ตอนที่ 20 “ชื่อคริสเตียนแต่พองาม”
เชิงอรรถ
อริยสาวกทั้ง 10 (Ten Principal Disciples)
- พระสารีบุตร(Shariputra) เป็นเอตทัคคะในบรรดา ภิกษุสาวกผู้มีปัญญาใหญ่
- พระมหาโมคคัลลานะ(Maudgalyayana) เป็นเอตทัคคะในบรรดา ผู้มีฤทธิ์
- พระมหากัสสปะ(Mahākāśyapa) เป็นเอตทัคคะในบรรดา ผู้ทรงธุดงค์
- พระสุภูติ(Subhuti) เป็นเลิศในบรรดา ผู้มีปกติอยู่ด้วยไม่มีกิเลส และผู้เป็นทักขิไณยบุคคล
- พระปุณณมันตานีบุตร(Purna Maitrayani-putra) เป็นเลิศในบรรดา พระธรรมกถึก
- พระมหากัจจานะ(Katyayana) เป็นเลิศในบรรดา ผู้จำแนกอรรถแห่งภาษิตโดยย่อให้พิสดาร
- พระอนุรุทธะ(Anuruddha) เป็นเอตทัคคะในบรรดา ผู้มีทิพยจักษุ
- พระอุบาลี(Upali) เป็นเลิศในบรรดา ผู้ทรงพระวินัย
- พระราหุล(Rāhula) เป็นเลิศในบรรดา ผู้ใคร่ต่อการศึกษา
- พระอานนท์(Ananda) เป็นเลิศในบรรดา ผู้เป็นพหูสูต ผู้มีสติ ผู้มีคติ ผู้มีความเพียร ผู้เป็นอุปัฏฐาก
ราหุลนอนในห้องน้ำ
ในสมัยพุทธกาล ครั้งหนึ่งพระพุทธเจ้าได้ไปแสดงธรรมที่อัคคาฬวเจดีย์ ชาวบ้านก็แห่กันมาฟังธรรมที่วัด กว่าพระเถระจะผลัดกันแสดงธรรมจนจบก็ถึงเวลามืดค่ำพอดี พวกพระที่บวชใหม่ก็เลยต้องนอนรวมกับพวกอุบาสกกันที่ศาลาฟังธรรม… ปรากฏว่าพอพวกอุบาสกเห็นพระคุณเจ้าทั้งหลายนอนกรนบ้าง ละเมอบ้าง ก็เอาไปโพนทะนา พระพุทธเจ้ารู้จึงเรียกมาสอบถามและติเตียน ด้วยเกรงว่าจะทำให้ขาดความเลื่อมใสต่อชุมชนจึงบัญญัติสิกขาบท ห้ามภิกษุนอนร่วมกับผู้ที่ไม่ใช่ภิกษุ มิฉะนั้นจะต้องอาบัติปาจิตตีย์(อาบัติที่ทำให้ความดีงานตกไป)
ต่อมา พระพุทธเจ้าได้ย้ายไปประทับที่พทริการามเมืองโกสัมพี ตอนนั้นราหุลยังเป็นสามเณรอยู่ ทำให้ไม่มีภิกษุคนไหนกล้าให้ราหุลนอนร่วมด้วยอีก คืนนั้นสามเณรราหุลหาที่นอนไม่ได้จริงๆจึงไปอาศัยนอนในห้องน้ำของพระพุทธเจ้า เมื่อพระพุทธเจ้าตื่นมาจะเข้าห้องน้ำแต่เช้ามืดกลับเจอพระราหุลนอนอยู่ก็ตกใจ จึงตรัสถามว่า “ดูกรราหุล เหตุไรเธอจึงนอน ณ ที่นี้” เมื่อได้ทราบความจริงจึงแก้บัญญัติ ผ่อนผันให้นอนร่วมกันได้ไม่เกิน 2–3 คืนหากเกินกว่านั้นจะต้องอาบัติปาจิตตีย์
เปโตรผู้หาคนดั่งหาปลา
ขณะที่เดินอยู่ริมชายฝั่งกาลิลี พระเยซูเห็นซีโมนเปโตร(ปีเตอร์)กับอันดรูว์พี่น้องกำลังชักอวนอยู่กับคนอื่นๆ จึงเดินเข้าไปหาและบอกให้นำเรือออกจากฝั่งเพื่อสอนผู้คนที่มารวมตัวกันที่ริมชายฝั่ง จากนั้นจึงให้นำเรือออกไปที่น้ำลึกอีกหน่อยเพื่อหย่อนอวนลงจับปลา เปโตรจึงบอกกับพระเยซูว่า
“พระอาจารย์เจ้าข้า พวกข้าพระองค์ตรากตรำมาทั้งคืนแต่จับปลาไม่ได้เลย แต่เพราะพระองค์ทรงสั่งเช่นนั้น ข้าพระองค์ก็จะหย่อนอวนลง”
ปรากฏว่าพอดึงอวนขึ้นมากลับได้ปลาเยอะมากจนอวนจะขาด เปโตรจึงโบกมือให้เรืออีกลำที่อยู่ใกล้ๆกันมาช่วย ไม่นานเรือสองลำที่มีปลาอยู่เต็มจนล้นเรือก็เริ่มจะจม เปโตรจึงทรุดกราบที่เขาของพระเยซูว่า
“พระองค์เจ้าข้า เสด็จไปจากข้าพระองค์เถิด ข้าพระองค์เป็นคนบาป!”
พระเยซูจึงบอกกับเขาว่า “ไม่ต้องกลัว ต่อไปนี้เจ้าจะไปหาคนแทนที่จะหาปลา”
ลูกา 5:8
เจ้าชายสิทธัตถะเหวี่ยงช้างออกจากพระราชวัง
ตำนานจีนโบราณบันทึกเกี่ยวกับพละกำลังของเจ้าชายสิทธัตถะเมื่อเจริญวัยว่า สามารถเหวี่ยงช้างขนาดใหญ่ลอยข้ามรั้วของพระราชวังทั้ง 7 ชั้นไปจนถึงคูน้ำด้านนอก(จากหนังสือ Buddha and Buddhist Synods in India and Abroad)
ที่จริงตั้งใจจะแปลมาให้อ่านกันแต่ศัพท์ในหนังสือมันยากไป ใครอยากรู้เพิ่มเติมไปหาอ่านเอาเองนะจ๊ะทิ้งชื่อหนังสือเอาไว้ให้แล้ว
ซาโลเม่(Salome)
เจ้าหญิงชาวยิวผู้ที่สามารถร่ายระบำจนเป็นเหตุให้ “ยอห์นผู้ให้บัพติศมา”(John the Baptist) ผู้เผยพระวจนะ ผู้มาก่อนพระเยซู ตามความเชื่อของศาสนาคริสต์ ต้องถูกตัดหัว เรื่องราวของซาโลเม่และยอห์นกลายเป็นบทบันทึกที่สร้างแรงบันดาลใจให้นักเขียนรุ่นต่อมาได้นำมาเขียนอย่างแพร่หลาย
แต่ทว่าในคัมภีร์ไบเบิ้ลกลับไม่มีชื่อของนางปรากฏอยู่เลย มีบันทึกไว้แค่ว่านางเป็นเพียงธิดาที่ติดมาของพระนางเฮโรเดียสเท่านั้น นักประวัติศาสตร์ในสมัยก่อนจึงผูกเรื่องราวกับคัมภีร์ของศาสนายิวซึ่งมีปรากฏในบันทึกว่าลูกสาวของพระนางเฮโรเดียสมีพระนามว่า “ซาโลเม่”
จากบทประพันธ์ของออสการ์ ไวลด์(Oscar Wilde) เรื่อง สะโลเม หรือ ซาโลเม อ้างอิงจากคัมภีร์พันธสัญญาใหม่ในพระวรสารนักบุญมาระโกกับนักบุญมัทธิว กล่าวถึงฉากเด่นฉากหนึ่งที่มีชื่อว่า “ระบำแห่งผืนผ้าทั้งเจ็ด” (Dance of the Seven Veils) ซึ่งเป็นฉากระบำเปลื้องผ้าของซาโลเม่นั้น มีเหตุที่เกิดจาก ยอห์น เดอะ เป็ปติสได้กล่าวประนามกษัตริย์เฮโรด ที่ได้แต่งงานกับพระนางเฮโรเดียสที่เคยเป็นภรรยาของน้องชายตนเองทำให้พระนางเคียดแค้นเกลียดชังนักบุญยอห์นแต่เนื่องจากยอห์นเป็นนักบวชผู้มีชื่อเสียงเป็นที่เคารพนับถืออย่างสูง อีกทั้งกษัตริย์เฮโรดก็ยังเกรงยอห์นอยู่จึงไม่สามารถลงมือปลิดชีพนักบวชผู้เลื่อมใสลงได้ พระนางจึงหาแผนการอันแยบยลเพื่อหาความชอบธรรมในการสังหารยอห์น
แล้วโอกาสก็มาถึง เมื่อกษัตริย์เฮโรดจัดงานเลี้ยงวันเกิดของตนอย่างใหญ่โต พวกข้าราชการชั้นสูง นายทหารชั้นผู้ใหญ่ และคนสำคัญๆ ในกาลิลีก็มางานนี้ด้วย ขณะที่กษัตริย์เฮโรดกำลังประทับอย่างสำราญพระทัยอยู่ในท้องพระโรง ทันใดนั้นเอง เจ้าหญิงซาโลเม่ก็ปรากฏโฉมให้ทุกคนได้ยลกัน
ราวกับถูกมนต์สะกด เหล่าแขกเหรื่อและข้าราชบริพารทั้งหลายไม่อาจละสายตาไปจากเจ้าหญิงและอาภรณ์ของเธอได้ เธอเดินตรงไปหากษัตริย์เฮโรดและกราบทูลว่า
“วันนี้หม่อมฉันจะขอร่ายรำระบำพิเศษให้พระองค์ทรงทอดพระเนตร เพื่อจะได้ทรงพระสำราญยิ่งๆ ขึ้นไปเพคะ”
“หากการเริงระบำครั้งนี้ เป็นที่ถูกพระทัยมากแล้วไซร้ หม่อมฉันขอทูลขอรางวัลซึ่งเป็นสิ่งที่อยู่ในพระราชอำนาจของพระองค์ที่จะประทานได้ ก็ขอให้พิจารณาพระราชทานให้หม่อมฉันด้วยเพคะ”
กษัตริย์เฮโรดที่กำลังตกอยู่ในภวังค์ด้วยความงามของหญิงสาวจึงตอบตกลงทันที
เมื่อการแสดงระบำจบทุกคนถึงกับอ้าปากค้างเพราะเรือนร่างอันงดงามและลีลาการร่ายรำอันทรงเสน่ห์กษัตริย์จึงตรัสต่อนางว่า
“เธออยากได้อะไร ขอมาสิ เราจะให้”
จนถึงขั้นสาบานต่อหน้าแขกว่า
“ไม่ว่าเธอจะขออะไร เราจะให้ทุกอย่าง แม้จะถึงครึ่งอาณาจักรก็จะให้”
นางจึงหันไปหาพระมารดา “ลูกจะขออะไรดีคะ”
เมื่อได้ยินรับสั่งจากพระนางเฮโรเดียสเจ้าหญิงซาโลเม่จึงเอ่ยกับกษัตริย์ว่า
“หม่อมฉันขอศีรษะของท่านยอห์นผู้ให้บัพติศมา….”
สิ้นเสียงของพระนาง ท้องพระโรงก็เงียบราวกับป่าช้า มีเพียงพระนางเฮโรเดียสที่ยิ้มย่องอย่างสมใจ และทันใดนั้นเอง องครักษ์ก็เดินถือถาดเงินออกมาจากคุก พร้อมหัวของยอห์นออกมาให้ซาโลเม่ตามสัญญา
กลโกธา(Golgotha)
กลโกธา หมายถึง “กะโหลก” ในภาษาอาราเมอิค. เป็นชื่อสถานที่ซึ่งพระคริสต์ทรงถูกตรึงกางเขน
บัพติศมา(Baptism)
พิธีบัพติศมา คือพิธีรับเข้าเป็นคริสต์ศาสนิกชน การรับบัพติศมาเป็นสัญลักษณ์ว่าคนคนหนึ่งได้ตายจากชีวิตในอดีตและเริ่มต้นชีวิตใหม่เป็นคริสเตียนที่อุทิศตัวให้พระเจ้าพระเยซูเองก็ทรงรับบัพติศมาจากยอห์นเช่นกัน จากนั้นจึงเริ่มปฏิบัติพระภารกิจของพระองค์
บัพติศมามีทั้งแบบให้จุ่มทั้งตัว ยืน หรือคุกเข่าในน้ำ แล้ว “ผู้ให้บัพติศมา” จะตักน้ำรดลงบน “ผู้รับบัพติศมา”
คริสตจักรบางแห่งทำพิธี “บัพติศมา” ให้ทารก โดยพรมหรือเทน้ำลงบนหัวของทารกแล้วตั้งชื่อให้
พระเยซูเดินทางจากแคว้นกาลิลีมาหายอห์นที่แม่น้ำจอร์แดนเพื่อรับบัพติศมาจากเขา แต่ยอห์นบอกพระเยซูว่า “ท่านจะมารับบัพติศมาจากผมได้ยังไง? ผมต่างหากที่ต้องรับบัพติศมาจากท่าน” พระเยซูตอบว่า “ครั้งนี้ขอให้ทำเถอะ เพราะเราควรจะทำทุกสิ่งที่พระเจ้ากำหนดไว้ให้สำเร็จ” ยอห์นจึงยอมให้บัพติศมาพระเยซู เมื่อรับบัพติศมาแล้ว พระเยซูก็ขึ้นจากน้ำทันที และตอนนั้นเองท้องฟ้าก็เปิดออก และยอห์นเห็นพลังของพระเจ้ารูปร่างเหมือนนกเขาลงมาบนพระเยซู แล้วมีเสียงจากฟ้าว่า “นี่คือลูกรักของเราเราพอใจในตัวเขามาก”