ฝึกงาน Frontend Developer 6 เดือนที่ FOXBITH กับประสบการณ์ที่ไม่ใช่เเค่ Little Bit
สวัสดีครับ เเนะนำตัวกันสักนิดนะ ผมชื่อ โอม เรียนอยู่ปี 4 คณะสถาปัตยกรรมศาสตร์ สาขาเทคโนโลยีมีเดียดิจิทัล มหาวิทยาลัยพระจอมเกล้าฯ ธนบุรีครับ สาขาที่ผมเรียนนั้นมีการเรียนการสอนที่หลากหลาย เช่น การทำอุปกรณ์ IOT ด้วย Arduino เเละ Raspberry Pi, การสร้างงาน Animation, สร้างเกมด้วย Unity เป็นต้น ในช่วงเเรกนั้นผมให้ความสนใจเกี่ยวกับ IOT มากกว่าสิ่งอื่น ผมจึงเข้าร่วมกิจกรรมเเละโปรเจคต่างQ ที่เกี่ยวข้อง จนกระทั่งปี 3 ซึ่งใกล้ถึงช่วงฝึกงานซึ่งผมยังไม่ได้ตัดสินใจว่าอยากฝึกงานในสายไหน ผมก็ได้มาเรียนเขียนเว็ปไซต์ ซึ่งจากการเรียนในรายวิชานี้ทำให้ผมมี Passion กับการเรียนมาก รวมถึงการทำโปรเจคเว็ปไซต์ที่ทำเเล้วรู้สึกสนุกกับการเขียนโค้ด จึงจุดประกายให้ผมอยากเรียนรู้การทำเว็ปไซต์มากขึ้น ผมจึงได้ศึกษาเกี่ยวกับวิธีการทำเว็ปไซต์เพิ่มเติมนอกเหนือจากการเรียนในห้องเรียนเเละเกิดความสนุกที่ได้เรียนรู้สิ่งใหม่ๆ จึงเป็นที่มาของการเริ่มหาที่ฝึกงานในสาย Front End Developer ครับ
จุดเริ่มต้นเรื่องราว
เริ่มเเรกนั้นผมก็หาจากเว็ปไซต์หาเด็กฝึกงานต่างๆ เช่น เด็กฝึกงาน.com เเละ JobThai.com เป็นต้น ในช่วงเเรกนั้นผมหาที่ฝึกงานนานมากเเต่ก็ไม่เจอที่ผมถูกใจสักที จนเวลาล่วงเลยมาเป็นเดือนก็ยังไม่มีบริษัทไหนที่เล็งไว้เเบบเจาะจงสักบริษัท จนในที่สุดก็ได้มาพบกับบทความหนึ่งที่เขียนรีวิวเกี่ยวกับการทำงานที่บริษัทหนึ่งที่ชื่อว่า FOXBITH (จากคนไม่เคยเขียน Code สู่การเป็น Frontend Developer Internship ครั้งแรกในชีวิต) จากการอ่านบทความข้างต้นเเละการหาข้อมูลจากเฟซบุ๊กเเละเว็ปไซต์ ทำให้ผมสนใจที่อยากสมัครเข้าฝึกงาน เนื่องจากเป็นบริษัท startup ที่ไม่ใหญ่มาก รวมถึงผมเล็งที่ฝึกงานบริษัทเล็กๆ อยู่เเล้ว เพราะผมคิดว่าการเข้าไปฝึกงานบริษัทเล็กๆ เราจะได้เห็นภาพรวมภายในองกรค์ทั้งหมดเเละสามารถเข้าถึงได้ง่ายกว่าองค์กรใหญ่ๆ (ความชอบส่วนตัว) จึงตัดสินใจติดต่อยื่น resume เเละ portfolio เข้ามาสมัครฝึกงาน นี้จึงเป็นจุดเริ่มของเรื่องราวทั้งหมดครับ
ประสบการณ์สัมภาษณ์
หลังจากยื่น Resume เเละ Portfolio ผมก็รอการตอบกลับอย่างใจจดใจจ่อเลยครับ เนื่องจากผมไม่เคยมีประสบการณ์ยื่นฝึกงานที่ไหนมาก่อนเลย ทำให้ผมตื่นเต้นมากเเละก็กังวลมากว่าจะติดสัมภาษณ์หรือไม่ เพราะผลงานส่วนมากที่ผมสะสมมาไม่ได้ตรงกับสายงานนี้ มีเพียงเเค่โปรเจคเว็ปที่ทำตอนเรียนในรายวิชาเเละโปรเจคที่ผมทำขึ้นมาเพิ่มเติมเพื่อยื่น Portfolio เท่านั้น หลังจากนั้นประมาณเกือบ 1 อาทิตย์ก็มีสายติดต่อเข้ามาสัมภาษณ์จากทาง FOXBITH ทำให้ผมโล่งใจมากที่อย่างน้อยทางบริษัทก็สนใจเเละติดต่อกลับมา ช่วงนั้นเป็นช่วงที่โควิด-19 ระบาดหนักเลยทำให้การสัมภาษณ์เป็นเเบบออนไลน์ เนื่องจากผมเคยเรียนพื้นฐานการเขียน Html, Css, Javascript มาจากการเรียนบ้างเเล้ว ผมเลยเริ่มศึกษาการใช้งาน React เบื้องต้น เพราะที่บริษัทนี้ใช้ React ที่เป็น JavaScript Library ในการเขียนโค้ดเป็นหลักครับ เพื่ออย่างน้อยถ้ามีคำถามเชิงลึกอะไรที่เกี่ยวข้องจะได้ตอบได้บ้าง
ณ วันสัมภาษณ์
การสัมภาษณ์ผ่านไปด้วยดีครับ โดยหลักๆ เลยคือถามถึงทัศนคติ ประสบการณ์ต่างๆ ในการทำงานเเละความรู้ความเข้าใจในสายงานนี้ครับ การสัมภาษณ์กับพี่ๆ เป็นกันเองมาก ทำให้ผมรู้สึกประทับใจเเละไม่กดดันในการสัมภาษณ์ ถึงผมจะพูดตะกุกตะกักเเละติดๆ ขัดๆ ไปบ้างเเต่โดยรวมเเล้วก็ออกมาโอเคครับ หลังจากสัมภาษณ์จบก็รอผลการสัมภาษณ์ครับ ซึ่งที่นี้ไวกว่าที่อื่นที่ผมยื่นฝึกงานไปมากครับ เพราะรู้ผลภายในวันที่สัมภาษณ์นั้นเลย
อีกสิ่งหนึ่งที่ทำให้ผมประทับใจเเละอยากฝึกงานที่นี้มากยิ่งขึ้นคือ ในการสัมภาษณ์นั้นไม่มีถามเรื่องเกรดเเละผลการเรียนเลยครับ สิ่งที่หยิบยกมาถามในการสัมภาษณ์มีเพียงเเค่ผลงานที่เคยทำ ประสบการณ์การทำงาน เเละทัศนคติในสายงานนี้เท่านั้น อาจเป็นเพราะว่าทางบริษัทไม่ได้สนใจเรื่องสถาบันเเละผลการเรียน เเต่ให้ความสำคัญกับการเรียนรู้ ความรู้ความสามารถ การปรับตัว เเละทัศนคติของบุคคลนั้นมากกว่า ซึ่งผมมองว่ามันเป็นทัศนคติที่ดีมาก เพราะผมเชื่อว่าการมองคนไม่ได้มองเพียงเเค่ว่าเขาจบมาจากที่ไหนเเละมีเกรดเท่าไร เเต่อยู่ที่ว่าคนๆ นั้นเขาให้ความสำคัญกับการเรียนรู้และพัฒนาตนเองมากกว่า
เริ่มชีวิตการฝึกงาน
วันแรกที่เข้าไปบริษัทจะมีการ Orientation ซึ่งจะพูดถึงวิสัยทัศน์ของบริษัท โครงสร้างการทำงาน การอธิบายส่วนงานที่ต้องทำ รวมไปถึงการเติบโตในสายงานนี้ ต่อมาก็ได้ทำความรู้จักกับเพื่อนๆ ที่ฝึกงานด้วยกัน รวมถึงพี่ๆ ในบริษัททั้งหมดเเละเริ่ม Set up ระบบ หลังจากที่ติดตั้งโปรเเกรมทั้งหลายเเหล่หมดเเล้ว พี่ก็โยน Test มาให้เพื่อทดสอบความเข้าใจเกี่ยวกับการเขียนโค้ด โดย test ที่ผมต้องทำเป็นหน้าเว็ปไซต์สร้างเเบบทดสอบ ( เเบบทดสอบสร้างเเบบทดสอบ… ) คล้ายๆ กับ Google Form โดยต้องใช้ React ร่วมกับ Material-UI ซึ่งเป็น Library สำหรับ React component ในการเขียนโค้ด ในการ Test ครั้งนี้ พี่ให้อิสระในเรื่องของเวลาในการทำ Test เเต่ผมต้องกำหนดเวลาว่าจะทำเสร็จภายในกี่วันเเละต้องทำให้ได้ตามที่ได้บอกไว้ โดยผมตั้งกำหนดเสร็จงานไว้ที่ 5 วัน หลังจากพี่ส่ง Design หน้าเว็ปที่ต้องทำเเละอธิบายว่าหน้าเว็ปนั้นสามารถทำอะไรได้บ้างเเล้ว พี่ก็ให้ผมเริ่มทำในทันที ต้องบอกเลยว่า… ผมใช้เวลาทั้งหมดที่ผมกำหนดไว้ไปกับการทำ Test หมดเลยครับ เนื่องจากเป็นการทำโปรเจค React จริงๆ จังๆ ครั้งเเรก บวกกับความยากของ Logic ที่ใช้ในการเขียนโค้ดในครั้งนี้เเละผมพึ่งเคยรู้จักกับ React ได้ไม่นาน ส่วน Material-UI นี่พึ่งเคยได้ยินในวันนั้นเลยครับ ทำให้ผมทำ Test ออกมาได้ช้ามากๆ รวมถึงโค้ดที่เขียนไปนั้นเละมาก ถึงขนาดที่ว่าผมกลับมาดูย้อนหลังยังงงตัวเองเลยว่าผมเขียนอะไรไป เเต่สุดท้ายนั้นผมก็สามารถทำเเบบทดสอบได้ทันตามเวลาที่ผมกำหนดไว้ครับ เมื่อทำเเบบทดสอบเสร็จเเล้ว ผมก็ Push โปรเจคขึ้น Github (ที่บริษัทใช้ Sourcetree เป็น GUI ในการรัน Git) เเละส่งลิ้งให้พี่ๆ ก็เข้ามาตรวจเเบบทดสอบโดยดู Logic ที่ใช้ว่าโอเคไหม โค้ด clean หรือไม่ ผลลัพท์ออกมาได้ตามที่ Requirement ไว้หรือเปล่า หลังจากนั้นก็ถึงเวลาคอมเม้นว่าเราขาดตกบกพร่องตรงไหนบ้าง โค้ดส่วนไหนที่ควรตัดทิ้ง ส่วนไหนที่ควรเเก้ไข หรือว่าส่วนไหนที่สามารถทำให้ดีกว่านี้ได้ รวมถึงอธิบายหลักการทำงานว่า React ทำงานยังไง เเล้วมีฟังก์ชันอะไรให้เราใช้ได้บ้าง รวมถึงเเนะนำให้ไปหาความรู้เพิ่มเติมเพื่อที่จะได้พัฒนาฝีมือตนเองมากยิ่งขึ้น เมื่อพี่ๆ คอมเม้นเเละให้คำเเนะนำหมดเเล้วก็ปล่อยให้ผมนั่งศึกษาการใช้งาน React ร่วมกับ Material-UI เพิ่มเติม Clone โปรเจคของบริษัทเเละเริ่มให้ผมทำงานโปรเจคของบริษัทในวันต่อมา
ประเดิมโปรเจคเเรก
โปรเจคที่ทำต่อจากการทำเเบบทดสอบเป็นโปรเจคของบริษัท โดยผมรับหน้าที่ทำหน้าเว็ปจัดการ User รวมถึงการเเก้ไข UI ภายในโปรเจค ตามที่ฝ่าย UX/UI ออกเเบบมา โดยผมทำโปรเจคนี้เป็นทีมร่วมกับเพื่อนฝึกงานเเละพี่อีกคนในโปรเจคนี้ครับ โดยเราจะรับผิดชอบงานคนละส่วนกัน ซึ่งสิ่งที่ขาดไม่ได้เลยคือการพูดคุยอัพเดทงานที่ทำตลอดเวลาว่าเราทำถึงไหนเเล้ว ทำเสร็จไปกี่เปอร์เซ็นเเล้ว มีความคืบหน้าอะไรบ้าง รวมถึงการอัพเดทงานกับฝ่าย UX/UI ว่ามีการปรับเเก้อะไรบ้าง ต้องทำอะไรเพิ่มหรือลดอะไรบ้าง ทำให้ต้องมีระบบจัดการที่ไว้สำหรับสอบถามเเละดูความคืบหน้าของทุกคนได้ครับ เเละ Software ที่ทางบริษัทใช้คือ Jira กับ Slack ครับ
เข้าสู่โปรเจคใหม่
หลังจากทำโปรเจคเเรกมาเป็นระยะเวลา 1 เดือน พี่ๆ ก็ให้น้องๆ ฝึกงานย้ายเข้ามาสู่โปรเจคใหม่ โดยโปรเจคนี้เป็นโปรเจคหลักที่ทางบริษัทกำลังทำอยู่โดยเป็นเว็ปไซต์จัดการงานบริการภายในองค์กร ในโปรเจคนี้ทีมใหญ่กว่าโปรเจคเเรก ซึ่งโปรเจคนี้มี Logic ในการ Coding มากกว่าโปรเจคเเรกหลายเท่าเนื่องจากในโปรเจคเเรกนั้นจะเน้นไปที่ UI เเละความสวยงามเป็นหลัก กลับกันโปรเจคนี้มี Logic เป็นหลัก มีการรับส่งข้อมูลภายในเว็ปไซต์จำนวนมาก การทำงานในเเต่ละครั้ง เมื่องานเสร็จเเล้วก็ต้อง Merge งานขึ้น Dev เพื่อให้ฝ่าย QA เช็คความเรียบร้อยของงานเเละ Deploy ขึ้น Staging เเละ Production ทำให้ต้องคอยตรวจเช็คความถูกต้องของโค้ดตนเองตลอดเพื่อไม่ให้เกิด Bug ขึ้นเป็นโปรเจคที่ยากมากขึ้นกว่าที่ผมเคยทำมาในโปรเจคเเรก มีหลายสิ่งที่ต้องเรียนรู้เพิ่มมากขึ้น
การใช้ชีวิตในที่ทำงาน
จุดเริ่มเเละจุดจบ
Time To Work เวลาเริ่มงานของที่นี้คือ 9.30 น. เป็นเวลาเริ่มงานที่โอเคมากสำหรับผม ยิ่งบ้านผมอยู่ไกลจากที่ทำงานด้วยเเล้ว เวลานี้ถือว่าเหมาะมากครับ
Finish Work 18.30 น. เป็นเวลาเสร็จงานในเเต่ละวัน เเต่บางทีก็ทำงานเลยเวลามากกว่านี้นะ (สนุกกับการเขียนโค้ดจนเลยเวลา ไม่ก็งานเสร็จไม่ทันส่งให้ลูกค้า)
ช่วงเวลาเเห่งการประชุม
Stand Up! เวลาช่วงเช้าประมาณ 9.45 น. เเห่งการประชุมอัพเดทความคืบหน้ารายวันว่าวันที่เเล้วใครทำอะไรไปบ้าง เเล้ววันนี้เราจะทำอะไร เเละมีปัญหาอะไรบ้าง เพื่อให้ทุกคนในทีมสามารถรู้ได้ว่าใครทำอะไรถึงไหนเเล้วบ้าง
Sprint Demo & Retrospective ทุกๆ 2 อาทิตย์จะมีการประชุมอัพเดทภาพรวมความคืบหน้าที่ทำมาทั้งหมดใน 1 Sprint โดยจะมีการนำเสนอสิ่งที่เเต่ละคนทำว่าใน Sprint นี้ทำอะไรบ้าง เกิดปัญหาอะไรขึ้นบ้าง เเละเราเเก้ไขปัญหานั้นอย่างไร รวมถึงการ Retrospective เพื่อให้ทีม Reflect ถึงการทำงานใน Sprint ที่ผ่านมาและช่วยกันคิดว่าสามารถปรับปรุงอะไรให้ดีขึ้น
Grooming ช่วงเวลาเเห่งการประชุมเเลกเปลี่ยนคำถามข้อสงสัย เพื่อลบช่องว่างความไม่เข้าใจงานในโปรเจคนั้น โดยจะมีการระบุรายละเอียดงานและประเมิณ User stories ที่ทีมมีความเข้าใจเป็นอย่างดี สำหรับ User stories ที่ทีมไม่มั่นใจจะมีการระบุช่องว่างความรู้ ซึ่งจำเป็นที่จะต้องได้รับคำถามและเติมเต็มช่องว่างนี้ก่อนที่จะมี Sprint planning
การตั้งเป้าหมาย
OKR ทุกๆ 3 เดือนจะมีการตั้งเเละวัดผล OKR หรือ Objective and Key Results เพื่อตั้งเป้าหมายเเละวัดผลการพัฒนาตนเอง เพื่อเพิ่มศักยภาพด้านต่างๆ ของตนเองเเละบริษัทให้ดีมากยิ่งขึ้น (การเขียนรีวิวนี้ก็เป็นส่วนหนึ่งใน OKR นะ)
ช่วงเวลาเเห่งความสุข
Badminton! ทุกอาทิตย์จะมี Event ไปตีเเบตกับพี่ๆ ช่วยคลายเครียดจากการทำงานเเถมสุขภาพดีด้วย เเทนที่จะนั่งทำงานอยู่เเต่ในออฟฟิตอย่างเดียว มาตีเเบตกับพี่ดีกว่าไอ้น้อง!!
Friday Saying ทุกเย็นวันศุกร์ 2 อาทิตย์จะมีกิจกรรม Friday saying ที่จะเปิดโอกาสให้พี่ๆ น้องๆ ในบริษัทได้มีโอกาสมานำเสนออะไรก็ได้ ไม่ว่าจะเป็นความรู้ ปรัญชา ความชอบของตนเอง หนังสือที่เคยอ่านหรือคอนเท้นที่น่าสนใจ(ได้หมดทุกอย่าง) เป็นเหมือนเเชร์ความรู้หรือความชอบเเล้วเล่าเรื่องราวเหล่านั้นออกมาผ่านการนำเสนอ ได้เล่าเรื่องที่ตนเองอยากเล่าเเละเป็นเหมือนการฝึกทักษะการนำเสนอไปด้วย เป็นอีกหนึ่งสิ่งที่ผมชอบมากที่สุดในการทำงานที่นี้เลยครับ
Free Meal ในทุกอาทิตย์ พี่ๆ Co-Founder ที่เเสนใจดี จะเลี้ยงมื้อกลางวันน้องๆ 1 มื้อ เรียกว่ากินไปยิ้มไปเลยครับ รวมถึงที่บริษัทก็มีการขนขนมมาให้ทานเล่นตลอดเวลาเเบบมาไม่ขาดสาย หิวๆ ก็เดินไปหยิบขนมมากิน จะกินไปทำงานไปก็ได้ครับ เเต่ดูเเลเรื่องสุขอนามัยด้วยนะ
Free Learning พี่ๆ ที่บริษัทสนับสนุนให้น้องๆ มีความรู้ความสามารถ เเละเรียนรู้ตลอดเวลา ถ้าเราไปเรียนคอร์สออนไลน์หรือคอร์สอะไรที่เกี่ยวข้องกับสายงาน พี่ๆ มีงบให้เต็มจำนวนเหมือนเรียนฟรีเลยครับ (เเต่ต้องเรียนจริงๆ นะครับ)
สิ่งที่ได้รับจากที่ฝึกงาน
- เรียนรู้ระบบการทำงานจริงๆ ผมได้มีโอกาสสัมผัสกับประสบการณ์การที่นี่ ที่เน้นการทำงานอย่างเป็นระบบ มีการอัพเดทความคืบหน้าตลอด เเละมีการวางแผนการทำงานในเเต่ละวันเพื่อให้งานออกมามีประสิทธิภาพสูงสุด โดยผมที่เข้ามาฝึกสาย Frontend Web ทำให้ผมเรียนรู้วิธีการทำงานของฝ่ายที่ผมฝึก
- ก้าวข้ามขีดจำกัดของตัวเอง ก่อนที่ผมจะเข้ามาฝึกงานที่นี้ ผมยังทำได้เพียงเเค่การเขียน Html, Css, Javascript กับ Bootstrap เบื้องต้น เเต่เมื่อได้เข้ามาฝึกงานทำให้เราต้องพัฒนาตนเองมากขึ้น มีหลักการมากขึ้น ศึกษาหาความรู้อยู่ตลอดเวลา เพราะว่าการเรียนรู้ในสายงานนี้ถ้าหยุดเดินหน้าก็เท่ากับการถอยหลัง
- การฝึกการทำงานร่วมกับผู้อื่น ก่อนฝึกงานผมเป็นคนชอบทำอะไรคนเดียว เนื่องจากผมสามารถตัดสินใจอะไรหรือเเก้ไขอะไรตามใจตนเองได้ เเต่เมื่อเข้ามาฝึกงานทำให้ผมรู้ว่ามันไม่ใช่ เมื่อเป็นองค์กรหรือบริษัท ก็ต้องมีพนักงาน เมื่อมีพนักงานก็ต้องต้องมีฝ่าย เมื่อมีฝ่ายก็ต้องมีทีม ทำให้เราไม่สามารถทำงานคนเดียวได้ เนื่องจากเราไม่ได้อยู่คนเดียวในบริษัท มีทั้งเพื่อนๆ พี่ๆ เเละอีกมากมาย การฝึกงานจึงเป็นการฝึกการทำงานร่วมกับผู้อื่นได้ดี ได้ติดต่อประสานงานกับฝ่ายต่างๆ ได้มีการพูดคุยเเลกเปลี่ยนข้อมูลภายในทีม รวมถึงการนำเสนอที่ต้องมีปฏิสัมพันธ์กับคนในบริษัท
- มิตรภาพจากเพื่อนๆ เเละพี่ๆ ทุกคน เพื่อนๆ เเละพี่ๆ ที่บริษัทนี้ใจดีเเละน่ารักทุกคน จะคุยเรื่องงานหรือเรื่องอื่นๆ นอกเหนือจากนั้นก็ได้ ทำให้การพูดคุยกับพี่ๆ ที่บริษัทเป็นกันเองมาก เมื่อติดปัญหาโค้ด หาทางเเก้ไม่ได้ พี่ๆ ก็เข้ามาช่วยเสมอ การช่วยเหลือของพี่ๆ ไม่ได้เเค่ช่วยเเก้ไขโค้ดให้อย่างเดียวเท่านั้น เเต่พี่ๆ จะสอนให้เราเข้าใจว่าทำไมมันถึงใช้งานไม่ได้ บอกวิธีการเเก้ปัญหาเเละบอกจุดที่เราต้องปรับปรุง ทำให้ผมได้รับความรู้มากจากพี่ๆ เยอะมากครับ ซึ่งโดยทั้งหมดนี้ผมมองว่ามันเป็นสังคมภายในบริษัทที่ดีมากครับ เพราะผมเชื่อว่าการมีสังคมที่ดี ก็ทำให้มีเเต่จะรับสิ่งดีๆ เข้ามา ทั้งสำหรับคนในสังคมนั้นเเละตนเอง
- การทำงานภายใต้แรงกดดัน การทำงานที่นี้ไม่ได้ซีเรียสมากครับ เเค่รับผิดชอบในงานของตนเองได้ก็โอเคเเล้ว ถ้างานที่เราทำออกมาไม่ได้เละจนขนาดที่ว่ารับไม่ได้เลยก็สามารถไปต่อได้ครับ มีพี่ๆ คอยช่วยให้คำเเนะนำอยู่ตลอดเวลาทำให้ช่วยลดความกดดันไปได้มากเลยครับ เเต่ก็มีความกดดันจากการทำงานให้เสร็จในเเต่ละ Sprint ด้วย การพัฒนาตนเองก็ช่วยให้เราสามารถปรับตัวให้เข้ากับที่ทำงานได้ครับ สิ่งใดที่เรายังทำได้ไม่ดีก็ต้องพัฒนาตามเขาให้ทันครับ เพราะว่าสายงานนี้ต้องพัฒนาหาความรู้อยู่ตลอดเวลา
- การวางแผนการทำงานเเละจัดลำดับความสำคัญ การทำงานที่นี่ต้องมีการวางเเผนให้ดี เนื่องจากมีการเเบ่งงานที่ต้องทำในเเต่ละ Sprint เพราะงานก็มี Deadline ไม่ใช่จะทำชิวๆได้ตลอดไป การจัดลำดับความสำคัญของงานก็มีผลต่อการทำงานในเเต่ละวันครับ ทำงานที่สำคัญก่อน เมื่องานมีปัญหาหรือ Bug ก็จะสามารถเเก้ได้ทัน
- การจัดสรรเวลา มุมมองชีวิตด้านเวลา “เวลาเป็นสิ่งสำคัญ” ในเวลางานเราควรทำอะไรบ้าง จะ Coding อยู่กับ Bug นี้นานเเค่ไหน เเล้วเวลาไหนที่เราควรเริ่มทำงานในส่วนถัดไปต่อ การจัดสรรเวลาเเละนำไปปฏิบัติใช้จริงจึงเป็นสิ่งสำคัญ คงไม่มีใครอยากทำงานล่วงเวลาจนเช้าหรือต้องมานั่งกังวลว่าโค้ดเราจะเสร็จทันเวลาก่อนส่งให้ลูกค้าหรือไม่ สิ่งเหล่านี้ที่เกิดขึ้นซ้ำๆ ในการฝึกงานเเต่ละวัน เป็นจุดเปลี่ยนในการเปลี่ยนมุมมองด้านเวลาของผมไปโดยสิ้นเชิง
บทส่งท้าย
การฝึกงานถือว่าเป็นการเปิดหูเปิดตาออกมาสู่โลกนอกรั้วมหาลัย ซึ่งเป็นโอกาสที่ดีที่จะได้ทดลองทำงานในสายที่คิดว่าใช่สำหรับเรา เราอาจค้นพบตนเองว่าชอบอะไรตอนฝึกงานจริงก็ได้ ซึ่งมันจะเป็นจุดที่ทำให้เรามั่นใจว่าสายงานนี้ใช่สำหรับเรา หรือเป็นจุดเริ่มต้นของการเดินทางไปยังสายงานใหม่ๆ นอกเหนือจากที่เราคิดไว้ก่อนมาฝึกงาน สำหรับน้องๆ ที่สนใจหาที่ฝึกงานด้านการพัฒนา Web App (UX/UI, Frontend, Backend), Mobile App, Data Analytics หรือ IoT ผมให้ที่นี่เป็นอีกหนึ่งตัวเลือกที่ดีมากๆ สำหรับน้องๆ ได้เข้ามาสัมผัสประสบการณ์ฝึกงานที่ได้ทั้งความรู้ ได้ทั้งมิตรภาพ เเละความอิ่มเเป้ เเล้วน้องๆ จะได้รู้ว่าทำงานอย่างมีความสุขนั้นมีจริง!!!