เพราะไม่รู้

EngineerInTH
Engineerinth
Published in
2 min readJan 8, 2018

เพราะไม่รู้ >> วิทยาศาสตร์ของจิตใจ

วิทยาศาสตร์ของจิตใจ

โรคที่ได้รับความนิยมที่สุดคือ
โรคเกิด โรคแก่ โรคเจ็บ และโรคตาย
ท่านว่าสี่โรคที่นิยมมากสุดนี้เกิดจากความไม่รู้

โรคเกิด กับ โรคตายนั้น
ช่างมันเอาไว้ก่อน
มาดู โรคแก่ และโรคเจ็บ
เกิดมาจากความไม่รู้ได้ยังไง
ทำไมๆๆๆและทำไม
ทำไมอธิบายเป็นวิทยาศาสตร์ไม่ได้
หรือทำไมวิทยาศาสตร์อธิบายไม่ได้

แท้จริงแล้ว
เพราะความไม่รู้นี้แหละ
ที่ทำให้เราหลงสร้างพลังพิษ
ที่มากมายหลากหลายขึ้นมา

ทุกๆครั้งที่เราสร้างมันขึ้นมาแล้ว
มันไม่ได้สูญหายไปไหนเลยแม้แต่น้อย

เช่นเดียวกับพลังงานและสสารอื่นๆ
ในโลกและในจักรวาลที่ไม่เคยสูญหายไปเลย
แต่มันถูกสร้างแล้วก็บันทึกสะสมอยู่อย่างนั้นแหละ

พอสะสมได้เหมาะสมร่างกายก็ปรับสมดุล
เป็นสมดุลใหม่ที่พอดีกับพลังพิษที่สะสมไว้
โรคทั้งหมดจึงเป็นเพียงการปรับสมดุลของกายธาตุ
ดังนั้นสาเหตของโรคเจ็บป่วยจึงเกิดจากความไม่รู้

รู้ใจ รู้โรค

เราทั้งหลายเป็นส่วนหนึ่งของโลกและจักรวาลนี้
คลื่นพลังทั้งหลายที่ช่วยกันสร้างกันขึ้นมา
ก็ไม่เคยสูญหายไปไหนแต่ก็เป็นของโลกและจักรวาลด้วย
คลื่นพลังงานนี้เปลี่ยนรูปได้เช่นเดียวกันกับ
พลังงาน แรง คลื่นและสสารอื่นๆ ทั้งหลายในโลก

พลังจลน์ ศักย์ ความร้อน กล แม่เหล็กไฟฟ้า แสง โน้มถ่วง และสสาร
เหล่านี้ล้วนเปลียนรูปได้และมีอิทธิพลจาก
พลังที่เราทุกๆคนช่วยกันสร้างไปจากใจเราทั้งสิ้น
ภัยพิบัติต่างๆทั้งหลายก็ล้วนเป็นการปรับสมดุลย์
ของธาตุทั้งหลายของโลกให้สมดุล
เป็นสมดุลย์ที่พอดีกับคลื่นพลังทางใจ
ที่เราสร้างและสะสมไว้ในโลกนั่นเอง

ภัยพิบัติเกิดจากเรา

วิทยาศาสตร์จะสามารถพิสูจน์สิ่งเหล่านี้ได้
เพราะคลื่นพลังงานทางใจนี้
สามารถถูกวัดและตรวจจับได้

เราสามารถสร้าง กล้องถ่ายโรค ได้ด้วยวิศวกรรมปัจจุบัน
ที่จริงตัวเราทุกๆคนคือ
แหล่งกำเนิดคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าจำนวนมาก
เทคโนโลยี AI จะทำให้เราวิเคราะห์
และวินิจฉัยได้แม่นยำอย่างน่าทึ่ง
กล้องถ่ายภาพออร่าที่มีมาเป็นสิบๆปีแล้ว
จะถูกต่อยอดให้มีประโยชน์จริงๆเสียที

ความแก่และอายุขัยของมนุษย์ก็ถูกกำหนด
ด้วยสมดุลย์ของคลื่นพลังงานนี้
ไม่ใช่แค่ถูกกำหนดด้วยยีนส์หรือโครโมโซมเท่านั้น

ถ้าสมดุลย์ของสิ่งที่เราสร้างเป็นพิษมากขึ้น
เราจะแก่เร็ว อายุขัยเราจะสั้นลงๆ
อายุ 20–30 ปีเราก็แก่กันแล้ว
พออายุ 40–50 นี่เราตายกันหมด
โรคร้ายต่างๆ จะมีอีกมากมาย
ภัยพิบัติทั้งหลายจะมีมากตาม
ความสมดุลย์ของพลังที่พวกเราสร้างกัน

ศาสตร์การป้องกันและรักษาจะพัฒนาขึ้น

วันหนึ่งวิทยาศาสตร์จะวิจัยพิสูจน์พบว่า
คนอารมณ์ดีจะแก่ช้าสดใสและร่าเริง
คนอารมณ์ไม่ดีจะแก่ไวไม่ร่าเริง

โรคแก่และโรคเจ็บจึงเกิดความไม่รู้ของเรา
เพราะไม่รู้จึงหลงไปสร้างพลังงานพิษมาสะสม
ทำให้ตัวเองเดือดร้อนด้วยโรคภัย
และทำให้โลกเดือดร้อนด้วยโรคภัย(พิบัติ)
เพราะความไม่รู้ของเราเองนั้นแหละเป็นเหตุ
ทำให้เราแก่ไว เจ็บมาก
เจ็บประณีตหลากหลายและตายไว

โรคแก่และโรคเจ็บและทุกๆโรค
เกิดจากความไม่รู้ตามที่ท่านกล่าวนั้น
ท่านกล่าวไว้ได้ถูกต้องดีแล้ว

ถ้าความรู้เข้ามาแทนที่ความไม่รู้
สมดุลย์ของสิ่งที่เราสร้างจะเปลี่ยนอีก
โรคทุกๆโรค และภัยพิบัติ
สงครามและโรคระบาดจะหมดไป
การเบียดเบียนโลกและธรรมชาติจะหมดไป

สมดุลย์ของอายุขัยจะเปลี่ยนไป
อายุสองร้อยปีนี่ยังจัดว่าหนุ่มๆสาวๆอยู่
เกิดแก่เจ็บตายยังมี แต่แก่และเจ็บเป็นอันเดียวกัน
คือเจ็บเพราะโรคแก่ และแก่เพราะโรคเจ็บเท่านั้น
ไม่มีโรคอื่นๆ อีก

สาเหตุที่ไม่มีโรคอื่น เพราะความประณีต ความพิสดาร
ในการสร้างคลื่นพลังพิษหมดไป
ไม่เป็นอย่างสมัยนี้
ที่แข่งกันโลภโกรธหลงกัน
อย่างประณีตพิสดารล้ำเหลือ

อนาคตคนอาจจะกลับมาเหาะ มาหายตัวได้
ก็ไม่ใช่เรื่องแปลกไม่ใช่สิ่งเหนือวิทยาศาสตร์อีก
เพราะคลื่นพลังของใจนั่นแหละเป็นเหตุเป็นอิทธิพล
ของ แรง-คลื่น-พลังงาน-ธาตุ-สสาร-อื่นๆ ทุกๆชนิด

ไอสไตน์ สตีเฟ่นฮอส์คิง และคนอื่นๆ ทั้งหลาย
ไปไม่ถึงฝั่งฝันก็เพราะละเลยสิ่งเหล่านี้

การละเลยคือการไม่ได้มนสิการหรือสนใจจะรู้
จึงดูเหมือนเราโง่กว่าสัตว์เกือบทุกสายพันธ์
ทั้งคนโบราณและโง่กว่าอารยะธรรมโบราณ
เพราะการละเลยไม่สนใจไม่ใส่ใจนี่เอง

แพทย์จีนหรือหมอแมะนั้น แค่ #มนสิการ หรือสนใจ ใส่ใจ
ก็สามารถรู้ได้ว่าคนนี้ป่วยด้วยโรคอะไร ต้องกินยาอะไร

หมาแมวสัตว์อื่นๆแค่สนใจใส่ใจ
มันก็รู้แล้วใครเป็นมิตรใครปลอดภัย
สัตว์จำนวนมากมายหลายชนิดหลายสายพันธ์ุ
แค่มนสิการใส่ใจมันก็รู้ล่วงหน้าแล้วว่าจะมีฝนตกจะมีสึนามิ
ไม่เห็นมันต้องมีเทคโนโลยีเตือนภัยประสิทธิภาพต่ำแบบคนเลย
มันก็รู้ล่วงหน้าได้ว่าฝนจะตก จะมีภัยพิบัติ ตรงไหนปลอดภัย
ตรงไหนอากาศดี เหมาะแก่การอพยพไป พักผ่อน

ที่มันรู้เพราะว่ามันมนสิการ สนใจ และใส่ใจ
ที่มันใส่ใจจะรู้เพราะมันมีผลกับชีวิตมัน
มีผลกับความอยู่รอดของมัน มันจึงสังเกตรู้
เพราะถ้าฝนจะตกแล้ว ชีวิตมันจะเดือดร้อน
มันจึงรู้ได้โดยธรรมชาติของมันอยู่แล้ว

สังเกตดูคนโบราณ อารยธรรมโบราณ
มีความสนใจรู้สิ่งเหล่านี้โดยธรรมชาติอยู่แล้ว
เพราะมันเป็นวิทยาศาสตร์กลางที่
ใครสนใจ ใครใส่ใจ ใครสังเกต ก็รู้ได้หมด
หาใช่ว่าสัตว์เหล่านั้นหรือคนโบราณเก่งฉลาดกว่าจึงรู้ได้
ที่เราไม่รู้เพราะเราเอาใจไปคิดนึกปรุงแต่งกันมากเท่านั้นเอง
ที่ทำให้เราไม่สามารถรู้สิ่งต่างๆเหล่านี้ได้เหมือนสัตว์หรือคนเก่าๆ

เราจึงเหมือนจะเจริญขึ้นนะ
แท้ที่จริงแล้วเปล่าเลย
สังเกตดีๆ เรามีโรคแปลกๆเยอะขึ้น
แถมอายุขัยลดลง โดยไม่รู้เพราะอะไร
เราเครียดมากขึ้น บรรยากาศโลกเป็นพิษมากขึ้น
โดยที่เราต่างก็ยังไม่รู้ถึงสาเหตุแท้จริง
ว่าเกิดจากความไม่รู้ของเราเองนั่นแหละ
ที่ทำร้ายตัวเอง และทำร้ายโลก
ทั้งหมดเพราะความไม่รู้

สังเกตุดูคนสมัยโบราณจะรู้สิ่งเหล่านี้
จึงมีศัพท์เท่ห์ๆ ชิคๆ ที่มันกำลังจะหายไป
เพราะคนรุ่นพ่อรุ่นแม่เรารู้สึกถึงสิ่งต่างเหล่านี้เช่น
รู้เนื้อรู้ตัว ใจอยู่กับเนื้อกับตัว ใจลอย ใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัว
ครึ้มๆ ครึ้มฟ้า ครึ้มฝน ลมเพลมพัด ลางสังหรณ์
นั่นแสดงว่านอกจากสัตว์สมัยนี้จะรู้แล้ว
คนรุ่นพ่อรุ่นแม่เรารู้สิ่งเหล่านี้เช่นกัน

คนโบราณแค่มนสิการหรือสนใจสังเกตุคลื่นพลังนี้เท่านั้น
ก็สามารถรู้ความเป็นวิทยาศาสตร์ของปีของเดือนของราศี
และวิทยาศาสตร์ของโชคชะตาด้วยก็เพราะสังเกตสิ่งเหล่านี้
เพราะตัวการสะสมคลื่นพลังงานนี้กำหนดสิ่งเหล่านี้ทั้งหมด
กำหนดกฎแห่งกรรม กำหนดโชคชะตา กำหนดการเครื่อนที่
กำหนดการโคจรของดวงดาว กำหนดแรงโน้มถ่วงด้วย

ดาว

เมื่อวิศวกร นักฟิสิกส์ แพทย์ พิสูจน์วิทยาศาสตร์เหล่านี้แล้ว
เราจะรู้ความจริงทั้งหมดได้ เหมือนที่เรารู้ว่าโลกกลม
เรารู้ว่าโลกกลมเพราะขอบเขตการรับรู้เรากว้างขึ้นเกินสายตา
เมื่อวิศวกรและนักวิทย์ช่วยกันเติมเต็มและพิสูจน์ความรู้เหล่านี้แล้ว

ความจริงทางวิทยาศาสตร์เหล่านี้จะทนต่อการพิสูจน์ได้เสมอ
ความจริงเหล่านี้จะปรากฏเป็นความรู้ร่วมกันของโลก
ไม่มีความเห็นที่ต่างกันของวิทยาศาสตร์เชื้อชาติและศาสนาอีกต่อไป
เหมือนที่วิทยาศาสตร์เคยทำให้
ทุกเชื้อชาติและศาสนารู้ความจริงว่าโลกกลม

เมื่อทุกคนรู้ความจริงแล้ว ศาสตร์ใหม่ๆก็จะเกิดขึ้น
ศาสตร์เก่าๆที่ไม่สอดคล้องจะถูกความจริงล้างหายไป
ทุกคนจะรู้สิ่งเดียวกันว่าทุกอย่างเกิดไปจากใจ
มีใจเป็นประธาน ใจเป็นใหญ่ ใจเป็นหัวหน้า
การสังเกตใจ การดูจิตดูใจ การเท่าทันจิตปรุงแต่งทั้งหลาย
จะเป็นความเจริญทางวิทยาศาสตร์ที่แท้จริงของทุกชาติศาสนา

เพราะคนจะรู้ความจริงแล้วว่า
การอารมณ์เสียนิดเดียวแค่ขณะเดียว
จะส่งผลกระทบที่ใหญ่หลวงมากมายนัก
ส่งผลกระทั่งทำให้เกิดภัยพิบัติ
และทำให้วงโคจรของดาวเปลี่ยนได้อีกด้วย

ทั้งทำให้ตนต้องเป็นโรคร้ายต้องแก่เร็วต้องอายุสั้น
เป็นผลจากพลังเครียดแค่แป๊บเดียวนั่นแหละ
ที่สร้างมาแล้วบันทึกสะสมในใจตน
และสะสมในโลกนี้ไปตลอดกาล
เพราะใจเราเป็นส่วนหนึ่งของโลกและจักรวาลนี้ด้วย
ดังนั้นทุกสิ่งที่เราสร้างจึงไม่เคยหายไปไหน
แต่จะย้อนกลับมามีผลกระทบกับเราโดยตรงเสมอ

เจตนาทางใจที่เด็ดดอกไม้นั่นแหละ
สะเทือนการโคจรของดาวในจักรวาล
ดังการกระพือปีกของผี้เสื้อน้อยๆจำนวนนับไม่ถ้วน

สัมพันธภาพภาคเต็ม

ดาวนับล้านที่ลอยอยู่เต็มท้องฟ้า
จะมีไหมหนาที่ลอยอยู่เองเฉยๆ…

ความจริงคือไม่มีเลยแต่ดาวทุกดวงโคจรสัมพันธ์กัน
และมีผลกระทบต่อกันและกันทั้งหมด
การโคจรของใจทุกดวง ของสัตว์ทั้งหลาย
ก็เป็นเช่นนั้น คือโคจร สัมพันธ์กัน
มีผลกระทบกันและกันทั้งหมด

เจตนาดีๆในหนึ่งขณะจิตของคนใดคนหนึ่ง
จึงมีผลกระทบไปทั่วทั้งจักรวาล
และคลื่นพลังงานที่เกิดใจในทุกๆขณะนั้น
จะไม่มีวันสูญหายไปตลอดกาล
เพราะเป็นฟิสิกส์พื้นฐานเช่นกัน

--

--