Birth of the Seanema (2004, ศะศิธร อริยะวิชชา,ไทย) ความทรงจำที่สาบสูญ ,ความทรงจำที่ประดิษฐ์ขึ้นใหม่

Wiwat Lertwiwatwongsa
FILMSICK
Published in
2 min readJun 26, 2024
ภาพถ่ายจากจอภาพยนตร์โดย ธีระพัฒน์ งาทอง

บทความชิ้นนี้เปิดเผยรายละเอียดทั้งหมดของหนัง หากการตีความเป็นเพียงความคิดเห็นส่วนตัวของผู้เขียนเท่านั้น

ภาพเหล่านั้นไหลเลื่อนจากรอยปริแตกแห่งท้องทะเล นี้คือความทรงจำซึ่งสาบสูญไป หรือนี้คือความทรงจำซึ่งประดิษฐ์ขึ้นใหม่ พวกเขากล่าวต่อกัน กระซิบกระซาบเพื่อมิให้ทิวามองเห็นแลราตรีได้สดับตรับฟัง พวกเขาอันคือเด็กหญิงที่กลายเป็นว่าว และคนผู้ชายผู้สร้างน้ำตามาเกาะบนกระจก เด็กหญิงผู้ที่ต่อมากลายเป็นแมงปอ กลายเป็นความทรงจำอันสาบสูญไป กลายเป็น ความทรงจำอันประดิษฐ์ขึ้นมาใหม่ ในผู้ชายที่กลายเป็นนกเมือง เคลื่อนคล้อยคืนสู่ห้วงสมุทรอันเป็นอนันต์ ด้วยภาษาที่ราไม่อาจรู้จัก ภาพที่ไร้ซึ่งที่มา ชุดความทรงจำซึ่งยังคงดำรงอยู่โดยสลัวเลือน หากแจ่มชัดในความมีอยู่ แม้ภาพจะลาลับจากไปแล้ว

นี้คือสิ่งที่เราพอจะเล่าสู่ได้ จากชุดภาพที่เรืองแสงสีเทาอันแสนหม่นเศร้าราวกับมีหยดน้ำตารินร่วงจากจอภาพ หรือจากดวงตาเรา ภาพไร้ที่มาที่ไปไม่มีเรื่องจะเล่าขาน เป็นเพียงภาพที่บังเกิดขึ้นดำรงคงอยู่แล้วลาลับ ภาพซึ่งบางที่อาจเล่าหรืออาจไม่ได้เล่า การกำเนิดเกิดขึ้นของภาพยนตร์หรือของท้องทะเลหรือภาพยนตร์ที่ผุดบังเกิดจากพรายฟองคลื่น เพื่อจะดับสูญลงไปอย่างรวดเร็วจนไม่อาจคว้าจับมาครอบครองได้ เว้นแต่ในความทรงจำแหว่งวิ่นของเรา

เราอาจอธิบายถึงภาพยนตร์เรื่องนี้ได้ด้วยวิธีการอันสามัญว่านี่คือ ภาพยนตร์ของ ศะศิธร อริยวิชชา ภาพยนตร์ที่ เป็นชุดภาพบุมเบลอสีขาวดำ ปรากฏขึ้นโดยไร้เสียง และไร้ความต่อเนื่องเพื่อรองรับเรื่องเล่า ภาพอันมีอักขระชนิดใหม่ขึ้นมาเล่าเรื่อง (ที่อาจไม่ได้มีเพื่อสอดรับและขับเคลื่อนเรื่องเล่า แต่อย่างใด) ผุดพรายคล้ายฟองคลื่น ก่อนจะจากไป ตลอดเจ็ดสิบนาทีของหนังจึงมีเพียงภาพที่เคลื่อนไหวด้วยจังหวะเชื่องช้า และหม่นหมองเท่านั้น ที่หลากไหลมาสู่เรา

โดยไม่ต้องสงสัย มันอาจคือชุดภาพชวนเบื่อหน่าย ที่อาจสร้างความมึนงงให้กับผู้ชมที่กระหายอยากเรื่องเล่าอันสอดรับกับชุดภาพที่เริ่มต้น สร้างปมและคลี่คลายอย่างสมบูรณ์ตามรูปแบบภาพยนตร์กระแสหลัก แต่หากเลยพ้นไปจากความต้องการเบื้องต้น (ที่ถูกผลิตสร้างโดยกระบวนการ ทำภาพยนตร์ให้แขนด้วนขาพิการเพื่อส่งไปเร่ขอทานตามสายพานการผลิต เพื่อตอบรับกับสังคมอุตสาหกรรมแห่งยุคสมัยของการผลิตซ้ำอันสมบูรณ์จากโรงงานศิลปะ (หากจะเรียกมันอย่างโอ่อ่า) ) เราอาจค้นพบว่าภาพยนตร์นั้นมีศักยภาพทั้งกว้างกว่านั้นและลึกกว่านั้น สวยงามกว่านั้น และสดฉ่ำกว่านั้น และ BIRTH OF SENEMA คือคำตอบอันทิ่มแทงดวงตาอันเคยชินเพราะนี่คือภาพยนตร์ที่ถูกสร้างขึ้นโดยละทิ้ง (หลงลืม หรือไม่เห็นความสำคัญ) ของกระบวนการพัฒนาภาพยนตร์เชิงเรื่องเล่า หากใส่ใจ และลึกซึ้งกับสัญญาณทางอารมณ์ที่ผุดบังเกิดขึ้นจาก — การจ้องมอง — การจ้องมองอันคือพื้นฐานแห่งการบันทึกภาพที่ผ่านพ้นไปแล้ว ภายใต้สื่อซึ่งทรงพลังทางศิลปะ ไม่แพ้สื่อใดในโลกศิลปะอันไพศาลนี้ ภาพเคลื่อนไหว ที่ยังมีแขนขาและหัวใจซึ่งมีชื่อว่า ภาพยนตร์

BIRTH OF SEA

เราอาจแบ่งหนังเรื่องนี้ออกเป็นสองส่วน โดยไม่ได้แบ่งตามระยะเวลา หรือแบ่งตามบทแบ่งไม่ได้กระทั่งจากภาพและเรื่องเล่า หากเราอาจแบ่ง(อย่างคลุมเครือ) จากสิ่งซึ่งกระทบเรา การร้อยเรียงความหมายเฉพาะจากภาพที่ผุดบังเกิดต่างหาก

ตอลดทั้งเรื่องภาพที่เรามักเห็นซ้ำไปซ้ำมา คือภาพของท้องฟ้าสีเทาเศร้าหม่น และหยดน้ำบนกำแพงกระจกอันกั้นเรากับเมืองที่กว้างใหญ่ไพศาล เด็กหญิงที่ปรากฏเป็นว่าวบนท้องฟ้าและชายหนุ่มผู้ปรากฏหลังกระจกจ้องมองหยดน้ำเชื่องช้า เหล่านี้คือธาตุเบื้อต้นของสรรพสิ่งอันมีสีเดียวกับท้องฟ้าและคือมหาศาลแห่งหยดน้ำ สิ่งซึ่งคือท้องทะเล

มันจึงไม่ใช่เรื่องเกินเลยเมื่อภาพแรกที่เราเห็นคือท้องทะเลไร้เสียงที่มีเพียงภาพเกลียวคลื่นลูกแล้วลูกเล่าโถมเชื่องช้าแล้วล่าถอยกลับไป อักขระมอบกุญแจแก่เราด้วยการเล่าว่าภาพนั้นไหลเลื่อนออกจากรอยปริแตกแห่งทะเล ภาพเงียบเชียบที่ปรากฏธาตุพื้นฐานซึ่งประกอบกันกลายเป็นทะเล ในฉากสำคัญที่เราถูกปล่อยให้จ้องมองท้องทะเลยาวนาน จนภาพเมืองมาปรากฏซ้อน หลังจากนั้น ทะเล ไหลสวนทวนกลับ ลมพัดย้อนเส้นทาง และสองภาพสุดท้าย คือภาพของท้องฟ้า ที่ครืนครั่นด้วยแสงฟ้าแลบ และภาพหยดน้ำอันเการะจก ราวกับมันผุดบังเกิดแล้วคายคืนกลับไปสู่ธาตุดั้งเดิมอีกครั้ง

BIRTH OF CINEMA

ในอีกทางหนึ่ง เราอาจกล่าวได้ว่านี่คือหนังที่พูดถึงการก่อกำเนิดของภาพยนตร์ โดยมีธาตุเบื้องต้นเพียงธาตุเดียว นั้นคือ -ภาพ- ภาพจากหลากหลายสถานที่ หลายหลายสาระเนื้อหา หากทั้งหมดถูกร้อยเชื่อมกันอย่างคลุมเครือ โดยมีเส้นด้ายบางๆเป็นเรื่องเล่าจากตัวอักขระไม่รู้จัก ภาพในหนัง เริ่มจากภาพของท้องทะเล และภาพเมือง ภาพของว่าวที่เล่นลมบนท้องฟ้ากว้าง ชายผู้เหม่อมองผ่านหยดน้ำจากยอดตึก ภาพของเมืองที่หมุนเคลื่อนผ่านจอ ภาพซ้อนทับของเมืองจากระยะไกล ภาพเคลื่อนไหวเดี่ยวๆ ปรากฏสลับกับเรื่องเล่าที่ไม่คืบหน้าไปไหน ด้วยจังหวะ ในภาพที่เชื่องช้า แล้วเลือนดับลับไปก่อนจะมีภาพใหม่ค่อยๆแจ่มชัดขึ้นแทนที่ ในทางนี้การปรากฏและจบสิ้นของภาพไม่ต่างอะไรจากจังหวะของเกลียวคลื่นม้วนตัวซบหาดทรายอันเชื่องช้าดังที่ปรากฏมาแต่แรก

หากเราแยกส่วนของภาพจากเรื่องเล่า เราจะเห็นธาตุของเรื่องเล่าอันประกอบด้วยเด็กหญิงซึ่งต่อมากลายเป็นว่าว และกลายเป็นแมงปอ ชายหนุ่มที่มีน้ำตาและกลายเป็นนกเมือง ก่อนที่เด็กหญิงจะกลายเป็น -ความทรงจำ-ของนกเมือง ความทรงจำอันมีเพียงสองประเภท นั่นคือ — ความทรงจำที่สาบสูญไปแล้ว และความทรงจำที่ประดิษฐ์ขึ้นใหม่ — และรูปแบบของความทรงจำเช่นนี้เอง ก่อกำเนิดประดิษฐกรรมที่เรียกว่าภาพยนตร์

จากนั้น อีกครั้ง ธาตุทั้งหมดก็ไหลเลื่อนมารวมกันในฉากสำคัญที่ยาวนาน และเงียบเชียบ จนผู้เขียนไม่แน่ใจตัวเองหูแว่วไปเองหรือไม่เมื่อได้ยินเสียงขึ้นมาเอง นั่นคือฉาก ที่เราค่อยๆมองดูท้องทะเล และภาพของเมืองอันมัวซัวซ้อนทับขึ้นบนสันคลื่น ตรงนี้เอง ธาตุทั้งหมดรวมกัน ภาพยนตร์ถือกำเนิดขึ้น!

หากภาพยนตร์ตายลงอย่างรวดเร็วไม่แตกต่างจากการดำรงคงอยู่ของมัน เพราะในฉากต่อมา ภาพที่ปรากฏคือซากแมงปอที่ตายอยู่บนชายหาด หากแมงปอคือความทรงจำ (ที่ทั้งสาบสูญ และ ถูกประดิษฐ์ขึ้นใหม่ ) มันก็ได้จบลงในฉากที่ภาพทั้งหมดไหลมารวมกัน

หลังจากฉากนั้น ภาพทั้งหมดไหลย้อนกลับ เกลียวคลื่นไหลย้อนกลับ ใบไม้ลอยขึ้นสู่ท้องฟ้า ราวกับว่าในทันที่ธาตุทั้งหมดรวมตัวกัน มันก็จะตายลงและกลับคือสู่ธาตุดั้งเดิม ภาพยนตร์เป็นเพียงปรากฏการณ์ที่ปรากฏเพียงชั่วครู่ จากนั้นลาลับกลับคืนสู่ธาตุเดิมในบัดดล และภาพสุดท้ายธาตุของท้องทะเลและธาตุของภาพยนตร์ต่างสำแดงตนเงียบเชียบ อยู่จอสีเทาที่เรืองแสง

และเรา ผู้กระหายอยากในภาพ ได้รับการตอบสนองคืนอย่างแช่มช้อย รุ่มรวยและอิ่มเอิบ ผ่านทางภาพยนตร์อันพิเศษพิสุทธิ์เรื่องนี้ ภาพยนตร์ที่ยืนอยู่ตรงชายขอบของความจริงกับความฝัน ภาพเคลื่อนไหวกับภาพนิ่ง การตื่นรู้และการหลับไหล การฝันกลางวันและการนอนไม่หลับ สิ่งที่สาบสูญและสิ่งซึ่งเพิ่งเกิดใหม่

และเป็นเรื่องน่าเศร้าที่คนทำภาพยนตร์เรื่องนี้ไม่ได้ทำหนังอีกเลยนับจากหนังเรื่องนี้จบลง ด้วยข้อจำกัดของความอัตคัตทางศิลปะทำให้หนังเรื่องนี้ไม่ได้ฉายบ่อยครั้งนัก แต่ละครั้งมีคนดูจำนวนไม่มากนัก และไม่ได้ถูกพูดถึง ถกเถียง หรือขยายความน่าสนใจนั้นออกไปตามศักยภาพทางศิลปะที่หนังมี แต่นี่คือหนังที่ผู้เขียนรู้สึกอิ่มเอิบใจที่สุดเรื่องหนึ่ง เท่าที่ได้ดูมา การไปเสียจากชะตากรรมภาคบังคับของภาพยนตร์ในหนังเรื่องนี้เป็นการเปิดพรมแดนจินตนาการและปล่อยให้ภาพยนตร์แสดงศักยภาพอันพึงมีออกมาอย่างเต็มที่ โดยไม่พักครุ่นคำนึงถึงผู้ชม (เพราะใช่หรือไม่ที่การที่ผู้สร้างครุ่นคำนึงถึงผู้เสพ ตลอดการสร้างกับเป็นการหมิ่นแคลน สติปัญญาของผู้ชม ด้วยความรู้สึกในทำนองที่ว่า ฉันไม่ทำเช่นนั้นเพราะเธอจะไม่มีวันเข้าใจ) การสร้างงานอย่างซื่อสัตย์ และน้อมรับการตัดสินจากผู้ชมน่าจะเป็นสิ่งซึ่งผู้สร้าง ควรตระหนักที่สุดมิใช่หรือ

ภาพยนตร์เกิดขึ้นและจบลงแล้ว ตอนนี้ที่ติดค้าง คือความทรงจำ ซึ่งบางที่อาจสาบสูญไปก่อนหน้า หรือเพิ่งถูกประดิษฐ์ขึ้นใหม่ เมื่อครู่นี้เอง

--

--