OKR ร่างใหม่ของ KPI ที่ดีกว่า (จริงหรือ ? )

Sitthichok Panyachaisana
Donuts Bangkok Family
2 min readJul 5, 2018

เมื่อเราหลีกเลี่ยงการทำงาน วัฒนธรรมญี่ปุ่น แบบเดิม

รูปแบบการทำงานของบริษัทรุ่นใหม่เองก็ตอบโจทย์คนรุ่นใหม่เช่นกัน

ใครที่ทำงานกับบริษัทญี่ปุ่นคงจะคุ้นเคยกับยอด KPI หรือ Key Performance Indicator ซึ่งใครที่สนใจทำงาน หรือสมัครงานกับบริษัทญี่ปุ่นอาจจะต้องศึกษาโครงสร้างการทำงานกี่ยวกับ KPI ให้ดี ๆ เลยว่ารับได้กับการวัดผลและประเมินองค์กร แบบนี้ เช่น

KPI ทำงานได้ดีกว่าจริงหรอ

ยอดขาย ต่อ เดือน ขั้นต่ำ 5 ล้านบาท

หรือ

จำนวนผู้ใช้ ต่อ เดือน ขั้นต่ำ 1,000 คน

คำถามที่เกิดขึ้นคือ…

“เราทำงาน งาน ๆ นึงเพื่อตอบโจทย์ใคร ตัวเรา หรือ บริษัทกันแน่!”

ก็คงตอบได้ว่าเราสมัครเข้ามาทำงานกับบริษัทอาจจะเพื่อแค่หาเงินเข้ากระเป๋าตัวเองกลับบ้านแล้วก็จบไป ซึ่งในความเป็นจริงแล้วนั้น เราลืมไปแล้วว่าการกระทำของเราได้ส่งผลให้เกิดสิ่งที่เรียกว่า ผลกระทบต่อเนื่อง แก่คนที่อยู่รอบข้างเราด้วย เคยรู้สึกว่างานที่เราทำเป็นงาน ทำไปวัน ๆ รึเปล่า หากใช่ ผมว่าลองอ่านเรื่องเกี่ยวกับ OKR (Objective & Key Result) กันบ้างดีกว่าว่าทำไมการเปลี่ยนวิธีการวัดเป้าหมาย ถึงได้ส่งผลกระทบต่อ การทำงานขององค์กรใหญ่ ๆ ด้าน Tech ที่แม้แต่โดนัทส์เองก็มีการนำ OKR มาแอบใช้ในการสัมภาษณ์ บ่อย ๆ

ความแตกต่างของ OKR กับมาตรฐานอื่น ๆ

การตั้ง Objective and Key Result จะมีการตั้งโดยมีจุดประสงค์เพื่อผลกระทบโดยรวมที่ดีขึ้นและมีลักษณะเป็นเชิงระบบที่สร้างขึ้นมาเพื่อให้ทีมและบุคคล สามารถออกจาก Comfort Zone กล้าทำอะไรใหม่ ๆ จัดเรียงความสำคัญ และ เรียนรู้จากความผิดพลาดและล้มเหลวได้รวดเร็วขึ้น

โดยมีสูตรเข้าใจง่าย ๆ คือ

Objectives = Key action + Result

หลักการ การตั้ง OKRs ที่มีประสิทธิภาพ

การแข่งขันที่ทำให้เราได้เปรียบที่สุดก็คือการแข่งขันกับตัวเอง

1. Objectives ต้องดูท้าทายจนรู้สึกว่ายาก

2. Key Result การกระทำหรือการวัดค่าต้องสามารถประเมินเป็นเกรดได้โดยง่ายมากยิ่งขึ้น (Google ใช้ 0–1.0) ส่วนที่บริษัทเราจะใช้ 1% — 100 %

3. การตั้ง OKRs สามารถเข้าถึงได้ทุกคนเพื่อบอกได้ว่าเรากำลังทำอะไรอยู่ (ลดข้อกังขาเรื่องการทำงานกับทุกระดับพนักงาน)

4. การตั้งโจทย์ที่ดีจะมีโอกาสเป็นไปได้อยู่ที่ 60–70% ถ้าน้อยไปก็ต้องปรับหรือง่ายไปก็ต้องเปลี่ยน เพื่อให้ยังคงท้าทายได้อยู่

5. OKRs ไม่ส่งผลกระทบต่อการประเมินบุคคล เพราะส่งผลกระทบในภาพรวมของงานที่ทำด้วยกันทั้งหมดอยู่

6. OKRs ไม่ใช่ To-do list ถ้าไม่เข้าใจแล้วเห็นเป็น To-do list ทำไปก็เสียเวลาเปล่า

ตัวอย่าง : การตั้ง OKRs สำหรับตัวเอง

Lead Product ของ SistaCafe ถ้าผมตั้งคำถามว่าทำไมถึงเสียเวลามานั่งเขียนบทความ น่าจะถึงเวลาลองเอา OKRs มาใช้งานกันแล้ว

ยกตัวอย่างง่าย ๆ จากสิ่งที่ผมกำลังเล่าอยู่ตอนนี้ในฐานะ Lead Productของ SistaCafe ถ้าผมตั้งคำถามว่าทำไมถึงเสียเวลามานั่งเขียนบทความไปทำไมนี่ก็จะเป็น OKRs ของผม

Objectives

: พัฒนา Company Blog ให้เป็นตัวแทนการสื่อสารว่า Start-Up ทำงานแบบไหน และ เข้าใจถึงความท้าทายของ Donuts Bangkok

Key Result

1. เขียนบทความอย่างน้อยเดือนละ 2 ครั้งจากประสบการณ์ 2 ปี ที่ทำงานกับบริษัท โดยเอาความรู้การทำทีม และ พัฒนาเว็บ SistaCafe มาแชร์ให้ทุกคนทราบโดยทั่วกัน

2. ส่ง 1 บทความ ต่อ เดือน เป็นเรื่องที่ใกล้ตัวทีมงานที่กำลังเจออยู่ โดยเขียนแบบไม่ปิดบังเพื่อภาพลักษณ์บริษัท

3. ชวนคนจากหลาย ๆ ทีม มาช่วยกันพัฒนาบทความให้เข้าถึงง่าย และ สามารถถ่ายทอดมุมมองของตัวเองได้อย่างอิสระ อาทิตย์ละ 1–2 บทความ

*** OKRs ไม่เกี่ยงวิธีการทำงานเพราะบางที Key Result อาจจะมาได้จากหลายทาง

ความยากในการปรับใช้ OKRs

ความยากในการปรับการทำงานให้กับทีมเวลาเราเปลี่ยนวิธีการทำงานคงจะไม่พ้นหลัก ๆ คือเรื่องการสื่อสาร

โดยเฉลี่ยการเปลี่ยนมาใช้ OKRs จะใช้เวลาประมาณ1ปีในการทำงาน

ความยากในการปรับการทำงานให้กับทีมเวลาเราเปลี่ยนวิธีการทำงานคงจะไม่พ้นหลัก ๆ คือเรื่องการสื่อสาร ดังนั้นการปรับใช้ เราเลย มองเรื่องการสื่อสารให้ทีมในแง่ต่าง ๆ ดังนี้

n เล่าว่า OKRs คืออะไร

n ทำไมถึงใช้ OKRs ในการทำงาน

n อธิบายวิธีวัดผลนี้ให้ทีมเข้าใจ

n ให้ทุกคนมีโอกาสถามจนกว่า จะเข้าใจ

ลองดูว่า OKRs ที่ Google เข้าใช้งานได้อย่างไรจาก VDO นี้

สุดท้ายนี้การปรับใช้ OKRs ไม่จำเป็นต้องเป็นทางเลือกในการทำงานที่ดีที่สุดสำหรับเราก็ได้หากทีมงานมีวิธีการคิด และ ทำงานที่ดีอยู่แล้ว

ขอบคุณที่มา : https://rework.withgoogle.com/

--

--