แต่จะมีผลให้ตัวเราถอยออกมาข้างหลังมากขึ้น ทำให้ต้องโน้มตัวมาข้างหน้าเข้าหาจอเวลาพิมพ์งาน — ปวดคอ

กระจกเป็นวัสดุที่บางแต่แข็งแรง ทำให้ถ้าคนเลือกใช้การสอดที่วางแขนใต้โต๊ะ จะไม่มีมุมตรงใต้ข้อมือมากนัก — หากนึกภาพไม่ออก ลองดูรูปด้านล่าง

โต๊ะที่เสร็จแล้ว — Cleverse Desk 1.0 — Production

การที่พื้นผิวทำด้วยกระจก ทำให้ที่วางแขนสอดเข้าไปได้แบบในรูป — สังเกตว่าแขนและมือเวลาพิมพ์งานอยู่ในระดับเดียวกันพอดี

ทั้งนี้ หากใช้ไม้ก็มีวิธีแก้ไขอยู่ แต่สมัยนั้นผมยังนึกไม่ถึง

หลังจากทำแบบและความต้องการ ก็ส่งให้สตูดิโอออกแบบเฟอร์นิเจอร์ที่เคยใช้ตอนแต่งบ้านทำแบบมาให้ ซึ่งแน่นอนว่ามืออาชีพย่อมจิ้มปัญหาที่เราไม่รู้ เช่น การโก่งตัวของคานเหล็ก การรับน้ำหนักของกระจก เป็นต้น

ได้แบบ version 1.0 มาแบบนี้

Draft 1.0

Cleverse Desk 0.1

ขาโต๊ะเป็นแบบพับเข้า — ในตอนแรกผมอยากให้เป็นแบบขาพับออก เหมือนโต๊ะ Atavola ของ B&B Italia แบรนด์สุดโปรด ซึ่งให้ feel industrial นิด ๆ

Atavola — B&B Italia

แต่ด้วยความกลัวว่าจะเกิดโศกนาฎกรรมได้ง่ายเพราะหันคมกระจกออก เลยกลับที่พับเข้า ทำให้ความ unique หายไปเยอะ

แบบ 1.0 ไม่ผ่าน ด้วยเหตุผลว่า มีคานด้านหนึ่งที่อยู่ชิดขอบ ทำให้เจอปัญหาสอดเก้าอี้เข้าไปไม่ได้ (สตูดิโอนึกว่าจะนั่งทำงานฝั่งเดียวกัน)

Draft 1.0_Final

Cleverse Desk 0.2

Version นี้คานเข้ามาแล้ว แต่มีปัญหาด้านการรับน้ำหนัก

เนื่องจากจอในสมัยที่ออกแบบโต๊ะรุ่นแรกเมื่อหลายปีก่อนยังมีน้ำหนักมาก จึงมีผลให้ต้องกำหนด spec ให้รับน้ำหนักได้อย่างน้อย 40kg

ความยากคือ เราอยากใช้กระจกเป็น top โต๊ะ ทำให้ version นี้ที่เป็นคานเดี่ยวอาจไม่มีการรองรับกระจกที่ดี มีผลให้มีจุดเปราะง่าย

นอกจากนี้ การเชื่อมขาโต๊ะสองฝั่งด้วยคานเดี่ยว จะมีผลให้เหล็กบิดตัวได้ง่าย อาจทำให้สองฝั่งไม่ระนาบกันได้ในระยะยาว ขาดความแข็งแรง

Draft 1.0_Final2

Cleverse Desk 0.3

ปรับแบบโดยเอาคานเข้าไปอยู่ด้านใต้ ตรงนี้มี trade-off คือ ถ้าเอาคานเข้าไปตรงกลางมากไป ตรงขอบก็จะเปราะ แต่ถ้าเอาคานมาตรงขอบมากไปก็จะสอดเก้าอี้ไม่ได้

Version 1.0 — Production

Version จริงตอนผลิต เจอปัญหา(ที่ไม่รู้ว่าจริงหรือเปล่า) คือ การเอาคานหลบเข้าไปในโต๊ะ มีผลให้มุมโต๊ะไม่แข็งแรง โดยเฉพาะด้านที่เป็นตัวยู (จินตนาการว่ามองจากด้านแคบ มองเข้าหาโต๊ะ จะเห็นขาโต๊ะกับคานเป็นรูปตัวยูคว่ำ) โก่งได้ง่าย (คือ มุมแทนที่จะเป็น 90 ถ้าใช้ไปนาน ๆ อาจจะอ้าออกได้) เลยแก้แบบโดยมีคานเพิ่มที่พื้นเพื่อเชื่อมขาโต๊ะเข้าด้วยกัน ดังรูป

Cleverse Desk 1.0 — Production

Feedback — ปัญหาของ Version 1.0

ใหญ่ไปสำหรับ 2 คน เล็กไปสำหรับ 4 คน

ปัญหา Classic ด้าน User Experience Design คือ User มักไม่ใช้อย่างที่เราออกแบบให้ใช้

อย่างที่บอกไว้ตอนต้น ผมตั้งใจให้ทุกคนนั่งทแยงกันแบบนี้

แต่พอปรับกันไปมา คนไม่ชอบนั่งแบบนี้ เพราะบอกว่าห่างไป คุยไม่สะดวก เลยเปลี่ยนมานั่งฝั่งเดียวกัน

คราวนี้ ทุกคนเลยมีที่แค่ 100cm x 90cm — แคบกว่าที่ทำงานทั่วไป ส่วนด้านลึก 90cm ก็ลึกไป ไม่ได้ใช้

Mouse…

กระจกมีข้อเสียใหญ่ เนื่องจากสมัยนั้นทีมของเรายังใช้ mouse ค่อนข้างมาก และ mouse ยี่ห้อดีที่สุดในสมัยนั้น (Razer Mamba) ก็ยังทำงานบนกระจกใสไม่ได้

วิธีแก้ไขก็คือ แจกแผ่นรองเมาส์ให้ทุกคนซะ!

Left: Razer Imperator + Razer Destructor — Center: Razer Lachesis + Razer ExactMat — Right: Razer Lachesis white + Sphex Mousesports Edition
Left: Razer Aurantia + Microsoft Sidewinder X5 + Razer Sphex — Center: Right: Logitech G500, Sphex mouse surface and Razer Aurantia — Right — Razer Imperator + Razer Destructor Limited Edition (อันสุดท้ายไม่ได้ถ่ายที่ออฟฟิศ)

นอกเรื่องนิดหนึ่ง

  • อย่าใช้ Mouse Razer — การใช้งานดีมากแต่อายุการใช้งาน 13 เดือนเป๊ะ หมด warranty ปุ๊บเสียเลย ซึ่งที่ผมเจอไม่ได้เป็นแค่อันสองอันนะครับ (สังเกตตัวอย่างที่ผมลง ที่ออฟฟิศในยุคนั้นใช้ Razer เยอะขนาดไหน) — อันที่ปวดใจที่สุด คือ Imperator ที่ผมชอบมากจนซื้อไว้ 2 ตัวที่บ้านกับที่ทำงาน มันเสียตอนเดือนที่ 13 พร้อมกันเลย (น่าจะตั้งไว้ใน firmware) — ตอนนี้ลดลงมาใช้ Logitech เป็นหลัก เพราะ warranty 3 ปี
  • ถ้าจะใช้แผ่นรองเมาส์​ การลงทุนกับ Destructor เป็นสิ่งที่คุ้มค่าที่สุด — ตอนนี้บางอันอยู่มา 8 ปี ใช้งานอย่างสมบุกสมบัน มีน้องบางคนเอาไปรองแก้วน้ำ (เวลาเห็นแล้วปวดใจมาก) ทุกวันนี้ยังใช้งานได้ดีเหมือนเดิม — บางคนชอบ ExactMat แต่สำหรับผมมันไม่ได้ฟีล — Sphex เป็นรุ่นที่กระจุยเร็วมาก ไม่คุ้มเงินเลย ส่วน Goliathus ที่เป็นผ้าก็เน่าเร็วมาก

ปัญหาอื่น ๆ ของกระจก

กระจกไม่สามารถเจาะรูได้ง่าย ๆ ทำให้สายไฟต้องพาดบนโต๊ะ ทำให้ดูรกมาก

ด้วยความใสของกระจก ทำให้การเวลายืนมองทะลุลงไปถึงข้างล่างได้ — ผู้หญิงจะไม่ชอบโต๊ะแบบนี้ เพราะแอบนั่งไม่เรียบร้อยไม่ได้

… Version 2.0

ผมรับทราบปัญหาข้างต้นมาหลายปี แต่ดองเรื่องไว้ไม่แก้มาโดยตลอด จนตอนนี้มีการเพิ่มคนจนถึงจุดที่การเปลี่ยนโต๊ะจะช่วยชะลอการย้ายออฟฟิศซึ่งเป็นงานใหญ่กว่าไปได้ ผมจึงกำลังลงมือออกแบบโต๊ะ version 2.0 อยู่ในขณะนี้

เสร็จเมื่อไร ผ่าน User Acceptance Testing แล้วจะเอามาอวดให้ชมครับ

Kittichai Jirasukhanon co-founded Cleverse, a venture builder, with people who have fun building the future. If you also think building/dreaming of the future a fun and meaningful purpose — let’s find a way we can work together.

--

--