ตอนที่ 20 “ชื่อคริสเตียนแต่พองาม”

เชิงอรรถ

อริยสาวกทั้ง 10 (Ten Principal Disciples)

  1. พระสารีบุตร(Shariputra) เป็นเอตทัคคะในบรรดา ภิกษุสาวกผู้มีปัญญาใหญ่
  2. พระมหาโมคคัลลานะ(Maudgalyayana) เป็นเอตทัคคะในบรรดา ผู้มีฤทธิ์
  3. พระมหากัสสปะ(Mahākāśyapa) เป็นเอตทัคคะในบรรดา ผู้ทรงธุดงค์
  4. พระสุภูติ(Subhuti) เป็นเลิศในบรรดา ผู้มีปกติอยู่ด้วยไม่มีกิเลส และผู้เป็นทักขิไณยบุคคล
  5. พระปุณณมันตานีบุตร(Purna Maitrayani-putra) เป็นเลิศในบรรดา พระธรรมกถึก
  6. พระมหากัจจานะ(Katyayana) เป็นเลิศในบรรดา ผู้จำแนกอรรถแห่งภาษิตโดยย่อให้พิสดาร
  7. พระอนุรุทธะ(Anuruddha) เป็นเอตทัคคะในบรรดา ผู้มีทิพยจักษุ
  8. พระอุบาลี(Upali) เป็นเลิศในบรรดา ผู้ทรงพระวินัย
  9. พระราหุล(Rāhula) เป็นเลิศในบรรดา ผู้ใคร่ต่อการศึกษา
  10. พระอานนท์(Ananda) เป็นเลิศในบรรดา ผู้เป็นพหูสูต ผู้มีสติ ผู้มีคติ ผู้มีความเพียร ผู้เป็นอุปัฏฐาก

ราหุลนอนในห้องน้ำ

ในสมัยพุทธกาล ครั้งหนึ่งพระพุทธเจ้าได้ไปแสดงธรรมที่อัคคาฬวเจดีย์ ชาวบ้านก็แห่กันมาฟังธรรมที่วัด กว่าพระเถระจะผลัดกันแสดงธรรมจนจบก็ถึงเวลามืดค่ำพอดี พวกพระที่บวชใหม่ก็เลยต้องนอนรวมกับพวกอุบาสกกันที่ศาลาฟังธรรม… ปรากฏว่าพอพวกอุบาสกเห็นพระคุณเจ้าทั้งหลายนอนกรนบ้าง ละเมอบ้าง ก็เอาไปโพนทะนา พระพุทธเจ้ารู้จึงเรียกมาสอบถามและติเตียน ด้วยเกรงว่าจะทำให้ขาดความเลื่อมใสต่อชุมชนจึงบัญญัติสิกขาบท ห้ามภิกษุนอนร่วมกับผู้ที่ไม่ใช่ภิกษุ มิฉะนั้นจะต้องอาบัติปาจิตตีย์(อาบัติที่ทำให้ความดีงานตกไป)

ต่อมา พระพุทธเจ้าได้ย้ายไปประทับที่พทริการามเมืองโกสัมพี ตอนนั้นราหุลยังเป็นสามเณรอยู่ ทำให้ไม่มีภิกษุคนไหนกล้าให้ราหุลนอนร่วมด้วยอีก คืนนั้นสามเณรราหุลหาที่นอนไม่ได้จริงๆจึงไปอาศัยนอนในห้องน้ำของพระพุทธเจ้า เมื่อพระพุทธเจ้าตื่นมาจะเข้าห้องน้ำแต่เช้ามืดกลับเจอพระราหุลนอนอยู่ก็ตกใจ จึงตรัสถามว่า “ดูกรราหุล เหตุไรเธอจึงนอน ณ ที่นี้” เมื่อได้ทราบความจริงจึงแก้บัญญัติ ผ่อนผันให้นอนร่วมกันได้ไม่เกิน 2–3 คืนหากเกินกว่านั้นจะต้องอาบัติปาจิตตีย์

เปโตรผู้หาคนดั่งหาปลา

ขณะ​ที่​เดิน​อยู่​ริม​ชายฝั่งกาลิลี พระ​เยซู​เห็น​ซีโมน​เปโตร​(ปีเตอร์)กับ​อันดรูว์พี่น้องกำลังชักอวนอยู่กับคนอื่นๆ จึงเดินเข้าไปหาและบอกให้นำเรือออกจากฝั่งเพื่อสอนผู้คนที่มารวมตัวกันที่ริมชายฝั่ง จากนั้นจึงให้นำเรือออกไปที่น้ำลึกอีกหน่อยเพื่อหย่อนอวนลงจับปลา เปโตรจึงบอกกับพระเยซูว่า

“พระอาจารย์เจ้าข้า พวกข้าพระองค์ตรากตรำมาทั้งคืนแต่จับปลาไม่ได้เลย แต่เพราะพระองค์ทรงสั่งเช่นนั้น ข้าพระองค์ก็จะหย่อนอวนลง”

ปรากฏว่าพอดึงอวนขึ้นมากลับได้ปลาเยอะมากจนอวนจะขาด เปโตรจึงโบกมือให้เรืออีกลำที่อยู่ใกล้ๆกันมาช่วย ไม่นานเรือสองลำที่มีปลาอยู่เต็มจนล้นเรือก็เริ่มจะจม เปโตรจึงทรุดกราบที่เขาของพระเยซูว่า

“พระองค์เจ้าข้า เสด็จไปจากข้าพระองค์เถิด ข้าพระองค์เป็นคนบาป!”

พระเยซูจึงบอกกับเขาว่า “ไม่​ต้อง​กลัว ต่อ​ไป​นี้​เจ้า​จะ​ไป​หา​คน​แทน​ที่​จะ​หา​ปลา”

ลูกา 5:8

เจ้าชายสิทธัตถะเหวี่ยงช้างออกจากพระราชวัง

ตำนานจีนโบราณบันทึกเกี่ยวกับพละกำลังของเจ้าชายสิทธัตถะเมื่อเจริญวัยว่า สามารถเหวี่ยงช้างขนาดใหญ่ลอยข้ามรั้วของพระราชวังทั้ง 7 ชั้นไปจนถึงคูน้ำด้านนอก(จากหนังสือ Buddha and Buddhist Synods in India and Abroad)

ที่จริงตั้งใจจะแปลมาให้อ่านกันแต่ศัพท์ในหนังสือมันยากไป ใครอยากรู้เพิ่มเติมไปหาอ่านเอาเองนะจ๊ะทิ้งชื่อหนังสือเอาไว้ให้แล้ว

ภาพจาก Children in Chinese Art

ซาโลเม่(Salome)

เจ้าหญิงชาวยิวผู้ที่สามารถร่ายระบำจนเป็นเหตุให้ “ยอห์นผู้ให้บัพติศมา”(John the Baptist) ผู้เผยพระวจนะ ผู้มาก่อนพระเยซู ตามความเชื่อของศาสนาคริสต์ ต้องถูกตัดหัว เรื่องราวของซาโลเม่และยอห์นกลายเป็นบทบันทึกที่สร้างแรงบันดาลใจให้นักเขียนรุ่นต่อมาได้นำมาเขียนอย่างแพร่หลาย

แต่ทว่าในคัมภีร์ไบเบิ้ลกลับไม่มีชื่อของนางปรากฏอยู่เลย มีบันทึกไว้แค่ว่านางเป็นเพียงธิดาที่ติดมาของพระนางเฮโรเดียสเท่านั้น นักประวัติศาสตร์ในสมัยก่อนจึงผูกเรื่องราวกับคัมภีร์ของศาสนายิวซึ่งมีปรากฏในบันทึกว่าลูกสาวของพระนางเฮโรเดียสมีพระนามว่า “ซาโลเม่”

จากบทประพันธ์ของออสการ์ ไวลด์(Oscar Wilde) เรื่อง สะโลเม หรือ ซาโลเม อ้างอิงจากคัมภีร์พันธสัญญาใหม่ในพระวรสารนักบุญมาระโกกับนักบุญมัทธิว กล่าวถึงฉากเด่นฉากหนึ่งที่มีชื่อว่า “ระบำแห่งผืนผ้าทั้งเจ็ด” (Dance of the Seven Veils) ซึ่งเป็นฉากระบำเปลื้องผ้าของซาโลเม่นั้น มีเหตุที่เกิดจาก ยอห์น เดอะ เป็ปติสได้กล่าวประนามกษัตริย์เฮโรด ที่ได้แต่งงานกับพระนางเฮโรเดียสที่เคยเป็นภรรยาของน้องชายตนเองทำให้พระนางเคียดแค้นเกลียดชังนักบุญยอห์นแต่เนื่องจากยอห์นเป็นนักบวชผู้มีชื่อเสียงเป็นที่เคารพนับถืออย่างสูง อีกทั้งกษัตริย์เฮโรดก็ยังเกรงยอห์นอยู่จึงไม่สามารถลงมือปลิดชีพนักบวชผู้เลื่อมใสลงได้ พระนางจึงหาแผนการอันแยบยลเพื่อหาความชอบธรรมในการสังหารยอห์น

แล้วโอกาสก็มาถึง เมื่อกษัตริย์เฮโรดจัด​งาน​เลี้ยง​วัน​เกิด​ของตนอย่าง​ใหญ่​โต พวก​ข้าราชการ​ชั้น​สูง นาย​ทหาร​ชั้น​ผู้​ใหญ่ และ​คน​สำคัญๆ ใน​กาลิลี​ก็​มา​งาน​นี้​ด้วย ขณะที่กษัตริย์เฮโรดกำลังประทับอย่างสำราญพระทัยอยู่ในท้องพระโรง ทันใดนั้นเอง เจ้าหญิงซาโลเม่ก็ปรากฏโฉมให้ทุกคนได้ยลกัน

ราวกับถูกมนต์สะกด เหล่าแขกเหรื่อและข้าราชบริพารทั้งหลายไม่อาจละสายตาไปจากเจ้าหญิงและอาภรณ์ของเธอได้ เธอเดินตรงไปหากษัตริย์เฮโรดและกราบทูลว่า

“วันนี้หม่อมฉันจะขอร่ายรำระบำพิเศษให้พระองค์ทรงทอดพระเนตร เพื่อจะได้ทรงพระสำราญยิ่งๆ ขึ้นไปเพคะ”

“หากการเริงระบำครั้งนี้ เป็นที่ถูกพระทัยมากแล้วไซร้ หม่อมฉันขอทูลขอรางวัลซึ่งเป็นสิ่งที่อยู่ในพระราชอำนาจของพระองค์ที่จะประทานได้ ก็ขอให้พิจารณาพระราชทานให้หม่อมฉันด้วยเพคะ”

กษัตริย์เฮโรดที่กำลังตกอยู่ในภวังค์ด้วยความงามของหญิงสาวจึงตอบตกลงทันที

เมื่อการแสดงระบำจบทุกคนถึงกับอ้าปากค้างเพราะเรือนร่างอันงดงามและลีลาการร่ายรำอันทรงเสน่ห์กษัตริย์จึงตรัสต่อนางว่า

“เธอ​อยาก​ได้​อะไร ขอ​มา​สิ เรา​จะ​ให้”

จนถึงขั้นสาบานต่อหน้าแขกว่า

“ไม่​ว่า​เธอ​จะ​ขอ​อะไร เรา​จะ​ให้​ทุก​อย่าง แม้​จะ​ถึง​ครึ่ง​อาณาจักร​ก็​จะ​ให้”

นางจึงหันไปหาพระมารดา “ลูกจะขออะไรดีคะ”

เมื่อได้ยินรับสั่งจากพระนางเฮโรเดียสเจ้าหญิงซาโลเม่จึงเอ่ยกับกษัตริย์ว่า

“หม่อมฉันขอศีรษะของท่านยอห์น​ผู้​ให้​บัพติศมา….​”

สิ้นเสียงของพระนาง ท้องพระโรงก็เงียบราวกับป่าช้า มีเพียงพระนางเฮโรเดียสที่ยิ้มย่องอย่างสมใจ และทันใดนั้นเอง องครักษ์ก็เดินถือถาดเงินออกมาจากคุก พร้อมหัวของยอห์นออกมาให้ซาโลเม่ตามสัญญา

สะโลเมกับศีรษะของยอห์นแบปติสต์ (การาวัจโจ)

กลโกธา(Golgotha)

กลโกธา หมายถึง “กะโหลก” ในภาษาอาราเมอิค. เป็นชื่อสถานที่ซึ่งพระคริสต์ทรงถูกตรึงกางเขน

บัพติศมา(Baptism)

พิธีบัพติศมา คือพิธีรับเข้าเป็นคริสต์ศาสนิกชน การ​รับ​บัพติศมา​​เป็น​สัญลักษณ์​ว่า​คน​คน​หนึ่ง​ได้​ตาย​จาก​ชีวิต​ใน​อดีต​และ​เริ่ม​ต้น​ชีวิต​ใหม่​เป็น​คริสเตียน​ที่​อุทิศ​ตัว​ให้​พระเจ้าพระเยซูเองก็ทรงรับบัพติศมาจากยอห์นเช่นกัน จากนั้นจึงเริ่มปฏิบัติพระภารกิจของพระองค์

บัพติศมามีทั้งแบบให้จุ่มทั้งตัว ยืน หรือคุกเข่าในน้ำ แล้ว “ผู้ให้บัพติศมา” จะตักน้ำรดลงบน “ผู้รับบัพติศมา”

คริสตจักร​บาง​แห่ง​ทำ​พิธี “บัพติศมา” ให้​ทารก โดย​พรม​หรือ​เท​น้ำ​ลง​บน​หัว​ของ​ทารกแล้ว​ตั้ง​ชื่อ​ให้

พระ​เยซู​เดิน​ทาง​จาก​แคว้น​กาลิลี​มา​หา​ยอห์น​ที่​แม่น้ำ​จอร์แดน​เพื่อ​รับ​บัพติศมา​จาก​เขา แต่​ยอห์น​บอก​พระ​เยซู​ว่า “ท่าน​จะ​มา​รับ​บัพติศมา​จาก​ผม​ได้​ยัง​ไง? ผม​ต่าง​หาก​ที่​ต้อง​รับ​บัพติศมา​จาก​ท่าน” พระ​เยซู​ตอบ​ว่า “ครั้ง​นี้​ขอ​ให้​ทำ​เถอะ เพราะ​เรา​ควร​จะ​ทำ​ทุก​สิ่ง​ที่​พระเจ้า​กำหนด​ไว้​ให้​สำเร็จ” ยอห์น​จึง​ยอม​ให้​บัพติศมา​พระ​เยซู เมื่อ​รับ​บัพติศมา​แล้ว พระ​เยซู​ก็​ขึ้น​จาก​น้ำ​ทันที และ​ตอน​นั้น​เอง​ท้องฟ้า​ก็​เปิด​ออก และ​ยอห์น​เห็น​พลัง​ของ​พระเจ้า​รูป​ร่าง​เหมือน​นก​เขา​ลง​มา​บน​พระ​เยซู แล้ว​มี​เสียง​จาก​ฟ้าว่า “นี่​คือ​ลูก​รัก​ของ​เราเรา​พอ​ใจ​ใน​ตัว​เขา​มาก”

--

--

ป๋าจอห์นนี่ เดปป์
สองศาสดาลาพักร้อน

เป็นผู้แปลสองศาสดาลาพักร้อน หรือ Saint Young Men ที่ดองงานมายาวนานกว่า 2 ปี กดติดตาม Follow กันได้ทั้งใน Medium และ https://www.facebook.com/ThaiSaintYoungMen