ตอนที่ 23 “ช็อคโกแลต ณ นาทีสุดท้าย”

เชิงอรรถ

พระอานนท์กับความรักของนางโกลิลา

นางโกลิลา เป็นนางทาสที่ไปหลงรัก พระอานนท์ด้วยเหตุแห่งความเป็นผู้มีปิยวาจาอันอ่อนโยนและด้วยกระแสจิตแห่งความเมตตา ที่ไม่ได้แสดงความรังเกียจนางโกกิลาเลยแม้แต่น้อย

ในขณะที่ได้พบกันที่ทางเดิน ท่านได้บิณฑบาตขอน้ำดื่มจากไหที่นางแบกมา ทีแรกนางโกลิลาก็ไม่กล้าตักน้ำให้พระอานนท์ ด้วยว่าตัวเองมีวรรณะนะที่ต่ำต้อยกลัวว่าเป็นเป็นมลทินแก่พระอานนท์ พระอานนท์จึงบอกกับนางว่าตนได้ละยศถาบรรดาศักดิ์ทิ้งไปหมดแล้ว ไม่มีกระทั้งชั้นวรรณะ มีความเป็นมนุษย์เท่ากันกับนาง มลทินและบาปจะมีแก่ผู้มีเมตตากรุณาไม่ได้ นางจึงกระมิดกระเมี้ยนรินน้ำใส่บาตรของพระอานนท์

เมื่อพระอานนท์ได้ดื่มน้ำดับความกระหายแล้วจึงลานางโกลิลามุ่งหน้าสู่เชตวัน เมื่อท่านเดินทางมาได้หน่อยนึงก็รู้สึกเหมือนว่ามีคนเดินตามมาจึงเหลียวไปดู ปรากฏว่าเป็นนางโกลิลานั่นเองที่เดินตามมา พระอานนท์คิดว่าเป็นทางเดียวกันเลยไม่ได้สงสัยอะไร จึงเดินมาเรื่อยๆจนถึงหน้าซุ้มประตูไม่มีทางแยกไปที่อื่นแล้วนอกจากวัด ท่านเหลียวกลับมาอีกก็เจอนางโกลิลา เมื่อถามไถ่ก็พบว่านางตามท่านมาจริงๆพระอานนท์จึงบอกกับนางว่านี่เป็นที่อาศัยของสงฆ์ อย่าได้เข้าไปเลย หากนางไม่มีธุระอะไรจงกลับไปเสีย นางโกลิลาได้ยินดังนั้นจึงบอกกับพระอานนท์ว่า

“ข้าพเจ้าไม่กลับ ข้าพเจ้ารักท่าน ข้าพเจ้าไม่เคยพบใครดีเท่าพระคุณเจ้าเลย”

นางตกหลุมรักพระอานนท์ที่เพิ่งพบกันอย่างหมดหัวใจ แม้พระอานนท์จะบอกว่าตนนั้นอุทิศหัวใจให้กับพระศาสดาและพรหมจรรย์ไปหมดแล้ว เธอก็ดื้อดึงจะขอติดตามให้ท่านรับไว้แม้ในฐานะทาสผู้ซื่อสัตย์ก็ได้ ทั้งสองคนเถียงกันอยู่พักนึง(ที่จริงยาวมาก) พระพทุธเจ้าที่ได้ยินเสียงของพระอานนท์กับสตรีจึงตรัสถามมาจากภายในพระคันธกุฎีว่า “อะไรกันอานนท์?” เมื่อทราบว่านางโกลิลาตามพระอานนท์มาเพราะเหตุใด จึงได้บอกให้พระอานนท์พานางโกลิลามาเข้ามาหาแล้วจึงตรัสว่า

“ภคินี! เธอรักใคร่พอใจในอานนท์หรือ?” นางโกลิลายกมือแค่อกตอบรับตามความจริง พระพุทธเจ้าจึงถามต่อว่าเธอรักอะไรในตัวพระอานนท์

“ข้าพระพุทธเจ้า รักนัยน์ตาพระอานนท์ พระเจ้าข้า” นางโกลิลาตอบ พระพุทธเจ้าจึงสอนนางว่าแท้จริงแล้วดวงตามนุษย์นั้นประกอบด้วยเส้นประสาทและเนื้ออ่อน มีขี้ตาไหลออกมาทำให้ต้องหมั่นคอยเช็ดอยู่เสมอ แก่ไปก็ฝ้าฝางขุ่นมัวไม่แจ่มใส แบบนี้ยังรักนัยน์ตาของพระอานนท์อยู่อีกหรือ นางเอียงอายเล็กน้อย แล้วตอบเลี่งไปว่า

“ถ้าอย่างนั้น ข้าพระองค์รักจมูกอันโด่งงามของพระอานนท์พระเจ้าข้า” พระพุทธองค์ก็บอกอีกว่าภายในจมูกนั้นประกอบด้วยอะไร มีแต่เส้นขนและน้ำมูกส่งกลิ่นเหม็นเป็นก้อนๆ.. แต่ไม่ว่านางจะตอบเลี่ยงไปอย่างไร พระพุทธเจ้าก็สอนให้เห็นว่าความงามที่เห็นภายนอกแท้จริงแล้ว ร่างกายมนุษย์สะสมไว้แต่สิ่งสกปรกทั้งสิ้น

แม้พระพุทธเจ้าตรัสอยู่อย่างนี้ ความรักที่นางมีต่อพระอานนท์ก็ไม่ได้ลดลงไปเลยแม้แต่น้อย ต่อให้นางมองเห็นความเป็นจริงตามที่พระพุทธองค์ตรัสแล้วก็ตาม แต่น้ำหนักมันน้อยเกินไปไม่อาจข่มไฟราคะที่เธอมีต่อพระอานนท์ แต่เมื่อไม่รู้จะต้องทำยังไงต่อไป นางจึงได้แต่ทูลลาพระพุทธเจ้าและพระอานนท์กลับบ้านไปด้วยความสเน่หา

ผู้แปลขอคัดมาให้อ่านเพียงเท่านี้นะครับ เรื่องของพระอานนท์กับนางโกลิลาที่จริงแล้วยาวมากๆและถือว่าเป็นเรื่องที่น่าสนใจเรื่องหนึ่ง จนสุดท้ายแล้วนางโกลิลาก็หาทางกลับมาใกล้ชิดกับพระอานนท์จนได้ ด้วยการบวชเป็นภิกษุณี แต่จนแล้วจนเล่านางก็ปฏิบัติธรรมจนบรรลุเป็นพระอรหันต์ กลายเป็นโกลิลาผู้ประหารกิเลสในท้ายสุด

คิวปิด

เทพอีรอส (Eros) ของกรีก หรือ เทพคิวปิด (Cupid) หรือ เทพอามอร์ (Amor) ของโรมัน ซึ่งเป็นกามเทพ หรือเทพแห่งความรัก ลักษณะที่เราคุ้นเคยก็คือ เทวดาเด็กมีปีกสีขาว ถือธนูคอยยิงศรให้คนเกิดความรักต่อกัน

ตำนานเล่าความเป็นมาของเทพเจ้าองค์นี้ต่างๆ กันไป แต่ส่วนใหญ่ในตำนานการกำเนิดของคิวปิด บอกไว้ว่า เทพีวีนัสหรืออโฟรไดท์ ได้ลักลอบเป็นชู้กับ เทพสงคราม เอรีส จนกระทั่งมีโอรส ให้นามว่า คิวปิด หรือ อีรอส

ตามตำนานแล้ว เทพคิวปิดจะอยู่ใกล้ชิดกับเทพีวีนัสผู้เป็นมารดาอยู่เสมอ ซึ่งอาจเทียบเคียงในเชิง อุปมาอุปไมยได้ว่า เมื่อมีความงาม ก็มักจะตามมาด้วยความใคร่และความรัก

อย่างไรก็ตาม ในตอนแรกนั้น เทพคิวปิดไม่ยอมเติบโตเป็นผู้ใหญ่ตามกาลเวลาที่ผ่านไป ยังคงเป็นเด็กอยู่เสมอ ทำให้เทพีวีนัสเกิดความกังวลใจ จึงไปปรึกษากับเทพีธีมิส เทพีแห่งความยุติธรรมว่า ควรทำอย่างไร คิวปิด จึงจะเติบโตขึ้น เป็นผู้ใหญ่ ก็ได้รับคำตอบว่า ที่คิวปิดไม่ยอมโตเป็นเพราะขาดเพื่อนเล่นแก้เหงา ต่อมาไม่ช้าไม่นาน เทพีวีนัสก็ได้กำเนิดโอรส อีกองค์หนึ่งชื่อ แอนตีรอส (Anteros) ซึ่งมีบิดาคือเทพมาร์ส หรือ เอรีส (อีกแล้ว)

เมื่อมีน้องเป็นเพื่อนเล่น กามเทพคิวปิด จึงเติบโตขึ้น เป็นหนุ่มรูปงาม ส่วนเทพแอนตีรอสนั้นถือกันว่า เป็นเทพที่บันดาลให้เกิดความรักตอบด้วย ตรงนี้ตีความ ได้ว่า ความรักที่ก่อกำเนิดขึ้นนั้นจะบรรลุผล จะต้องได้รับความรักตอบ เมื่อครบทั้งสองทาง ความรักนั้นจึงจะสมบูรณ์

พระเยซูทรงถูกซาตานทดลอง

หลังจากที่ทรงได้รับบัพติศมา พระวิญญาณบริสุทธิ์ทรงนำพระเยซูไป “ถิ่นทุรกันดาร” ทรงถูกมารทดลองเป็นเวลาสี่สิบวัน ระหว่างนั้นพระองค์ไม่ได้เสวยอะไรเลย ซาตานจึงล่อลวงให้พระองค์เสกก้อนหินให้กลายเป็นขนมปัง แต่พระเยซูปฏิเสธโดยยกพระวจนะของพระเจ้ามาว่า

“มนุษย์จะบำรุงชีวิตด้วยอาหารสิ่งเดียวก็หามิได้ แต่มนุษย์จะมีชีวิตอยู่ได้ ด้วยทุกสิ่งที่ออกมาจากพระโอษฐ์ของพระเจ้า”

เมื่อเห็นดังนั้นซาตานจึงนำพระเยซูไปยังยอดหลังคาพระวิหารในกรุงเยรูซาเล็ม และท้าทายให้พระเยซูกระโดดลงไปโดยอ้างพระวจนะบ้าง ว่าหากพระเยซูคือบุตรของพระเจ้าจริง “พระเจ้าจะรับสั่งให้เหล่าทูตสวรรค์ ของพระองค์รักษาท่าน และเหล่าทูตสวรรค์จะเอามือประคองชูท่านไว้ มิให้เท้าของท่านกระทบหิน”

พระเยซูจึงตรัสตอบว่า ‘พระคัมภีร์มีเขียนไว้อีกว่า อย่าทดลองพระองค์ผู้เป็น พระเจ้าของท่าน’

อีกครั้งหนึ่งมารได้นำพระองค์ขึ้นไปบนภูเขาอันสูงยิ่งนัก และได้แสดงบรรดารา ชอาณาจักรในโลก ทั้งความรุ่งเรืองของราชอาณาจักรเหล่านั้นให้พระองค์ทอดพระเนตร แล้วบอกกับพระองค์ว่า

“ถ้าท่านจะกราบลงนมัสการเรา เราจะให้สิ่งทั้งปวงเหล่านี้แก่ท่าน” พระเยซูจึงตรัสตอบว่า “เจ้าซาตาน จงไปเสียให้พ้น เพราะพระคัมภีร์มีเขียนไว้ว่า จงกราบนมัสการพระองค์ผู้เป็นพระเจ้าของท่าน และปรนนิบัติพระองค์แต่ผู้เดียว”

The Temptations of Christ, 12th-century mosaic at St Mark’s Basilica, Venice

การให้ช็อคโกแล็ตในวันวาเลนไทน์

ในวันวาเลนไทน์ที่ประเทศญี่ปุ่น ฝ่ายหญิงนิยมที่จะมอบช็อคโกแลตให้กับฝ่ายชาย เพื่อที่จะสารภาพรักกับคนที่ชอบ หรือแม้แต่มอบความรู้สึกที่ดีต่อเพื่อนร่วมงานที่เป็นผู้ชาย ส่วนผู้ชายจะยังไม่ตอบรับอะไรทั้งนั้น จนกว่าจะถึงวันที่ 14 มีนาคม หรือ “วันไวท์เดย์ (White Day)” ซึ่งเป็นช่วงเวลาที่ฝ่ายชายต้องมอบช็อกโกแลตให้แก่ผู้หญิงเป็นการตอบแทน

โดยการมอบช็อคโกแล็ตแบบต่างๆของชาวญี่ปุ่นก็จะมีดังนี้

Honmei Choco (本命チョコ) อันนี้ตามเป้าหมายของวันวาเลนไทน์เลย คือจะเป็นช็อคโกแลตที่มอบให้กับชายที่ชอบนั่นเอง

Giri Choco (義理チョコ) มีการให้สำหรับคนที่ชอบไปแล้ว อันนี้ก็เป็นการให้ตามมารยาทบ้าง อย่างเช่น หัวหน้าหรือเพื่อนร่วมงาน เพื่อนที่โรงเรียน ฯลฯ เพื่อแสดงความขอบคุณ การให้ช็อคโกแลตแบบนี้ต้องระวังหน่อย เพราะถ้าบอกไม่ชัดเจนว่า “ให้ตามมารยาท” แล้วก็อาจจะเข้าใจผิดเป็น Honmei Choco ไปได้ล่ะ

Tomo Choco (友チョコ) ช็อคโกแลตสำหรับให้เพื่อนผู้หญิงด้วยกัน บางครั้งอาจเรียกล้อว่าเป็น rezu choko ( レズチョコ) พลังสายสีม่วงตรงข้ามกับ Homo choko

--

--

ป๋าจอห์นนี่ เดปป์
สองศาสดาลาพักร้อน

เป็นผู้แปลสองศาสดาลาพักร้อน หรือ Saint Young Men ที่ดองงานมายาวนานกว่า 2 ปี กดติดตาม Follow กันได้ทั้งใน Medium และ https://www.facebook.com/ThaiSaintYoungMen