อ้าว ไม่ใช่เหรอ นี่คือเหตุผลที่คุณควรฝึกงาน
เป็นเรื่องน่าสับสนของเด็กรุ่นใหม่ ที่ว่าคุณไม่สามารถหางานได้ถ้าไม่มีประสบการณ์ แต่คุณไม่สามารถมีประสบการณ์ได้โดยไม่มีงาน เพราะอย่างนี้ เด็กจบใหม่เลยมีทางเลือกแค่ทำใจตกงานหรือไปฝึกงาน ให้พูดตรงๆ ก็คือทำงานฟรีนั้นแหละ
วันฝึกงานใกล้จะหมดแล้ว ไม่ต้องคอยชงกาแฟกับขุดหางานทำอีกต่อไป ถึงอย่างนั้นก็เถอะ ยังไงก็ดีใจที่ได้โอกาสมาฝึกงาน ต่อให้เกรดดีงาม หรือเข้าสังคมเก่งแค่ไหน ก็ไม่อาจช่วยเตรียมความพร้อมสำหรับการทำงานในบริษัทได้หรอก การฝึกงานจึงเป็นจุดเริ่มต้นที่ดี
คุณควรฝึกงาน หาก…
- ไม่เคยฝึกงานมาก่อน
ทั้งนี้ก็ขึ้นอยู่กับหลักสูตรของคุณด้วย อาจจะไม่บังคับให้ฝึกงานช่วงซัมเมอร์ ไม่ใช่เรื่องไม่ดีหรอกนะ ยังไงซะ ซัมเมอร์ก็เหมาะกับการนอนชิลริมชายหาดมากกว่าอยู่แล้วแหละ แต่ CV ที่ไม่มีประสบการณ์ทำงานก็เหมือนกับกระดาษเปล่านั้นแหละ คนสัมภาษณ์นึกภาพสกิลคุณไม่ออก มีเพียงเกรด กับการสัมภาษณ์เป็นตัวตัดสิน ถ้าเคยฝึกงานมาอย่างน้อยคุณก็ได้โชว์ศักยภาพ หรือยกตัวอย่างจากประสบการณ์จริงให้เค้าเห็นว่าเราจะช่วยบริษัทเค้าอย่างไร - ยังพอไหวหากไม่ได้เงินเดือน
มีไม่กี่คนหรอกที่ได้ค่าจ้างตอนฝึกงาน ข้อเสนอแบบนี้มีน้อยมาก แต่การแข่งขันก็สูงเหมือนกัน การฝึกงานคุณต้องมาทำงานตั้ง 5 วันต่อสัปดาห์ ก็น่าเศร้าอยู่ที่ไม่มีแรงจูงใจ ก่อนจะฝึกงานลองคำนวณว่าตัวเองจะอยู่รอดไหมในช่วงระยะเวลานั้นโดยที่ไม่รับค่าจ้าง (ตรงข้ามกับทำงานพาร์ทไทม์) ถ้าเป็นไปได้ก็คุยกับพ่อแม่ หรือผู้ปกครองว่าจะช่วยเรื่องค่าใช้จ่ายได้ไหม ไม่ต้องอายถ้าต้องพูดเรื่องเงินๆ ทองๆ กับนายจ้างเกี่ยวสถานการณ์การเงินก่อนเริ่มฝึกงาน บริษัทอาจจะไม่สามารถจ่ายเงินเดือนให้ได้เต็มๆ แต่อาจจะช่วยเรื่องค่าเดินทาง กับอาหารเป็นค่าตอบแทนเล็กๆ น้อยๆ - คุณยังไม่ลงหลักปักฐานกับงานใดๆ
ไม่แปลกอะไรถ้าเรียนจบแล้วยังลังเล มีการศึกษาว่า 27% ของบัณฑิตในอเมริกาทำงานในสายที่ตัวเองเรียนมา ฝึกงานเป็นที่ให้คุณได้ลองว่าชอบสายนั้นหรือไม่ ในหนังสือไม่ได้บอกเรื่องการเมืองในสายงานนั้น หรือมี manual บอกว่าต้องทำอะไรในแต่ละวัน ไม่เป็นไรหรอกถ้าจะฝึกงานในสายที่ไม่เกี่ยวกับที่เรียนมาอาจจะช่วยหาว่าคุณชอบอื่นก็ได้ ในฐานะที่จบนิติศาสตร์ ฝึกงานด้านกฎหมาย ถึงรู้เลยว่าเป็นทนายไม่ได้สนุกอย่างที่เคยเห็น! - มีระยะเวลาที่แน่นอน
ต้องใช้ทรัพยากรมากมายในการเลือกเด็กฝึกงานทั้ง เวลา บุคลาการที่จะมาสัมภาษณ์ ดังนั้นควรเคารพเค้าหน่อย ถ้าในสัญญาเขียนไว้ว่า ‘ฝึกงาน 3 เดือน’ เค้าก็วางใจว่าคุณจะเป็นพนักงานในช่วงเวลานั้น ควรจะบอกแผนล่วงหน้าของคุณอย่างตรงไปตรง เช่น ขอหยุดฝึกงานก่อน 2 สัปดาห์ เพราะจะไปงานแต่งพี่สาวก็โอเค แต่ถ้ากะทันหัน เพราะไม่อยากตื่น 7 โมง ไม่ใช่เหตุผลที่ดี คุณไม่ได้เป็นเด็กฝึกงานตลอดไปหรอก คุณคงไม่อยากจะทิ้งความรู้สึกไม่ดีกับเพื่อนร่วมงานในอนาคต หรือคนที่ติดต่องาน - ไม่มีอะไรทำ
สิ่งที่คิดถึงที่สุดตอนเรียนคือมีเวลาว่าง ลั้นลาไปเรื่อยๆ เป็นสิ่งมีค่ามาก เสียดายที่ไม่ได้ใส่ใจมากตอนเรียน เพราะเมื่อทำงานคุณจะไม่ได้สิทธิพิเศษนี้แล้ว (วันหยุดขั้นต่ำตามกฎหมายในเอเชียประมาณ 10 วัน) ถ้าโชคดีหน่อยคุณไม่ต้องทำพาร์ทไทม์เลี้ยงตัวเอง พ่อแม่ให้อยู่ฟรีไม่เสียค่าเช่า เพราะฉะนั้นฝึกงานจึงมีค่าและเป็นประสบการณ์ที่ดี ดังนั้นช่วงที่ว่าง 3 เดือนหลังเรียนจบแล้วไปฝึกงาน ยังไงก็ฟังดูดีกว่านั่งเล่นเกมอยู่บ้านนั้นแหละ
เวลาผ่านไปเร็วอย่างโกหก จากที่เคยเป็นเด็กฝึกงานจนได้มาเป็นคนสัมภาษณ์ เต็มที่กับเส้นทางนี้ แล้วมาดูกันว่าไปถึงไหนกัน สัญญาว่ามันจะพาไปไกลกว่าที่คิดเลยล่ะ
กำลังหาที่ฝึกงานงั้นเหรอ ทำไมไม่มาฝึกกับเราล่ะ สร้างโปรไฟล์ใน Getlinks แล้วเป็นส่วนหนึ่งกับ tech talent แนวหน้าของเอเชีย