ฝึกงาน Frontend Developer 6 เดือนที่ FOXBITH กับประสบการณ์ที่ไม่ใช่เเค่ Little Bit

ioun om
FOXBITH
Published in
4 min readDec 20, 2021

--

สวัสดีครับ เเนะนำตัวกันสักนิดนะ ผมชื่อ โอม เรียนอยู่ปี 4 คณะสถาปัตยกรรมศาสตร์ สาขาเทคโนโลยีมีเดียดิจิทัล มหาวิทยาลัยพระจอมเกล้าฯ ธนบุรีครับ สาขาที่ผมเรียนนั้นมีการเรียนการสอนที่หลากหลาย เช่น การทำอุปกรณ์ IOT ด้วย Arduino เเละ Raspberry Pi, การสร้างงาน Animation, สร้างเกมด้วย Unity เป็นต้น ในช่วงเเรกนั้นผมให้ความสนใจเกี่ยวกับ IOT มากกว่าสิ่งอื่น ผมจึงเข้าร่วมกิจกรรมเเละโปรเจคต่างQ ที่เกี่ยวข้อง จนกระทั่งปี 3 ซึ่งใกล้ถึงช่วงฝึกงานซึ่งผมยังไม่ได้ตัดสินใจว่าอยากฝึกงานในสายไหน ผมก็ได้มาเรียนเขียนเว็ปไซต์ ซึ่งจากการเรียนในรายวิชานี้ทำให้ผมมี Passion กับการเรียนมาก รวมถึงการทำโปรเจคเว็ปไซต์ที่ทำเเล้วรู้สึกสนุกกับการเขียนโค้ด จึงจุดประกายให้ผมอยากเรียนรู้การทำเว็ปไซต์มากขึ้น ผมจึงได้ศึกษาเกี่ยวกับวิธีการทำเว็ปไซต์เพิ่มเติมนอกเหนือจากการเรียนในห้องเรียนเเละเกิดความสนุกที่ได้เรียนรู้สิ่งใหม่ๆ จึงเป็นที่มาของการเริ่มหาที่ฝึกงานในสาย Front End Developer ครับ

จุดเริ่มต้นเรื่องราว

เริ่มเเรกนั้นผมก็หาจากเว็ปไซต์หาเด็กฝึกงานต่างๆ เช่น เด็กฝึกงาน.com เเละ JobThai.com เป็นต้น ในช่วงเเรกนั้นผมหาที่ฝึกงานนานมากเเต่ก็ไม่เจอที่ผมถูกใจสักที จนเวลาล่วงเลยมาเป็นเดือนก็ยังไม่มีบริษัทไหนที่เล็งไว้เเบบเจาะจงสักบริษัท จนในที่สุดก็ได้มาพบกับบทความหนึ่งที่เขียนรีวิวเกี่ยวกับการทำงานที่บริษัทหนึ่งที่ชื่อว่า FOXBITH (จากคนไม่เคยเขียน Code สู่การเป็น Frontend Developer Internship ครั้งแรกในชีวิต) จากการอ่านบทความข้างต้นเเละการหาข้อมูลจากเฟซบุ๊กเเละเว็ปไซต์ ทำให้ผมสนใจที่อยากสมัครเข้าฝึกงาน เนื่องจากเป็นบริษัท startup ที่ไม่ใหญ่มาก รวมถึงผมเล็งที่ฝึกงานบริษัทเล็กๆ อยู่เเล้ว เพราะผมคิดว่าการเข้าไปฝึกงานบริษัทเล็กๆ เราจะได้เห็นภาพรวมภายในองกรค์ทั้งหมดเเละสามารถเข้าถึงได้ง่ายกว่าองค์กรใหญ่ๆ (ความชอบส่วนตัว) จึงตัดสินใจติดต่อยื่น resume เเละ portfolio เข้ามาสมัครฝึกงาน นี้จึงเป็นจุดเริ่มของเรื่องราวทั้งหมดครับ

ประสบการณ์สัมภาษณ์

หลังจากยื่น Resume เเละ Portfolio ผมก็รอการตอบกลับอย่างใจจดใจจ่อเลยครับ เนื่องจากผมไม่เคยมีประสบการณ์ยื่นฝึกงานที่ไหนมาก่อนเลย ทำให้ผมตื่นเต้นมากเเละก็กังวลมากว่าจะติดสัมภาษณ์หรือไม่ เพราะผลงานส่วนมากที่ผมสะสมมาไม่ได้ตรงกับสายงานนี้ มีเพียงเเค่โปรเจคเว็ปที่ทำตอนเรียนในรายวิชาเเละโปรเจคที่ผมทำขึ้นมาเพิ่มเติมเพื่อยื่น Portfolio เท่านั้น หลังจากนั้นประมาณเกือบ 1 อาทิตย์ก็มีสายติดต่อเข้ามาสัมภาษณ์จากทาง FOXBITH ทำให้ผมโล่งใจมากที่อย่างน้อยทางบริษัทก็สนใจเเละติดต่อกลับมา ช่วงนั้นเป็นช่วงที่โควิด-19 ระบาดหนักเลยทำให้การสัมภาษณ์เป็นเเบบออนไลน์ เนื่องจากผมเคยเรียนพื้นฐานการเขียน Html, Css, Javascript มาจากการเรียนบ้างเเล้ว ผมเลยเริ่มศึกษาการใช้งาน React เบื้องต้น เพราะที่บริษัทนี้ใช้ React ที่เป็น JavaScript Library ในการเขียนโค้ดเป็นหลักครับ เพื่ออย่างน้อยถ้ามีคำถามเชิงลึกอะไรที่เกี่ยวข้องจะได้ตอบได้บ้าง

ณ วันสัมภาษณ์
การสัมภาษณ์ผ่านไปด้วยดีครับ โดยหลักๆ เลยคือถามถึงทัศนคติ ประสบการณ์ต่างๆ ในการทำงานเเละความรู้ความเข้าใจในสายงานนี้ครับ การสัมภาษณ์กับพี่ๆ เป็นกันเองมาก ทำให้ผมรู้สึกประทับใจเเละไม่กดดันในการสัมภาษณ์ ถึงผมจะพูดตะกุกตะกักเเละติดๆ ขัดๆ ไปบ้างเเต่โดยรวมเเล้วก็ออกมาโอเคครับ หลังจากสัมภาษณ์จบก็รอผลการสัมภาษณ์ครับ ซึ่งที่นี้ไวกว่าที่อื่นที่ผมยื่นฝึกงานไปมากครับ เพราะรู้ผลภายในวันที่สัมภาษณ์นั้นเลย

อีกสิ่งหนึ่งที่ทำให้ผมประทับใจเเละอยากฝึกงานที่นี้มากยิ่งขึ้นคือ ในการสัมภาษณ์นั้นไม่มีถามเรื่องเกรดเเละผลการเรียนเลยครับ สิ่งที่หยิบยกมาถามในการสัมภาษณ์มีเพียงเเค่ผลงานที่เคยทำ ประสบการณ์การทำงาน เเละทัศนคติในสายงานนี้เท่านั้น อาจเป็นเพราะว่าทางบริษัทไม่ได้สนใจเรื่องสถาบันเเละผลการเรียน เเต่ให้ความสำคัญกับการเรียนรู้ ความรู้ความสามารถ การปรับตัว เเละทัศนคติของบุคคลนั้นมากกว่า ซึ่งผมมองว่ามันเป็นทัศนคติที่ดีมาก เพราะผมเชื่อว่าการมองคนไม่ได้มองเพียงเเค่ว่าเขาจบมาจากที่ไหนเเละมีเกรดเท่าไร เเต่อยู่ที่ว่าคนๆ นั้นเขาให้ความสำคัญกับการเรียนรู้และพัฒนาตนเองมากกว่า

เริ่มชีวิตการฝึกงาน

วันแรกที่เข้าไปบริษัทจะมีการ Orientation ซึ่งจะพูดถึงวิสัยทัศน์ของบริษัท โครงสร้างการทำงาน การอธิบายส่วนงานที่ต้องทำ รวมไปถึงการเติบโตในสายงานนี้ ต่อมาก็ได้ทำความรู้จักกับเพื่อนๆ ที่ฝึกงานด้วยกัน รวมถึงพี่ๆ ในบริษัททั้งหมดเเละเริ่ม Set up ระบบ หลังจากที่ติดตั้งโปรเเกรมทั้งหลายเเหล่หมดเเล้ว พี่ก็โยน Test มาให้เพื่อทดสอบความเข้าใจเกี่ยวกับการเขียนโค้ด โดย test ที่ผมต้องทำเป็นหน้าเว็ปไซต์สร้างเเบบทดสอบ ( เเบบทดสอบสร้างเเบบทดสอบ… ) คล้ายๆ กับ Google Form โดยต้องใช้ React ร่วมกับ Material-UI ซึ่งเป็น Library สำหรับ React component ในการเขียนโค้ด ในการ Test ครั้งนี้ พี่ให้อิสระในเรื่องของเวลาในการทำ Test เเต่ผมต้องกำหนดเวลาว่าจะทำเสร็จภายในกี่วันเเละต้องทำให้ได้ตามที่ได้บอกไว้ โดยผมตั้งกำหนดเสร็จงานไว้ที่ 5 วัน หลังจากพี่ส่ง Design หน้าเว็ปที่ต้องทำเเละอธิบายว่าหน้าเว็ปนั้นสามารถทำอะไรได้บ้างเเล้ว พี่ก็ให้ผมเริ่มทำในทันที ต้องบอกเลยว่า… ผมใช้เวลาทั้งหมดที่ผมกำหนดไว้ไปกับการทำ Test หมดเลยครับ เนื่องจากเป็นการทำโปรเจค React จริงๆ จังๆ ครั้งเเรก บวกกับความยากของ Logic ที่ใช้ในการเขียนโค้ดในครั้งนี้เเละผมพึ่งเคยรู้จักกับ React ได้ไม่นาน ส่วน Material-UI นี่พึ่งเคยได้ยินในวันนั้นเลยครับ ทำให้ผมทำ Test ออกมาได้ช้ามากๆ รวมถึงโค้ดที่เขียนไปนั้นเละมาก ถึงขนาดที่ว่าผมกลับมาดูย้อนหลังยังงงตัวเองเลยว่าผมเขียนอะไรไป เเต่สุดท้ายนั้นผมก็สามารถทำเเบบทดสอบได้ทันตามเวลาที่ผมกำหนดไว้ครับ เมื่อทำเเบบทดสอบเสร็จเเล้ว ผมก็ Push โปรเจคขึ้น Github (ที่บริษัทใช้ Sourcetree เป็น GUI ในการรัน Git) เเละส่งลิ้งให้พี่ๆ ก็เข้ามาตรวจเเบบทดสอบโดยดู Logic ที่ใช้ว่าโอเคไหม โค้ด clean หรือไม่ ผลลัพท์ออกมาได้ตามที่ Requirement ไว้หรือเปล่า หลังจากนั้นก็ถึงเวลาคอมเม้นว่าเราขาดตกบกพร่องตรงไหนบ้าง โค้ดส่วนไหนที่ควรตัดทิ้ง ส่วนไหนที่ควรเเก้ไข หรือว่าส่วนไหนที่สามารถทำให้ดีกว่านี้ได้ รวมถึงอธิบายหลักการทำงานว่า React ทำงานยังไง เเล้วมีฟังก์ชันอะไรให้เราใช้ได้บ้าง รวมถึงเเนะนำให้ไปหาความรู้เพิ่มเติมเพื่อที่จะได้พัฒนาฝีมือตนเองมากยิ่งขึ้น เมื่อพี่ๆ คอมเม้นเเละให้คำเเนะนำหมดเเล้วก็ปล่อยให้ผมนั่งศึกษาการใช้งาน React ร่วมกับ Material-UI เพิ่มเติม Clone โปรเจคของบริษัทเเละเริ่มให้ผมทำงานโปรเจคของบริษัทในวันต่อมา

ประเดิมโปรเจคเเรก
โปรเจคที่ทำต่อจากการทำเเบบทดสอบเป็นโปรเจคของบริษัท โดยผมรับหน้าที่ทำหน้าเว็ปจัดการ User รวมถึงการเเก้ไข UI ภายในโปรเจค ตามที่ฝ่าย UX/UI ออกเเบบมา โดยผมทำโปรเจคนี้เป็นทีมร่วมกับเพื่อนฝึกงานเเละพี่อีกคนในโปรเจคนี้ครับ โดยเราจะรับผิดชอบงานคนละส่วนกัน ซึ่งสิ่งที่ขาดไม่ได้เลยคือการพูดคุยอัพเดทงานที่ทำตลอดเวลาว่าเราทำถึงไหนเเล้ว ทำเสร็จไปกี่เปอร์เซ็นเเล้ว มีความคืบหน้าอะไรบ้าง รวมถึงการอัพเดทงานกับฝ่าย UX/UI ว่ามีการปรับเเก้อะไรบ้าง ต้องทำอะไรเพิ่มหรือลดอะไรบ้าง ทำให้ต้องมีระบบจัดการที่ไว้สำหรับสอบถามเเละดูความคืบหน้าของทุกคนได้ครับ เเละ Software ที่ทางบริษัทใช้คือ Jira กับ Slack ครับ

เข้าสู่โปรเจคใหม่
หลังจากทำโปรเจคเเรกมาเป็นระยะเวลา 1 เดือน พี่ๆ ก็ให้น้องๆ ฝึกงานย้ายเข้ามาสู่โปรเจคใหม่ โดยโปรเจคนี้เป็นโปรเจคหลักที่ทางบริษัทกำลังทำอยู่โดยเป็นเว็ปไซต์จัดการงานบริการภายในองค์กร ในโปรเจคนี้ทีมใหญ่กว่าโปรเจคเเรก ซึ่งโปรเจคนี้มี Logic ในการ Coding มากกว่าโปรเจคเเรกหลายเท่าเนื่องจากในโปรเจคเเรกนั้นจะเน้นไปที่ UI เเละความสวยงามเป็นหลัก กลับกันโปรเจคนี้มี Logic เป็นหลัก มีการรับส่งข้อมูลภายในเว็ปไซต์จำนวนมาก การทำงานในเเต่ละครั้ง เมื่องานเสร็จเเล้วก็ต้อง Merge งานขึ้น Dev เพื่อให้ฝ่าย QA เช็คความเรียบร้อยของงานเเละ Deploy ขึ้น Staging เเละ Production ทำให้ต้องคอยตรวจเช็คความถูกต้องของโค้ดตนเองตลอดเพื่อไม่ให้เกิด Bug ขึ้นเป็นโปรเจคที่ยากมากขึ้นกว่าที่ผมเคยทำมาในโปรเจคเเรก มีหลายสิ่งที่ต้องเรียนรู้เพิ่มมากขึ้น

การใช้ชีวิตในที่ทำงาน

จุดเริ่มเเละจุดจบ
Time To Work
เวลาเริ่มงานของที่นี้คือ 9.30 น. เป็นเวลาเริ่มงานที่โอเคมากสำหรับผม ยิ่งบ้านผมอยู่ไกลจากที่ทำงานด้วยเเล้ว เวลานี้ถือว่าเหมาะมากครับ

Finish Work 18.30 น. เป็นเวลาเสร็จงานในเเต่ละวัน เเต่บางทีก็ทำงานเลยเวลามากกว่านี้นะ (สนุกกับการเขียนโค้ดจนเลยเวลา ไม่ก็งานเสร็จไม่ทันส่งให้ลูกค้า)

ช่วงเวลาหลังเลิกงาน คนหายเกลี้ยงหมดเเว้ว!!
ช่วงเวลาหลังเลิกงาน คนหายเกลี้ยงหมดเเว้ว!!

ช่วงเวลาเเห่งการประชุม
Stand Up!
เวลาช่วงเช้าประมาณ 9.45 น. เเห่งการประชุมอัพเดทความคืบหน้ารายวันว่าวันที่เเล้วใครทำอะไรไปบ้าง เเล้ววันนี้เราจะทำอะไร เเละมีปัญหาอะไรบ้าง เพื่อให้ทุกคนในทีมสามารถรู้ได้ว่าใครทำอะไรถึงไหนเเล้วบ้าง

Sprint Demo & Retrospective ทุกๆ 2 อาทิตย์จะมีการประชุมอัพเดทภาพรวมความคืบหน้าที่ทำมาทั้งหมดใน 1 Sprint โดยจะมีการนำเสนอสิ่งที่เเต่ละคนทำว่าใน Sprint นี้ทำอะไรบ้าง เกิดปัญหาอะไรขึ้นบ้าง เเละเราเเก้ไขปัญหานั้นอย่างไร รวมถึงการ Retrospective เพื่อให้ทีม Reflect ถึงการทำงานใน Sprint ที่ผ่านมาและช่วยกันคิดว่าสามารถปรับปรุงอะไรให้ดีขึ้น

อัพเดทความคืบหน้าในเเต่ละ Sprint…

Grooming ช่วงเวลาเเห่งการประชุมเเลกเปลี่ยนคำถามข้อสงสัย เพื่อลบช่องว่างความไม่เข้าใจงานในโปรเจคนั้น โดยจะมีการระบุรายละเอียดงานและประเมิณ User stories ที่ทีมมีความเข้าใจเป็นอย่างดี สำหรับ User stories ที่ทีมไม่มั่นใจจะมีการระบุช่องว่างความรู้ ซึ่งจำเป็นที่จะต้องได้รับคำถามและเติมเต็มช่องว่างนี้ก่อนที่จะมี Sprint planning

การตั้งเป้าหมาย
OKR
ทุกๆ 3 เดือนจะมีการตั้งเเละวัดผล OKR หรือ Objective and Key Results เพื่อตั้งเป้าหมายเเละวัดผลการพัฒนาตนเอง เพื่อเพิ่มศักยภาพด้านต่างๆ ของตนเองเเละบริษัทให้ดีมากยิ่งขึ้น (การเขียนรีวิวนี้ก็เป็นส่วนหนึ่งใน OKR นะ)

ช่วงเวลาเเห่งความสุข
Badminton!
ทุกอาทิตย์จะมี Event ไปตีเเบตกับพี่ๆ ช่วยคลายเครียดจากการทำงานเเถมสุขภาพดีด้วย เเทนที่จะนั่งทำงานอยู่เเต่ในออฟฟิตอย่างเดียว มาตีเเบตกับพี่ดีกว่าไอ้น้อง!!

มาที มาทั้งบริษัท ตีกันมันไปเลยจ้า

Friday Saying ทุกเย็นวันศุกร์ 2 อาทิตย์จะมีกิจกรรม Friday saying ที่จะเปิดโอกาสให้พี่ๆ น้องๆ ในบริษัทได้มีโอกาสมานำเสนออะไรก็ได้ ไม่ว่าจะเป็นความรู้ ปรัญชา ความชอบของตนเอง หนังสือที่เคยอ่านหรือคอนเท้นที่น่าสนใจ(ได้หมดทุกอย่าง) เป็นเหมือนเเชร์ความรู้หรือความชอบเเล้วเล่าเรื่องราวเหล่านั้นออกมาผ่านการนำเสนอ ได้เล่าเรื่องที่ตนเองอยากเล่าเเละเป็นเหมือนการฝึกทักษะการนำเสนอไปด้วย เป็นอีกหนึ่งสิ่งที่ผมชอบมากที่สุดในการทำงานที่นี้เลยครับ

นำเสนอไป + กินไก่เป็นข้าวเย็นจ้า

Free Meal ในทุกอาทิตย์ พี่ๆ Co-Founder ที่เเสนใจดี จะเลี้ยงมื้อกลางวันน้องๆ 1 มื้อ เรียกว่ากินไปยิ้มไปเลยครับ รวมถึงที่บริษัทก็มีการขนขนมมาให้ทานเล่นตลอดเวลาเเบบมาไม่ขาดสาย หิวๆ ก็เดินไปหยิบขนมมากิน จะกินไปทำงานไปก็ได้ครับ เเต่ดูเเลเรื่องสุขอนามัยด้วยนะ

พี่ๆ Co-founder เลี้ยง Haidilao น้องๆทั้งบ. กันไปเลย
พี่ๆ Co-founder เลี้ยง Haidilao น้องๆทั้งบ. จัดเต็ม!!

Free Learning พี่ๆ ที่บริษัทสนับสนุนให้น้องๆ มีความรู้ความสามารถ เเละเรียนรู้ตลอดเวลา ถ้าเราไปเรียนคอร์สออนไลน์หรือคอร์สอะไรที่เกี่ยวข้องกับสายงาน พี่ๆ มีงบให้เต็มจำนวนเหมือนเรียนฟรีเลยครับ (เเต่ต้องเรียนจริงๆ นะครับ)

สิ่งที่ได้รับจากที่ฝึกงาน

  • เรียนรู้ระบบการทำงานจริงๆ ผมได้มีโอกาสสัมผัสกับประสบการณ์การที่นี่ ที่เน้นการทำงานอย่างเป็นระบบ มีการอัพเดทความคืบหน้าตลอด เเละมีการวางแผนการทำงานในเเต่ละวันเพื่อให้งานออกมามีประสิทธิภาพสูงสุด โดยผมที่เข้ามาฝึกสาย Frontend Web ทำให้ผมเรียนรู้วิธีการทำงานของฝ่ายที่ผมฝึก
  • ก้าวข้ามขีดจำกัดของตัวเอง ก่อนที่ผมจะเข้ามาฝึกงานที่นี้ ผมยังทำได้เพียงเเค่การเขียน Html, Css, Javascript กับ Bootstrap เบื้องต้น เเต่เมื่อได้เข้ามาฝึกงานทำให้เราต้องพัฒนาตนเองมากขึ้น มีหลักการมากขึ้น ศึกษาหาความรู้อยู่ตลอดเวลา เพราะว่าการเรียนรู้ในสายงานนี้ถ้าหยุดเดินหน้าก็เท่ากับการถอยหลัง
  • การฝึกการทำงานร่วมกับผู้อื่น ก่อนฝึกงานผมเป็นคนชอบทำอะไรคนเดียว เนื่องจากผมสามารถตัดสินใจอะไรหรือเเก้ไขอะไรตามใจตนเองได้ เเต่เมื่อเข้ามาฝึกงานทำให้ผมรู้ว่ามันไม่ใช่ เมื่อเป็นองค์กรหรือบริษัท ก็ต้องมีพนักงาน เมื่อมีพนักงานก็ต้องต้องมีฝ่าย เมื่อมีฝ่ายก็ต้องมีทีม ทำให้เราไม่สามารถทำงานคนเดียวได้ เนื่องจากเราไม่ได้อยู่คนเดียวในบริษัท มีทั้งเพื่อนๆ พี่ๆ เเละอีกมากมาย การฝึกงานจึงเป็นการฝึกการทำงานร่วมกับผู้อื่นได้ดี ได้ติดต่อประสานงานกับฝ่ายต่างๆ ได้มีการพูดคุยเเลกเปลี่ยนข้อมูลภายในทีม รวมถึงการนำเสนอที่ต้องมีปฏิสัมพันธ์กับคนในบริษัท
  • มิตรภาพจากเพื่อนๆ เเละพี่ๆ ทุกคน เพื่อนๆ เเละพี่ๆ ที่บริษัทนี้ใจดีเเละน่ารักทุกคน จะคุยเรื่องงานหรือเรื่องอื่นๆ นอกเหนือจากนั้นก็ได้ ทำให้การพูดคุยกับพี่ๆ ที่บริษัทเป็นกันเองมาก เมื่อติดปัญหาโค้ด หาทางเเก้ไม่ได้ พี่ๆ ก็เข้ามาช่วยเสมอ การช่วยเหลือของพี่ๆ ไม่ได้เเค่ช่วยเเก้ไขโค้ดให้อย่างเดียวเท่านั้น เเต่พี่ๆ จะสอนให้เราเข้าใจว่าทำไมมันถึงใช้งานไม่ได้ บอกวิธีการเเก้ปัญหาเเละบอกจุดที่เราต้องปรับปรุง ทำให้ผมได้รับความรู้มากจากพี่ๆ เยอะมากครับ ซึ่งโดยทั้งหมดนี้ผมมองว่ามันเป็นสังคมภายในบริษัทที่ดีมากครับ เพราะผมเชื่อว่าการมีสังคมที่ดี ก็ทำให้มีเเต่จะรับสิ่งดีๆ เข้ามา ทั้งสำหรับคนในสังคมนั้นเเละตนเอง
  • การทำงานภายใต้แรงกดดัน การทำงานที่นี้ไม่ได้ซีเรียสมากครับ เเค่รับผิดชอบในงานของตนเองได้ก็โอเคเเล้ว ถ้างานที่เราทำออกมาไม่ได้เละจนขนาดที่ว่ารับไม่ได้เลยก็สามารถไปต่อได้ครับ มีพี่ๆ คอยช่วยให้คำเเนะนำอยู่ตลอดเวลาทำให้ช่วยลดความกดดันไปได้มากเลยครับ เเต่ก็มีความกดดันจากการทำงานให้เสร็จในเเต่ละ Sprint ด้วย การพัฒนาตนเองก็ช่วยให้เราสามารถปรับตัวให้เข้ากับที่ทำงานได้ครับ สิ่งใดที่เรายังทำได้ไม่ดีก็ต้องพัฒนาตามเขาให้ทันครับ เพราะว่าสายงานนี้ต้องพัฒนาหาความรู้อยู่ตลอดเวลา
  • การวางแผนการทำงานเเละจัดลำดับความสำคัญ การทำงานที่นี่ต้องมีการวางเเผนให้ดี เนื่องจากมีการเเบ่งงานที่ต้องทำในเเต่ละ Sprint เพราะงานก็มี Deadline ไม่ใช่จะทำชิวๆได้ตลอดไป การจัดลำดับความสำคัญของงานก็มีผลต่อการทำงานในเเต่ละวันครับ ทำงานที่สำคัญก่อน เมื่องานมีปัญหาหรือ Bug ก็จะสามารถเเก้ได้ทัน
  • การจัดสรรเวลา มุมมองชีวิตด้านเวลา “เวลาเป็นสิ่งสำคัญ” ในเวลางานเราควรทำอะไรบ้าง จะ Coding อยู่กับ Bug นี้นานเเค่ไหน เเล้วเวลาไหนที่เราควรเริ่มทำงานในส่วนถัดไปต่อ การจัดสรรเวลาเเละนำไปปฏิบัติใช้จริงจึงเป็นสิ่งสำคัญ คงไม่มีใครอยากทำงานล่วงเวลาจนเช้าหรือต้องมานั่งกังวลว่าโค้ดเราจะเสร็จทันเวลาก่อนส่งให้ลูกค้าหรือไม่ สิ่งเหล่านี้ที่เกิดขึ้นซ้ำๆ ในการฝึกงานเเต่ละวัน เป็นจุดเปลี่ยนในการเปลี่ยนมุมมองด้านเวลาของผมไปโดยสิ้นเชิง
ปั่นงานเสร็จหมดเเล้วนอนตายเลย…
ปั่นงานเสร็จหมดเเล้วนอนตายเลย…

บทส่งท้าย

การฝึกงานถือว่าเป็นการเปิดหูเปิดตาออกมาสู่โลกนอกรั้วมหาลัย ซึ่งเป็นโอกาสที่ดีที่จะได้ทดลองทำงานในสายที่คิดว่าใช่สำหรับเรา เราอาจค้นพบตนเองว่าชอบอะไรตอนฝึกงานจริงก็ได้ ซึ่งมันจะเป็นจุดที่ทำให้เรามั่นใจว่าสายงานนี้ใช่สำหรับเรา หรือเป็นจุดเริ่มต้นของการเดินทางไปยังสายงานใหม่ๆ นอกเหนือจากที่เราคิดไว้ก่อนมาฝึกงาน สำหรับน้องๆ ที่สนใจหาที่ฝึกงานด้านการพัฒนา Web App (UX/UI, Frontend, Backend), Mobile App, Data Analytics หรือ IoT ผมให้ที่นี่เป็นอีกหนึ่งตัวเลือกที่ดีมากๆ สำหรับน้องๆ ได้เข้ามาสัมผัสประสบการณ์ฝึกงานที่ได้ทั้งความรู้ ได้ทั้งมิตรภาพ เเละความอิ่มเเป้ เเล้วน้องๆ จะได้รู้ว่าทำงานอย่างมีความสุขนั้นมีจริง!!!

ทำงานเสร็จเเล้วก็พักผ่อนกันหน่อยครับ 5555
ทำงานเสร็จเเล้วก็เเบ่งเวลาสำหรับการพักผ่อนด้วยน้า

--

--