อนาคตของเงิน (บาท) ท่ามกลางการอุบัติของเงินดิจิทัลเอกชน (จบ)
สำหรับบทความตอนสุดท้ายในซีรี่ส์ ผมขอนำเสนอแนวทางที่ผู้ออกนโยบายอาจพิจารณาใช้ในการกำหนดอนาคตของเงินสำหรับสังคมเราต่อไปครับ
ในตอนที่แล้ว ผมทิ้งท้ายไว้ว่า เงินของรัฐ เช่น เงินบาท และเงินดิจิทัลเอกชนน่าจะมีบทบาทร่วมกันในการเสริมสร้างระบบเศรษฐกิจและสังคมของประเทศได้ ด้วยการเติมเต็มข้อเสีย ช่องว่าง และแก้ไขปัญหาของกันและกัน
ดังนั้น เรามาลองฟังคำวิจารณ์เกี่ยวกับเงินของรัฐ ตามที่ผู้สนับสนุนเงินดิจิทัลเอกชนมักกล่าวอ้าง อาจสรุปได้เป็น 3 ข้อดังนี้ครับ
1. เงินของรัฐมักโดนใช้เป็นเครื่องมือทางการเมือง เช่น รัฐบาลสามารถควบคุมนโยบายทางการเงินผ่านเครื่องมือ เช่น การเพิ่มหรือลดดอกเบี้ยนโยบาย เพื่อกำหนดให้สภาวะเศรษฐกิจก่อนหรือหลังการเลือกตั้งเป็นไปในทิศทางที่ตนได้เปรียบเหนือคู่แข่งทางการเมือง
2. เงินของรัฐมักมีการบริหารจัดการที่เอื้อประโยชน์ให้นายทุนและกลุ่มชนชั้นสูง ไม่ให้ความเป็นธรรมแก่ประชาชนทั่วไปโดยเฉพาะคนยากจน เช่น ในช่วงวิกฤติ รัฐมักใช้เงินเป็นจำนวนมากในการเข้าอุ้มสถาบันการเงินและบริษัทขนาดใหญ่ แต่มักไม่ให้ความช่วยเหลือทางการเงินอย่างทั่วถึงและเพียงพอแก่ประชาชนที่ไม่ได้มีความเกี่ยวข้องกับกลุ่มทุนขนาดใหญ่เหล่านั้น
3. เงินของรัฐไร้ประสิทธิภาพ มีต้นทุนสูง ทั้งในกระบวนการผลิตและการทำลาย การบริหารจัดการ นอกจากนั้น ยังมีความเสี่ยงในการโดนปลอมแปลง หรือการโจรกรรมทางไซเบอร์เนื่องจากระบบรักษาความปลอดภัยไม่ดีเพียงพอเมื่อเทียบกับระบบเก็บรักษาข้อมูลแบบเครือข่ายบล็อกเชน
เมื่อเปรียบเทียบกับระบบเงินดิจิทัลเอกชน ซึ่งผู้ที่สนับสนุนการใช้เงินประเภทดังกล่าว มักชูประโยชน์เหนือเงินที่บริหารจัดการโดยรัฐ ดังนี้
1. เงินดิจิทัลเอกชนไม่ถูกแทรกแซงทางการเมือง เพราะเป็นเงินที่ ตลอดทั้งสายตั้งแต่ต้นน้ำยันปลายน้ำ ได้รับการบริหารจัดการด้วยโปรแกรมคอมพิวเตอร์ที่มีการกำหนดไว้ล่วงหน้า ดังนั้นจึงไม่สามารถใช้เป็นเครื่องมือเพื่อหวังผลประโยชน์ทางการเมืองได้
2. เงินดิจิทัลเอกชนมีความโปร่งใส่และปกป้องข้อมูลส่วนบุคคลของผู้ใช้งาน เพราะมีการเปิดเผยรายละเอียดของธุรกรรมที่ทำผ่านเครือข่ายให้ผู้ใช้บริการและบุคคลอื่นสามารถตรวจสอบได้ แต่ไม่สามารถแก้ไข เติมแต่ง หรือเพิ่มเติมได้ หากมีการป้อนข้อมูลเข้าเป็นส่วนหนึ่งของระบบบัญชีเก็บข้อมูลแล้ว นอกจากนั้น จะเปิดเผยเฉพาะข้อมูลสำคัญที่ใช้สำหรับการพัฒนาต่อยอดในส่วนของบล็อกเชนเท่านั้น โดยไม่เปิดเผยข้อมูลส่วนบุคคล
3. เงินดิจิทัลเอกชนมีต้นทุนในการผลิตและดูแลรักษาต่ำกว่าเงินของรัฐ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง มีต้นทุนในการทำธุรกรรมต่ำส่งผลให้เกิดประโยชน์สูงสุดต่อผู้ใช้บริการ
ด้วยเหตุนี้ หากเราสามารถคัดเลือกสินทรัพย์ดิจิทัลที่มีคุณสมบัติเหล่านี้ครบถ้วน ก็อาจสมควรกลับมาพิจารณาถึงนโยบายการอนุญาตให้มีเงินดิจิทัลเอกชนที่เข้ามามีบทบาทในการบริการประชาชน เพื่อเสริมในส่วนที่เงินของรัฐอาจจะทำได้อย่างไม่มีประสิทธิภาพ โดยอาจจะเริ่มจากการทดลองให้เงินดิจิทัลเอกชนเป็นสื่อกลางในการชำระราคาเพื่อซื้อสินค้าหรือบริการในระบบเศรษฐกิจดิจิทัลโดยแท้ (natively digital economy) ซึ่งหน่วยงานของรัฐที่เกี่ยวข้องอาจให้การรับรองหรือให้ข้อมูลเกี่ยวกับเงินดิจิทัลที่ได้มาตรฐานและมีความปลอดภัย และไม่ส่งผลกระทบอย่างมีนัยสำคัญกับระบบเศรษฐกิจโดยรวมของประเทศในกรณีที่เกิดวิกฤติหรือมีปัญหารุนแรงเกิดขึ้น นอกจากนั้น ยังอาจพิจารณาแนวทางการกำกับดูแลเงินดิจิทัลเอกชนดังนี้
เรื่องเงิน ๆ ทอง ๆ เป็นเรื่องละเอียดอ่อนและซับซ้อนครับ หวังว่าบทความในซีรี่ส์นี้ทั้ง 4 ตอนจะเป็นส่วนช่วยจุดประกายให้เกิดการพูดคุยกันในเรื่องนี้มากขึ้น แน่นอน ประเด็นการอุบัติของเงินดิจิทัลเอกชนเป็นเรื่องที่หน่วยงานของรัฐที่เกี่ยวข้อง โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ธนาคารแห่งประเทศไทย ต้องคิดพิจารณาอย่างจริงจัง ควบคู่ไปกับการทดลองและพัฒนาเงินดิจิทัลที่สร้างขึ้นเองโดยรัฐ เช่น CBDC
เจอกันใหม่กับสาระหน้ารู้และประเด็นกฎหมายที่เกี่ยวข้องกับโลกฟินเทค สินทรัพย์ดิจิทัล และการเงินในตอนหน้า เร็ว ๆ นี้ครับ
ติดตามต่อได้ที่เฟสบุคเพจ Narun on Fintech Law