Identity Crisis
— the crisis of adolescences
วัยรุ่นเป็นวัยที่ยากที่สุด ใครๆ ก็บอกกันแบบนั้น
แล้วทำไม “ใครๆ” ที่ว่านั่น จึงได้เห็นตรงกันซะขนาดนี้?
สงสัย “ใครๆ” อาจจะต้องเปลี่ยนไปเป็น “คนๆ นั้น” แทน
เมื่อ Erikson นักจิตวิทยาชื่อดัง ได้บอกไว้ในทฤษฎีพัฒนาการทางจิตสังคมของเขา
เพราะวัยรุ่น คือ วัยของ “วิกฤตอัตลักษณ์”
วัยของ “วิกฤตอัตลักษณ์” หรือ “Identity Crisis” เป็นช่วงอายุของคนที่ต้องผ่านวิกฤตชีวิตของการสับสนในตัวตน การทะเลาะตบตีกับตัวเอง (ซึ่งบางทีก็ตีกับคนอื่นด้วย) และมักจะเกิดขึ้นตอนช่วงที่พีคสุด อย่างช่วง “วัยรุ่น”
Erikson กล่าวไว้ว่ามนุษย์นั้นมีขั้นตอนการเติบโตอยู่ 8 ช่วง และช่วงเวลาสำคัญที่จะกำหนดพัฒนาการขั้นต่อๆไปก็คือช่วงวัยรุ่น (12–18 ปี)
ใช่ คุณคิดถูกแล้ว
บทที่พระเจ้าส่งมาให้เราเลือกทางเดินบนเส้นทางแห่งความฝัน ก็มักจะส่งมาในช่วงเวลาที่วุ่นวายที่สุด สับสนที่สุด และเคว้งคว้างที่สุด
แค่การเปลี่ยนแปลงเชิงกายภาพที่เราจะต้องเรียนรู้ก็ยากแล้วที่จะยอมรับ ทำให้เราหลายๆ คน ตั้งรับกับคำถามที่ยากจะตอบไว้ไม่ทัน
แล้วเราจะหา identity ของตัวเองได้อย่างไร?
อย่างที่ Erikson กล่าวไว้ มนุษย์เราสามารถหาตัวตนของตัวเองได้จากสิ่งที่เราพบเจอยิ่งเจอมาก ยิ่งพบตัวตนของตัวเองในหลายมิติมากยิ่งขึ้น อาชีพที่ชอบ กลุ่มสังคมที่ใช่ เพศ รสนิยมทางเพศ มุมมองทางการเมือง มุมมองต่อสังคม บลา บลา บลา
ถือเป็นโชคดีของคนที่เกิดในยุคศตวรรตที่ 21 ยุคที่เทคโนโลยีทำให้เราเห็นโลกมากกว่าที่เคยเห็น เราจึงมีโอกาสพบเจอและเข้าใจในความหลากหลายของอัตลักษณ์มากกว่าคนยุคไหนๆ
.
แต่ในโอกาสย่อมมีวิกฤต
การหาตัวตนของตัวเองให้เจอว่ายากแล้ว แต่การยืนหยัดและประคองกอดตัวตนของตัวเองท่ามกลางวิกฤตนั้นยากกว่า
.
วิกฤตที่หนึ่ง กรอบล่องหนแห่งศตวรรตที่ 20
เมื่อปู่ย่าตายายของเราไม่อาจหาคำอธิบายให้กับเรื่องอินเทรนด์ของหลานๆ ทุกวันนี้
เมื่อลุงป้าน้าอามีประโยคติดปากว่า “เชื่อเถอะ ฉันอาบน้ำร้อนมาก่อน”
เมื่อผู้ใหญ่ผู้ตีกรอบให้เราหลายๆ คนยังคงติดอยู่ในกรอบล่องหนแห่งศตวรรตที่ 20
เพราะประสบการณ์ที่ต่างกัน ยุคสมัยและสิ่งแวดล้อมที่แตกต่างกัน ในบางครั้ง เราจึงคิดต่างกัน มีมุมมองในเรื่องเดียวกันที่แตกต่างกัน และเมื่อรวมกับช่องว่างระหว่างวัยแล้ว ความขัดแย้งระหว่างคน 2 ยุคจึงเกิดขึ้นในแทบทุกครอบครัว
ไม่เป็นไร เข้าใจได้
มันเป็นเรื่องยากสำหรับเขาที่จะทำความเข้าใจถึงอัตลักษณ์ที่แตกต่างของยุคปัจจุบัน เหมือนกับเราที่ไม่ค่อยจะเข้าใจอัตลักษณ์ที่แตกต่างของยุคของเขานั่นแหละ
.
วิกฤตที่สอง เสียงกระซิบ
เมื่อเราต้องอยู่ในสังคมที่มีการแชร์พื้นที่ส่วนตัวให้กับคนอื่นมากขึ้น
เรากลับได้ยินเสียงตัวเองเบาลง
เบาบางลง
เมื่อเสียงของเรากลับกลายเป็นเสียงกระซิบท่ามกลางเสียงอึกทึกคึกโครมของเมืองใหญ่ ทำให้บางครั้งเราสับสนและเลือกตอบคำถามที่ว่า “เราเป็นใคร” ด้วยการถามกลับว่า “แล้วทุกคนล่ะ มองฉันเป็นยังไง?”
ทำไมเราเลือกที่จะสละตัวตนที่มี เพื่อตอบสนองความคิดของคนอื่นในสังคมแทน?ทำไมเราเลือกที่จะให้เสียงของเรากลืนไปกับผู้คน ทำให้อัตลักษณ์ของเราจางหายไปพร้อมกับมัน?
นี่สินะ วิกฤตอัตลักษณ์
เพราะการเป็นวัยรุ่นมันไม่ง่าย
จึงอยากให้เข้าใจเรา
ไม่ว่าคุณจะเป็นใคร อยู่ในสถานะไหน การเรียนรู้และเข้าใจความหลากหลายทางอัตลักษณ์จึงสำคัญ ปล่อยให้เราได้ใช้พื้นที่ตรงนี้ เพื่อให้คุณได้รู้จักตัวตนของตัวเองมากขึ้น เข้าใจตัวตนของผู้อื่นมากขึ้น และเข้าใจกันและกันมากยิ่งขึ้น
แล้วพบกันอีกครั้ง — de unknown
Ref.
https://www.verywellmind.com/identity-versus-confusion-2795735