[Internship at Foxbith] - จากคนไม่เคยเขียน Code สู่การเป็น Frontend Developer Internship ครั้งแรกในชีวิต

Anatta Srijan
FOXBITH
Published in
4 min readMar 12, 2021

สวัสดีทุกคน! นี้เป็นบทความแรกในชีวิตเราเองที่จะรีวิวชีวิตการฝึกงานตลอด 3 เดือนของคนที่แทบไม่เคยเขียนโค้ดเลย แต่ชีวิตก็ได้เข้าสู่วงการ Programmer อย่างเต็มตัว

ขอเล่าย้อนกลับไปเมื่อสี่ปีที่แล้วของการเป็นนักศึกษามหาลัย เราจบจาก คณะวิทยาศาสตร์ เอกสถิติ ชีวิตสี่ปีของเราอยู่กับตัวเลขมาตลอด แต่มีเรียนเขียนโค้ดบ้าง ภาษาที่เราเริ่มเขียนตอนเรียนคือ ภาษา C++ หลังจากเรียนวิชานี้เสร็จก็รักมากๆ….(สาบานว่าจะไม่เขียนโค้ดอีกแล้ว 5555555)

ตอนใกล้เรียนจบเราก็เริ่มศึกษาสายงานคณะที่เราเรียนจบจะสมัครงานได้ เราหางานสาย Data มาตลอด แต่พอศึกษาไปแล้วทำให้เรารู้ว่า ชีวิตต้องกลับมาเขียนโค้ด 55555 (ที่จริงมีงานสาย Consult แต่เราไม่ถนัด) หลังจากนั้นเราก็ได้เริ่มศึกษาสายงานที่แตกออกมามากขึ้น จนเราสนใจงาน Developer ตอนที่จบใหม่เราก็อยากลองข้ามสายไปดู แต่เราไม่มีความรู้ในสายงานนี้เลย

เราเลยมองหาที่ฝึกงานต่างๆที่เค้าพอจะรับเด็กจบใหม่เข้าฝึกงาน (เราหาก็มีหลายที่ที่สนใจและไม่สนใจนะ สำหรับเด็กจบใหม่ที่อยากฝึกงานก่อนเริ่มงานก็มีโอกาสนะ) โดยตำแหน่งที่เราเลือกเข้ามาคือ ตำแหน่ง Frontend Developer Internship ซึ่งเราเห็นประกาศที่กลุ่มหางาน เราเลยตัดสินใจเขียนเมลและสมัครจนได้เข้ามาฝึกงานเป็นเวลาสามเดือน

เรามาดูกันดีกว่าว่า กว่าจะได้เข้ามาทำงานจนกระทั่งจบฝึกงาน เราทำยังไงและใช้ชีวิตยังไง…

🧑🏻‍💻 สมัคร + สัมภาษณ์งาน

เรามาเริ่มตั้งแต่การสมัครแล้วก็งานสัมภาษณ์งานกันดีกว่าเพื่อเป็นแนวทางให้กับเพื่อนๆ ทุกคนที่อยากจะเริ่มต้นงานสายนี้แล้วไม่รู้จะเตรียมยังไง

หลังจากที่เราหางานมานาน(จนเริ่มท้อ) เราเห็นประกาศรับสมัครฝึกงานของ FOXBITH ที่จริงเราเห็นหลายที่แต่ก็ไม่กล้าสมัคร วันนั้นเราตัดสินใจทักไปสอบถามข้อมูล และก็ได้รวบรวมความกล้าสมัครเข้ามา

แนะนำเพื่อนๆว่าสำหรับคนที่ไม่มีประสบการณ์การทำงานหรือฝึกงานที่ไหนมาก่อนและไม่มี Connection การเขียน cover letter สำคัญมากในมุมมองของเรา

หลังจากนั้นสองสามวันก็ได้รับเมลตอบกลับเพื่อนัดสัมภาษณ์ตอนนั้นดีใจและกังวลมากเหมือนกัน เพราะเราก็ไม่รู้จะตอบคำถาม คุยกันรู้เรื่องได้ยังไง เพราะฉะนั้นเราต้องเตรียมตัว!!!!!!

การเตรียมตัวของเราตรงไปตรงมา เข้า Youtube แล้วเริ่มหาความรู้เลย 5555

โดยเราลองค้นหาด้วย keyword พื้นฐานทั่วไปเลย เช่น ความรู้พื้นฐานการเป็น Frontend Developer จากนั้นเราก็ค่อยๆหาเรียนทีละอัน เรียน HTML พื้นฐาน หรือ JavaScript พื้นฐาน แล้วก็ เรียน React+Redux

ตอนที่เริ่มก็งงมาก เพราะรู้แค่ว่าการเป็น Frontend Developer น่าจะต้องใช้ HTML, CSS และ JavaScript(React) เราไม่รู้ด้วยซ้ำว่าเราจะเริ่มเรียนจากอะไรก่อนดี เราเลยถามเพื่อนที่เป็นโปรแกรมเมอร์ เพื่อนแนะนำว่าให้เริ่มเรียน HTML ก่อน และตามด้วย CSS แล้วก็ JavaScript ตามลำดับ อย่างที่บอกไปก่อนหน้านี้พอเราได้ลำดับการเรียนแล้วเราก็เริ่มเรียนจาก Youtube เพราะอย่างน้อยมันน่าจะปูพื้นฐานให้เราได้บ้าง หลังจากนั้นราวๆ สองอาทิตย์ ห้องเชือดก็ถามหา….

ถึงเวลาสัมภาษณ์แล้วววว
คิวที่เราได้เป็นตอนเย็น พอดีกับที่เราต้องเดินทางจากต่างจังหวัดเข้ากทม. โดยทั่วไปแล้ว การสัมภาษณ์ Developer จะต้องทำ Test ด้วย ซึ่งเราเขียนบอกเค้าไปใน Cover Letter ว่าเราไม่มีประสบการณ์เลย การสัมภาษณ์จึงไม่ได้ลงเชิงลึกมากนัก เป็นการเช็คความรู้พื้นฐานและทัศนคติ เพื่อดูว่าเข้ากับองค์กรมากน้อยแค่ไหน (ดีที่เตรียมความรู้มานะเพื่อนๆ) หลังจากจบการสัมภาษณ์เราก็รู้ผลเลย

เราได้ฝึกงานในตำแหน่ง Frontend Developer เราดีใจมาก แต่ก็เหมือนเดิมเราต้องเตรียมตัวมากกว่าคนอื่นๆ หลายเท่า เรามาดูกันดีกว่าว่าเตรียมตัวยังไงบ้าง! GOGOGO ✌🏻

💼 เตรียมตัวก่อนเริ่มงาน

ได้เวลาเริ่มงานแล้วววววว!! มาดูการเตรียมตัวจากจุดเริ่มต้นของการเป็นโปรแกรมเมอร์นอนน้อยกันดีกว่า 😴 มาดูกันว่าเราเตรียมตัวอะไรบ้างเราถึงจะอยู่รอดได้…

หลังจากที่เราสัมภาษณ์และรู้ผล เราก็สอบถามคอร์สเรียนกับการบ้านว่ามีอะไรให้เตรียมความรู้ก่อนเริ่มงานบ้างไหม ซึ่งเราได้เว็บเรียนมาราวๆ 3 เว็บ (เราจะแปะลิ้งค์ไว้เผื่อเพื่อนๆคนไหนสนใจเริ่มต้นแบบเรา)

https://www.theodinproject.com/tracks/front-end-only

https://www.freecodecamp.org

https://reactjs.org/docs/hooks-intro.htm

(optional) React.js (Create React App) + Material UI Framework + React Hook + Redux (Thunk) + Lodash

(เป็นภาษาอังกฤษทั้งหมด!!!) เราไม่ค่อยถนัดภาษาอังกฤษ แล้วก็ด้วยความไม่รู้ศัพท์เทคนิคต่างๆ ทำให้เรางงกับมันมากๆ เราจึงไปซื้อหนังสือภาษาไทยมาอ่าน (ยอมแพ้ละ) เพื่อปรับความรู้พื้นฐานว่า Syntax มันเป็นยังไง หน้าตาของโค้ดลักษณะการเขียนเป็นยังไง (เราจะแปะชื่อหนังสือไว้เผื่อทุกคนจะลองไปหาอ่านกันนะ)

พัฒนาเว็บแอพพลิเคชันด้วย React, Redux + Bootstrap (simplify)

พัฒนาเว็บแอพพลิเคชันด้วย Firebase ร่วมกับ React (simplify)

พัฒนาเว็บแอพพลิเคชันด้วย JavaScript (SE-ED computerbook)

สร้างเว็บไซต์แบบ responsive ด้วย Bootstrap ร่วมกับ CSS และ JavaScript (SE-ED computerbook)

แรกๆเราเริ่มจาก HTML กับ CSS ก่อนจากหนังสือ แล้วลองเขียน Static Web เล่นๆ มาซักเว็บ ภาพที่เราจำได้คือมีข้อความแล้วก็สีๆๆๆ ซึ่งเราก็ทำได้เท่านั้นแหละ 55555

งานชิ้นแรกๆ ของเราตั้งแต่ทำอะไรยังไม่ค่อยเป็นเลย

แน่นอนว่าเราไม่ตัดใจหาหลายๆแหล่ง จนเริ่มเป็นเว็บที่หน้าตาพอใช้ได้มาซักเว็บแล้วก็เริ่มตันเพราะเราก็ไม่รู้จะถามใครดี ภาษาอังกฤษเราก็ไม่คล่อง(ถ้าใครไม่รู้จะถามใครเราแนะนำเพื่อนรักนักโค้ดนั้นคือเว็บ Stackoverflow) เราเลยติดต่อไปที่บริษัทเพื่อขอเข้างานก่อน เผื่อมีอะไรจะได้ถามพี่ๆได้เลย (บางคนที่ผ่านงานมาอาจจะงงว่าเค้าจะมีเวลาสอนได้ยังไงเดี๋ยวเราจะเล่าต่อไป)

🏢 บรรยากาศในการทำงาน

ขอเล่าก่อนว่า ณ วันที่เราเขียนบทความนี้ FOXBITH กำลังเป็นบริษัท Start Up ขนาดเล็กอยู่ การเข้าถึงและพูดคุยกับพี่ๆ Co-Founder ยังง่ายและเป็นกันเองมากๆ ตัวออฟฟิศจะแชร์พื้นที่กับบริษัท Birthmark ที่เป็น Marketing Digital Agency ทำให้บรรยากาศการทำงานมี Culture ที่หลากหลาย สนุกสนาน ไม่ได้มีแค่ Tech Culture อย่างเดียว แต่ยังมี Culture จากฝั่ง Agency อีกด้วย แถมเด็กฝึกงานอย่างเรายังได้สวัสดิการด้วย (ถึงไม่เท่าพนักงาน Fulltime แต่เราคิดว่า เราได้เยอะกว่าที่อื่นมากๆ)

ประชุมงานด้วยความสนุกสนาน บรรยากาศเป็นกันเอง เสนอความคิดเห็นได้อย่างเต็มที่ไม่มีกั๊กกันไปเล้ยยย
โหมดจริงจังแล้ววว Feedback การทำงานของคนในทีมเราจะได้เอาไปปรับปรุงแก้ไขต่อไป
โมเมนต์ Brainstorm ช่วยกันแก้บัค!!
ปาร์ตี้ปีใหม่สนุกมากกกก ตรีมจับของขวัญคือสุด
โมเมนต์หนุ่ม F4 ก็มาาา นอกจากทำงานแล้วเรายังมีกิจกรรมนอกสถานที่เพื่อเป็นการพักผ่อนจากการทำงานหนักๆ อีกด้วยนะะะะ

สิ่งที่เราได้ก็คือ
1. ขนมและของกินฟรี

2. จอเสริมแยก

3. Macbook Pro (แต่ใครที่อยากจะมาฝึกต่อขอโทษด้วยเราทำพังแล้ว 5555)

4. ข้าวกลางวันฟรีอาทิตย์ละครั้ง

5. เราได้เงินเดือนด้วยนะ (บางที่ไม่ได้นะเออ)

6. ค่าใช้จ่ายของคอร์สเรียนที่เกี่ยวข้องกับสายงาน

โต๊ะทำงานของเราเอง ตอนนี้เราเป็นจาก Macbook Pro เป็น M1 แล้ว

สรุปเลยก็คือ บรรยากาศการทำงานดีมากได้แลกเปลี่ยนสิ่งใหม่ๆ ทุกวัน
ทุกคนทั้งเพื่อนร่วมงานและก็หัวหน้า เปิดรับมากๆ เราสามารถ Feedback ได้ทุกเรื่องและทุกคนก็รับรู้รับฟังและแก้ไขพัฒนาตัวเองตลอดเวลา ทาง Agency ก็สนุกสนานตามสไตล์(ทำให้เราไม่เงียบเหงา) โดยรวมแล้วเราชอบมากๆ บรรยากาศอารมณ์ Start Up สุดๆ

💻 เริ่มงานแล้วทำอะไร

ถึงเวลาที่จะต้องเริ่มงานแล้ววววว เย่ๆ ขอเล่าก่อนว่าทำไมเราถึงขอมาทำงานก่อนเวลานัด ต่อจากที่ค้างเอาไว้ FOXBITH เป็น Start Up ที่ก่อตั้งเมื่อปี 2019 โดยมี
Co-Founder 3 คน (พี่กานต์ พี่เอิร์ท แล้วก็พี่มะตอย) ในปี 2020 เราได้รับโปรเจคที่ใหญ่มากๆ มา พี่ๆ ทั้งสามคนเลยตัดสินใจรับพนักงานชุดแรกมา 4 คน นั้นก็คือทีมของเราเอง การขอเข้างานก่อนเวลานัดเพื่อจะได้เรียนรู้และชินกับที่ทำงานรวมทั้งจะได้สำรวจที่ทางต่างๆ จึงค่อนข้างง่ายเพราะเราติดต่อผ่านพี่มะตอยโดยตรงได้เลย มาดูกันดีกว่า ว่าคนไม่มีประสบการณ์เลยอย่างเราจะได้ทำอะไรบ้าง(แอบสปอยว่าเดือดสุดๆ)

Day 1 และแล้ววันแรกของการทำงานก็มาถึง… ก่อนเริ่มงานพี่ๆ ก็จะพาเราไปเข้าฟัง Orientation พูดคุยถึง Process การทำงาน, Vision ของบริษัท และ set up ระบบทำความรู้จักกับเพื่อนๆ ก็หมดไปแล้ว 1 วันเต็มๆ

Orientation วันแรกพูดคุย process การทำงานต่างๆของบริษัท

Day 2 เข้าสู่วันที่สองเป็นวันที่ทุกคนได้เริ่มงานจริงๆ (แต่แอบติดนิดหน่อย เพราะทุกคนใช้ Macbook M1 > Software บางตัวยังไม่รองรับ) วันที่สองพี่กานต์ก็เริ่มแจกงานให้ทุกคนบนบอร์ด เป็นการทำ Software ภายในที่จะใช้ภายในองค์กร เป็นงานแรกให้กับทุกคนทำระยะเวลาราวๆ 1 เดือน เพื่อเป็นการเช็คพื้นความรู้ของทุกคนว่าอยู่ระดับไหน ต่อไปจะ Assign งานอะไรให้ได้บ้าง แน่นอนว่าเราก็ได้ทำงานเลยเหมือนกัน งานที่เราได้จะเป็นการรับผิดชอบ UI ของหน้าหนึ่งที่ต้อง Reuse ใช้ทั้งระบบ (เพราะตอนนั้นเราได้แค่ HTML กับ CSS) เราทำงานเสร็จและก็ส่ง ผลปรากฏว่า…..

ประชุมแจกงาน Internal Project ตัวแรกของบริษัท

ขอโทษคนที่เอาไปใช้ต่อด้วยครับ 55555 ผลที่ได้คือมันเละมาก ไล่โค้ดได้ยากมากหลังจากตอนนั้นเราก็เลยต้องไปเรียนเสริมเพื่อตามคนอื่นให้ทัน (ที่นี่ออกเงินค่าเรียนให้ด้วยนะ) ระหว่างที่เรียนเราได้งานมาทำเรื่อยๆ เป็นงานเกี่ยวกับ UI ซะส่วนใหญ่จนโปรเจคนี้เสร็จก็ถึงเวลา…. QA
แน่นอนว่าทุกโปรเจคก่อนที่จะ Deploy ขึ้น Production จะต้องมีการ Test กันก่อนว่าระบบมี Bug ตรงไหนบ้างจะได้แก้ก่อน และเราก็ได้รับหน้าที่ QA ระบบมา (แอบบอกว่าสนุกมากเหมือนเจอทางที่ใช่ 5555) หลังจากนั้นระหว่างที่ฝึกงานนอกจากงาน Frontend แล้วงาน QA ก็จะเป็นหนึ่งในงานที่เราได้ทำจริงๆ เหมือนกัน

หลังจากจบโปรเจคซ้อมมือและคอร์สเรียนของเราก็ถึงเวลาที่เราจะทำงานจริงๆ
ซักที!!!!!

ที่ FOXBITH จะใช้ ReactJS & ReactNativeในการพัฒนา Software ที่มีขนาดใหญ่ และใช้ NextJS ในการทำ Website ขนาดเล็กถึงกลาง ซึ่ง ณ ปัจจุบัน การทำงานและกลุ่มลูกค้าของ FOXBITH จะมีหลักๆ สองกลุ่ม กลุ่มแรก คือกลุ่มลูกค้า Premium SME ที่ต้องการเล่าเรื่องราว Product ของตัวเอง เน้นความสวยงามของเว็บ และ Storytelling (UI & Branding) และอีกกลุ่มเป็นลูกค้า Corporate ระบบจะมีความซับซ้อน ดังนั้งการออกแบบและพัฒนาจะเน้นไปที่การทำระบบให้ออกมาให้ใช้งานได้ง่ายไม่ซับซ้อนมากกว่าเน้นความสวยงาม (Good UX) ด้วยกลุ่มลูกค้าแบบนี้ทำให้เราแบ่งทีมการทำงานหลักๆ ได้เป็นสองทีมตามกลุ่มลูกค้า

ทีมที่เราได้อยู่เป็นทีมที่ 2 (เน้นการใช้งานเป็นหลัก ลอจิกส์จะหนักมาก ความสวยงามเป็นเรื่องรอง ซึ่งเราคิดว่าเหมาะกับเราเพราะเราไม่ค่อยถนัด CSS)

งานที่เราได้จะเป็นการทำ Reuseable Component เพื่อให้ทุกคนในทีมดึงไปใช้งานได้ (ตอนนี้มีโปรเจคที่ดึง Component ที่เราทำไว้ไปใช้อยู่ประมาณ 3 โปรเจค ซึ่งดูจากสิ่งที่เคยทำไว้แล้วก็….ใช้ได้ดี!!!!!) React Framework ที่ FOXBITH ใช้ ในการทำ Component คือ Material UI แล้วก็ Storybook (หลังจากเราคลุกอยู่กับมันมาสักระยะก็คิดว่าจะเขียนเรื่องนี้ต่อ ฝากติดตามด้วยนะ) สรุปสั้นๆ ก็คืองานที่ทำ Component เล็กๆหรือ Layout ที่ใช้งานกันบ่อยๆมาจัดหน้าตาหรือฟังก์ชันให้พร้อมใช้งาน เพื่อให้คนอื่นในทีมเอาไปใช้ต่อได้เลยโดยไม่ต้องมานั่งเขียน CSS แค่ประกาศและส่งฟังก์ชันที่ต้องการเข้าไปก็พอ!!!

เราได้ทำงานนี้มา 1 เดือนกว่าๆ ทั้งศึกษาวิธีใช้ Storybook และทำ Component ให้ Reuseable ตาม Design System ขอบอกว่าแรกๆ งงมากกกก แต่เราก็ผ่านไปได้นะค่อยๆ ทำความเข้าใจ ความท้าทายสำหรับเราคือ

  1. ภาษาอังกฤษ เพราะเราเกลียดการอ่าน Doc มากๆ
  2. พื้นฐานการเขียนโค้ด (บางคนไปฝึกงานแล้วเค้าให้เรียนก่อนอย่าพึ่งท้อเด้อ เพราะเค้าไม่สามารถ Assign งานให้ได้ ในตอนแรกที่เราไม่รู้อะไรเลย)

เราทำ Component ไปได้ราวๆ 16 Components ก็ถึงเวลาเข้าห้องเชือดอีกครั้ง!!!!! ถึงเวลาที่ต้องประกาศแล้วว่าเราจะรอดหรือเราจะร่วง!

ผลปรากฏว่าเรา….

.

.

.

.

.

.

.

.

รอดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดด 🎉🎉

ต่อไปจะเป็นชีวิตหลังฝึกงานจบว่าเราทำอะไรต่อไป!

👉🏻 ฝึกงานจบแล้วทำอะไรต่อ

หลังจากฝึกงานเสร็จเนื่องจากเราผ่าน Requirement ของบริษัท เราก็ได้เริ่มต้นใช้ชีวิตเป็นพนักงาน FOXBITH ต่อทันทีเลย งานที่เราได้ทำก็จะเป็นการทำงานต่อจากงานเดิมให้แล้วเสร็จ และเตรียมทำโปรเจคใหม่ๆ ที่กำลังเข้ามาในฐานะ
Junior Frontend Developer!!!

สรุป

เราว่าการฝึกงานหลังเรียนจบเป็นโอกาสที่ดีนะ เพราะนอกจากเราจะได้รู้ว่าทำงานจริงๆ เป็นยังไงในสายงานที่เลือก ยังเป็นประตูสู่สายงานใหม่ๆ สำหรับคนที่รอโอกาสในการข้ามสายงานอีกด้วย ถ้าเราให้คะแนนความประทับใจที่เราได้ที่ฝึกงานที่นี้แบบไม่อวยเราให้ 9/10 เลยแหละนอกจากได้ทำงานจริงโดยที่ไม่คิดว่าเราเป็นแค่เด็กฝึกงานแล้วทุกคนรอบตัวก็ดีกับเรามากๆ ได้พัฒนาแน่นอน ถ้าใครที่กำลังหางาน ที่ฝึกงาน หรือกำลังคิดว่าจะข้ามสายมาทำงานแบบเรา เราเป็นกำลังใจนะ หวังว่าบทความนี้จะเป็นแรงบันดาลใจให้ใครหลายๆ คนที่กำลังลังเล หรือกำลังตัดสินใจอยู่ มีความกล้าที่จะเข้ามาลองจับงาน กล้าที่จะลองยื่นสมัครงาน ท้าทายความสามารถใหม่ๆ ของตัวเองและ พัฒนาตัวเองให้เก่งมากขึ้นอีกนะทุกคนนนนนน

ช่วงขายของงงง ไหนๆ เราก็มีโอกาสได้เขียนบทความแล้ว เราขอฝากติดตามงานของเราด้วยนะ เราจะมาเขียนลงเรื่อยๆ แล้วก็ฝากติดตามงานของ FOXBITH ด้วยนะ มีทั้ง Facebook, Instagram, Medium แล้วก็เว็บไซต์ของพวกเราเองงงงง มีเรื่องที่เราอยากแชร์ให้กับเพื่อนๆ เยอะเลยยยย

https://foxbith.com

https://pixel.foxbith.com

https://www.facebook.com/foxbith.th

https://www.instagram.com/foxbith

https://blog.foxbith.com

--

--