RentSpree สรุปงาน Creative Talk 2022 ในหัวข้อ Future of Workplace

Nichanun Ngamanurak
LifeatRentSpree
Published in
3 min readJul 4, 2022

หลายๆ คนที่อยู่ในแวดวง Marketing หรือสนใจในเรื่อง Innovation อาจจะเคยได้ยินชื่องาน CTC หรือ Creative Talk Conference กันอยู่บ้าง ซึ่งงานนี้ถือว่าเป็น Conference ใหญ่ที่รวบรวม Speaker จากทุกวงการมาพูดคุยกว่า 80 คนเลยทีเดียว ในปีนี้งานมาในธีม “Future of Everything” โดยพูดถึงเรื่องอนาคตที่ประกอบไปด้วยหลากหลายแกน หลากหลายมุมมอง ที่เราสามารถนำไปต่อยอดในชีวิตของเราได้ และแน่นอน หนึ่งใน Session ของทาง CTC บนเวที Vision Stage ทาง RentSpree เองก็ได้รับเกียรติให้เป็นหนึ่งใน Speaker ในงานเช่นกัน

3 Speakers จากหัวข้อ Future of Workplace

โดย Session ดังกล่าว อยู่ภายใต้หัวข้อ “Future of Workplace” ประกอบไปด้วยพี่พุฒ-พศวีร์ CTO ของ RentSpree ที่ได้โอกาสขึ้นไปแชร์มุมมอง ร่วมกันกับคุณนาฎฤดี อาจหาญวงศ์ Chief People Officer จาก Dtac และคุณพนม ศลิษฏ์อรรถกร Head of Digital Transformation จากโอสถสภา ซึ่งถือว่ามีประสบการณ์ในเรื่อง Workplace มากๆ เลยทีเดียว

โดย Speaker ทั้ง 3 ท่านก็ต่างเป็นตัวแทนของ Workplace ที่แตกต่างกัน ได้แก่

  • Dtac องค์กรที่ผ่านการเปลี่ยนแปลงบ่อยครั้ง
  • Osotsapa องค์กรที่มีอายุยาวนาน มีความหลากหลายของทีมงาน และเอา Innovation มาทำให้เกิด Impact
  • RentSpree องค์กรแนวคิดใหม่ ที่เป็น First to market และมีวัฒนธรรมองค์กรที่พร้อมเปิดรับสิ่งใหม่ๆ อยู่เสมอ

เปิดเข้ามาคำถามแรก พิธีกรก็ถามถึงช่วงปีที่ผ่านมาของแต่ละองค์กร ว่ามีการเปลี่ยนแปลง Policy / Benefit / Rules and Culture อย่างไรบ้าง หลังจากที่เกิด Pandemic

เริ่มที่ Dtac กันเลย โดยทาง Dtac พูดว่า ที่นี่เป็นบริษัทใหญ่ ที่บอกเป็นเจ้าแรกๆ อย่างชัดเจนว่าจะไม่มีการกลับไป Work from office โดยทาง Dtac ได้สร้าง Ecosystem ในการทำงานใหม่ ให้พนักงานสามารถทำงานได้ทุกรูปแบบ ไม่ว่าจะเป็น Hybrid หรือ Work from home เต็มรูปแบบ ซึ่งทาง Dtac ก็ลดพื้นที่ในออฟฟิศลง และไปลงทุนกับเทคโนโลยี เพื่อให้ทีมพนักงานทำงาน Collaboration ได้อย่างมีประสิทธิภาพ

นอกจากนี้ ก็ใช้คอนเซ็ปต์ Tight-Loose-Tight คือ การที่หัวหน้า ตั้งเป้าหมายให้ Tight หรือชัดเจน ตอนทำงานก็ Loose ให้ทีมสามารถจัดการกับงานเอง จะทำงานที่ไหน ยังไงก็ได้ แต่ตอนจบคือ Tight ที่ต้องเห็นผลลัพธ์ของงานนั้นๆ อย่างชัดเจน

จากนั้นต่อด้วย Osotsapa คุณพนม ศลิษฏ์อรรถกร ที่ได้เสริมเรื่อง Digital Transformation ในองค์กร โดยได้เอาคอนเซ็ปต์ Zero-based Design เข้ามา ซึ่งในมุมมองขององค์กร คือการออกแบบโครงสร้างองค์กรใหม่ ให้ความสำคัญกับอนาคตมากกว่าใช้โครงสร้างเดิมเป็นตัวตั้ง เพื่อปรับโครงสร้างและโยกย้ายกลุ่มพนักงาน “Talent” ไปอยู่ในจุดที่สามารถขับเคลื่อนการเปลี่ยนแปลงได้ รวมถึงปรับระบบการบริหารจัดการให้สอดรับกับกลยุทธ์และโมเดลธุรกิจใหม่ เช่น การให้ C Level ไปเป็นเมนเทอร์ของน้องๆ Talent ในองค์กร เพื่อให้ได้แนวคิดใหม่ ให้การทำงานรวดเร็วขึ้นและไดรฟ์องค์กรให้เปลี่ยนแปลง มีความทันสมัยขึ้น เป็นต้น

ปิดด้วย พี่พุฒของเรา ที่มาแชร์ในมุมของ RentSpree โดยถึงแม้เราจะเป็นองค์กรสายเทค ที่ไม่น่าจะปรับตัวยาก แต่เราก็เจอความท้าทาย ในเรื่องของ Tech Talent War เนื่องจากตลาดเทคมีการเติบโตอย่างรวดเร็ว ไม่ว่าจะเป็นตลาดโลก หรือตลาดในไทย ฉะนั้น Demand ของสายงานด้านนี้ จึงมีความต้องการสูง

RentSpree จึงมีการครีเอท Policies หรือ Benefits ต่างๆ ให้มีความสอดคล้อง ต่อความต้องการของคนที่ทำงานทางด้านนี้ อาทิ Flexible Benefits ที่เป็นบัทเจ็ตให้พนักงาน ไปซื้อของตามความต้องการ เพื่อที่จะทำ Home Office หรือแม้กระทั่งไป Workcation หรือ Staycation ก็ตาม

นอกจากนี้ แน่นอนว่าองค์กรทุกที่ก็มีการแข่งขันกัน เพื่อดึง Talent ให้มาทำงานกับเรา อย่าง Unlimited Leave ซึ่งเชื่อว่าหลายๆ องค์กรก็มี แต่ในความเป็นจริงนั้น เป็นอย่างไร Unlimited จริงมั้ย ก็ยังเป็นที่ถกเถียงกัน แต่ทั้งนี้ ที่ RentSpree เอง เรามีการสร้างวัฒนธรรมให้ทุกคนมี Ownership ในงานที่ตัวเองทำ สร้างให้ทุกคนเป็นเจ้าขององค์กรผ่านสวัสดิการ ESOP รวมถึง Culture ในที่ทำงานต่างๆ เป็นตัวหล่อหลอมให้พนักงานของเราทำหน้าที่ที่ตัวเองรับมอบหมายได้เป็นอย่างดี และทำให้ไม่เกิดปัญหาในเรื่องการลาเหล่านี้

คำถามต่อมาคือเรื่อง Digital Nomad ดูจะเป็นแนวทางการทำงานของหลายๆ คนถัดจากการ Work from Anywhere ในมุมมองของ Tech Startup อย่าง RentSpree คิดว่าองค์กรและคนทำงานควรเตรียมตัวอย่างไรบ้าง

Digital Nomad ในความหมายแบบเอ็กซ์ตรีม คือคนที่ย้ายฐานที่อยู่ไปเรื่อยๆ อาจจะทุกๆ 3 เดือน ถ้าอ่านบทความบริษัทในอเมริกาหลายๆ บริษัทก็มี Policy เกี่ยวกับตรงนี้ เพราะพวกเขาเชื่อว่าสามารถเพิ่ม Creativity และ Productivity ให้กับพนักงานได้

แต่ว่าอาจจะไม่เหมาะกับทุกคน ซึ่งตรงกลางพี่พุฒของเรามองว่า Work Remote หรือ Work from Anywhere ที่หลายๆ องค์กรในไทย กำลังทำอยู่ถือเป็นตัวอย่างที่ดี โดยเราอาจจะมองถึงคนต่างจังหวัดที่เข้ามาทำงานในกรุงเทพ ก็ทำให้พวกเขาไม่ต้องเข้ามาในกรุงเทพ ได้ใช้เวลาอยู่กับครอบครัวได้มากขึ้น ค่าใช้จ่ายน้อยลง ถัดมาคือคนกรุงเทพ ที่ไม่อยากไปเจอปัญหารถติด ซึ่งบริษัทก็สามารถซัพพอร์ตได้

ทั้งนี้ คีย์หลักๆ คือการสร้าง Remote Work ที่มีความ Sustainable สำหรับที่ RentSpree เรามองว่าเราต้องสร้าง Ownership และ Motivation ให้กับทีมของเรา เพื่อให้พวกเค้าอยากจะลุกขึ้นมาทำงาน เรา Empower พนักงานหรือทีมของเราอยู่เสมอ ว่างานที่ทุกคนทำ ไม่ว่าจะฝ่ายไหน ก็สามารถสร้าง Impact ได้

อย่างที่สอง คือ Asynchronous Communication เนื่องจากเราไม่ได้เจอหน้ากันตลอด ฉะนั้น การทำให้การสื่อสารในทีม รวมไปถึงในองค์กรมีประสิทธิภาพมากที่สุด เป็นสิ่งสำคัญอย่างหนึ่ง

และอย่างสุดท้ายคือ Team Bonding เพื่อส่งเสริมเรื่อง Relationship และ Trust ในองค์กร ซึ่งอาจหายไป เมื่อเราไม่ได้นั่งทำงานอยู่ในที่ทำงาน องค์กรและทีมทุกคนจึงเป็นส่วนสำคัญในการสร้าง Activity ต่างๆ หรือ Team Bonding ให้เกิดขึ้น ซึ่งจริงๆ ก็ส่งผลให้การทำงานราบรื่นขึ้นด้วยเช่นกัน

ปิดท้ายด้วยคำถามไฮไลท์ว่า Future of Workplace ที่จะทำให้องค์กรน่าทำงานด้วย แต่ละที่ ได้ทำอย่างไรกันบ้าง

โดยทาง Dtac ก็ปิดท้ายด้วย Future is now ซึ่งตอนนี้สำหรับ Dtac ทักษะทาง Digital นั้นถือว่ามีความสำคัญ ไม่ว่าคนจะอยู่ในแผนกงานไหนก็ตาม ก็ต้อง Empower คนให้มีทักษะทางด้านนี้ รู้จักใช้ Tools ที่ทำให้งานของตัวเองง่ายและมีประสิทธิภาพขึ้น โดยคาดหวังว่าในปีหน้าจะสามารถ Automate งาน Routine หรืองานที่มีความซ้ำๆ ทุกวัน ให้ได้ 100% รวมถึงองค์กรเองก็ต้องปรับตัวให้สอดคล้องกับเทรนด์ที่กำลังจะเกิดขึ้นด้วย

ส่วนทาง Osotsapa ก็ปิดท้ายด้วยเรื่อง Fully Flexible การทำงานที่ Flexible มากขึ้น นอกจากนี้ ก็ยังนำเอา Agile มาใช้ เพื่อความรวดเร็วในการทำงาน ไม่ต้องรอผู้บริหารในการตัดสินใจ รวมถึงสร้างงานที่มีความ Impact ให้ทีมในองค์กร เพื่อ Motivate คนในองค์กรให้อยากที่จะทำงานกับเรา

และ RentSpree ก็เห็นด้วยกับแนวคิดจากทั้ง 2 ที่ พร้อมปิดท้ายด้วยการเสริมเรื่อง Future of Workplace ว่า Future อาจจะมีการปรับเปลี่ยนอยู่ตลอดเวลา แต่ Workplace ที่ดีควรจะมี 2 สิ่งหลักๆ ที่ควรจะสร้างให้กับคนในองค์กร คือ

  1. Meaningful Work คือการที่ทำให้คนที่ได้มาทำงานกับเรา รู้สึกได้ว่างานที่เขาทำมันมีความหมายทั้งกับเขาและองค์กร
  2. Human Interaction แน่นอนว่าทุกคนอยากจะมีเพื่อน อยากมีสังคม ฉะนั้น Workplace ก็ควรจะสร้างสังคมในที่ทำงาน ให้ทุกคนได้มารู้จัก ได้เรียนรู้อะไรใหม่ๆ สร้างประสบการณ์อีกรูปแบบหนึ่งด้วยกัน

แน่นอนว่าโอกาสและการเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้นทุกวัน ซึ่งทุกคนก็สามารถค้นหา Future of Workplace ที่ใช่สำหรับตัวเองได้เช่นกัน และใครที่สนใจ RentSpree อยากรู้จักเราเพิ่มเติมก็สามารถเรียนรู้และเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งกับเราได้ที่
💙 Facebook : https://www.facebook.com/RentSpreeThailand
💙 Website : https://bit.ly/apply-rentspree

--

--