3 ขั้นตอนกระตุ้นให้เด็ก ๆ กล้าพูดภาษาอังกฤษในห้องเรียน
“เวลาโดนครูเรียกให้พูด รู้สึกเหมือนสปอร์ตไลท์ส่องเลย ตอนนั่งฟังเฉย ๆ น่ะพอเข้าใจ แต่พอต้องพูดเมื่อไหร่มันคิดไม่ออก เพื่อนก็จ้อง กลัวพูดผิด ลนไปหมด กลัวครูดุ กลัวโดนแก้ น่าอาย“
ตัวอย่างความคิดข้างบน คือ ความคิดของนักเรียนที่มี “Affective Filter” สูงมากจนเป็นอุปสรรคในการเรียนภาษา ซึ่งไม่ได้เกี่ยวข้องกับระดับ “ความรู้” ของนักเรียนเลย แต่เวลาที่นักเรียนประหม่า บรรยากาศห้องเรียนไม่เอื้อต่างหากที่ทำให้การเค้นดึงความรู้ที่มีออกมาเป็นคำพูดนั้นยากมาก ๆ
ให้อธิบายง่าย ๆ Affective Filter คือตัวกรองคั่นกลาง ยิ่งนักเรียนวิตกกังวลมากเท่าไหร่ ฟิลเตอร์ก็ยิ่งหนา อินพุต (Input) ยิ่งผ่านเข้ามายาก ถึงนักเรียนจะได้ยินสิ่งที่ครูสอน เข้าประสาทการรับรู้ แต่ฟิลเตอร์กั้นอินพุตส่วนใหญ่ไม่ให้ถึงตัว “เรียนรู้” ได้ (Krashen, 1982)
ทฤษฎี Affective Filter Hypothesis แบบต้นฉบับ เจาะจงไปที่อินพุต (Input) การรับความรู้เข้าไปมากกว่า ส่วนการพูดการเขียนที่เป็นเอ้าท์พุต (Output หรือ Production) จะมีอีกตัวกั้นหนึ่งที่เรียกว่าการ Monitor อย่างไรก็ตาม เราก็เห็นด้วยกับการตีความ Affective Filter ให้ครอบคลุมการเรียนภาษาโดยรวมมากกว่า และในฐานะครู ลักษณะของนักเรียนที่มี Affective Filter สูงนั้นสังเกตได้ง่าย เราจำเป็นต้องช่วยลดฟิลเตอร์นี้เพื่อให้การเรียนมีประสิทธิภาพมากที่สุด
เมื่อ Affective Filter สูง นักเรียนจะรู้สึก Self-conscious มากกว่าปกติ ลักษณะที่แสดงออกคือ นักเรียนกังวล ประหม่า อาย ลังเลที่จะเข้าร่วมกิจกรรมต่าง ๆ ไม่อยากเป็นจุดสนใจ (Ely, 1986) เหมือนถูกผลักไปกลางเวทีพร้อมสปอร์ตไลท์ส่องโดยที่ไม่เต็มใจหรือไม่ทันตั้งตัว
อีกแง่หนึ่ง เราอาจจะบอกว่าเด็ก ๆ รู้สึก “ไม่ปลอดภัย” และไม่อยาก “เสี่ยง” ทำกิจกรรมที่เราสั่ง เช่น ไม่อยากเสี่ยงพูดหน้าห้อง ไม่อยากเสี่ยงตอบถ้าไม่รู้เฉลย ไม่อยากเสี่ยงเอาตัวเองไปอยู่ในสถานการณ์ที่ทำให้อับอายได้
ปัจจัยที่ส่งผลกับ Affective Filter มี 2 ด้านใหญ่ ๆ คือ ด้านทัศนคติของตัวผู้เรียน และด้านสภาพแวดล้อม
ด้านทัศนคติ ครูอาจจะเปลี่ยนแปลงไม่ได้ทั้งหมด 100% แต่สามารถตั้งเป็นเกณฑ์ในการจัดกลุ่มผู้เรียน หรือออกแบบบทเรียนได้ เช่น
- Age: อายุของผู้เรียน เป็นอันรู้กันอยู่แล้วว่าเด็กเล็กกล้าเล่นกล้าพูดมากกว่าเด็กโต อีกประเด็นที่น่าสนใจคือ นอกจากเด็กโตหรือผู้ใหญ่จะกังวลมากกว่าแล้ว ยังมีวัฒนธรรมร่วมของเอเชียใต้ที่เรียกว่า Saving Face หรือ การรักษาหน้า เข้ามาเอี่ยว เช่น นักเรียนอาจกลัวการ “เสียหน้า” เวลาแสดงความคิดเห็นในห้องเรียน
- Language Exposure: เด็กที่คุ้นเคยกับ Target Language จะรู้สึก Relax กว่าเด็กที่ไม่ค่อยได้มีโอกาสใช้ภาษานั้น ๆ อีกนัยนึง เด็กที่คุ้นเคยกับภาษานั้น ๆ จะสะสมตัวอย่างการใช้ภาษามากพอ ทำให้พวกเขากล้าพูดมากขึ้น
ในด้านสภาพแวดล้อม เราสามารถลด Affective Filter ได้โดยการจัดบรรยากาศห้องเรียนให้เป็น Mistake-friendly space เป็นพื้นที่ที่ให้เด็ก ๆ ได้กล้าฝึกพูดจริง ๆ สนับสนุนนักเรียนให้เป็น “Risk-taker” ยอมเสี่ยงพูดผิดเพื่อการเรียนรู้
ขั้นตอนต่อไปนี้จะเป็นเชิงปฎิบัติ ถ้าอยากเข้าใจคอนเซ็ปต์เพื่อที่จะเข้าใจเป้าหมายของแต่ละขั้นตอนได้ดีขึ้น เราแนะนำให้อ่านบทความ เทคนิคลด Learner’s Anxiety เพิ่มเติมนะ
เริ่มกันที่
ขั้นตอนที่ 1 นิยามบทบาทครูให้เป็น Guide ไม่ใช่ Judge
ครูต้องขีดเส้นชัดเจนว่า ครูมาในฐานะคนสอน คนถ่ายทอดเนื้อหา ไม่ใช่มานั่งจับผิด รอยยิ้มกว้าง ๆ และภาษากายสำคัญมาก เปลี่ยนจากการชี้นิ้วเป็นผายมือ สบตาตั้งใจฟังเด็ก ๆ นอกจากนี้จะเป็นเรื่อง…
- Take a part: เล่นไปด้วยกัน ทำกิจกรรมด้วยกัน เป็นสมาชิกคนหนึ่งของกลุ่มเรียนนั้น ๆ ครูจะต้องไม่วางตัวเป็นผู้คุมเกม ทว่าอาจจะมีส่วนร่วมไปกับนักเรียนด้วย หากกิจกรรมนั้นครูเป็นส่วนหนึ่งไม่ได้ กฎกติกาก็ควรจะโอนอ่อนไปตามพฤติกรรมและความสามารถเด็ก ๆ บ้าง ไม่เข้มงวดเกินไป ให้เด็กรู้สึกว่า “ครูเข้าถึงได้”
- Willing to look silly sometimes: ครูไม่จำเป็นต้องเคร่งครึม ลองแสดงมุมตลก ๆ เซ่อ ๆ ซ่า ๆบ้างก็ได้ อย่างแต่งตัวตามธีมแต่ละวัน ตกแต่งสไลด์แบบมีลูกเล่น เสริมอุปกรณ์อย่างไม้ชี้กระดานและที่คาดผมน่ารัก ๆ ก็ทำให้บรรยายกาศสดใสได้
คำถามถัดมาคือ แล้วถ้าครูพื้นฐานเป็นคนขี้อายไม่ชอบเล่นมุกจะทำยังไง อันที่จริง คีย์เวิร์ดหลักนั้นหมายถึงครูต้องทำให้เด็กรู้สึกว่าห้องเรียนเป็นสถานที่ “Mistake friendly” ต่างหาก เป็นพื้นที่ที่การพูดผิดไม่ใช่เรื่องแย่ ครูเองก็ขำ ๆ ไปกับมันได้ ดังนั้นครูไม่จำเป็นต้องยิงมุกตลอด แค่ให้นักเรียนเห็นมุมสบาย ๆ ของครูบ้างก็เพียงพอแล้ว เพราะเด็ก ๆ จะเป็นคนเสาะหาเรื่องน่ารัก ๆ ตลก ๆ เข้ามาในห้องเรียนเอง เด็ก ๆ เก่งเรื่องนี้อยู่แล้ว :)
- No overcorrection: อย่าจับผิดไล่แก้ไปซะทุกประโยค ให้ Feedback เท่าที่จำเป็นก็พอ เรื่องมหัศจรรย์อีกอย่างของการเรียนภาษาคือเมื่อเด็ก ๆ ได้ Expose กับภาษาที่เรียนมากพอ เขาจะเริ่ม correct ตัวเองได้ ดังนั้นหน้าที่ของครูคือค่อย ๆ แก้ให้เขาทีละน้อย ตามที่เขาพอรับไหว
Feedback ส่งผลกระทบกับแรงจูงใจ (Motivation) ในการเรียน ถ้า Feedback ในด้านดีจะช่วยให้เด็กวิตกกังวลน้อยลงได้ เด็กส่วนใหญ่จะรู้สึกมั่นใจมากขึ้น รู้สึกมีกำลังใจมากขึ้นหลังจากได้ Feedback ดี ๆ มีแค่ส่วนน้อยเท่านั้นที่รู้สึกกดดัน ดังนั้นครูต้องมี Feedback ให้นักเรียนเสมอ และถ้าเป็นไปได้ ควรเจาะจงด้วยว่านักเรียนทำได้ดีตรงไหน เช่น Excellent! You can pronounce this word very clearly. เป็นต้น (Di Loreto et al, 2014)
ส่วน Corrective Feedback หรือการแก้คำผิดที่แนะนำสำหรับนักเรียน Affective Filter (*สำหรับเด็กที่กลัวการทำให้รู้สึกอาย หรือกลัวการบอกว่าเขาพูดผิดตรง ๆ ต่อหน้า) ได้แก่ Recast และ Elicitation
- Recast: เมื่อเด็กพูดผิด ให้ครูทวนคำเริ่มแล้วเว้นจังหวะให้เด็กคิดว่าตัวเองพูดอะไรผิดไปและจะแก้ไขยังไง เช่นนักเรียน: “I go to the market yesterday.”
ครู: “Yesterday? I….(ลากเสียง เว้นจังหวะ)”
นักเรียน: “I…went to the market yesterday.”
ครู: “Very good. So, you went to the market yesterday.”
- Elicitation: หมายถึงการทวนประโยคใหม่โดยที่เน้นเสียงคำที่นักเรียนพูดผิดโดยไม่ต้องชี้ตรง ๆ ว่าเขาพูดผิดตรงไหน
นักเรียน: “I go to the market yesterday.”
ครู: “You went (เน้นเสียง) to the market yesterday?”
นักเรียน: “Yes, I went to the market yesterday.”
ข้อดีของ Recast และ Elicitation คือการไม่ชี้จุดผิดให้เด่นชัดเกินไป ให้เด็กสังเกตจากจังหวะการพูดของครูและแก้ไขซ้ำด้วยตัวเอง เหมาะกับเด็กที่ Affective Filter สูงเพราะเด็กแบบนี้มักกลัวการถูกชี้ตรง ๆ ว่าตัวเองพูดผิด อย่างไรก็ตาม วิธีการแก้ไขคำผิดขึ้นอยู่กับบุคลิกของนักเรียน นักเรียนอาจจะอยากได้ Feedback ไม่เหมือนกัน ครูต้องอาศัยการสังเกตและประสบการณ์พอควรเลย
*เราเคยเขียนเรื่องความสัมพันธ์ของการได้ Make mistakes กับการเรียนรู้ไว้ในมุมมองของผู้เรียนด้วย ไปอ่านได้นะ
ขั้นตอนที่ 2 จับกลุ่มนักเรียน ให้นักเรียนไม่รู้สึกว่าตัวเองเป็นจุดสนใจหนึ่งเดียว
เมื่อเด็กไม่มั่นใจในตัวเอง เขาต้องพึ่งพาความมั่นใจจากครูและกลุ่มเพื่อน (Wang, 2020) นอกจากนี้ เด็ก ๆ จะกล้าถามมากขึ้นเมื่ออยู่เป็นกลุ่ม เด็ก ๆ มีแรงจูงใจมากขึ้น (Motivation) เรียนรู้วิธีการพูดจากเพื่อนที่เก่งกว่า เรียนรู้การโต้ตอบภายในกลุ่มกันเอง เรียนรู้จากทำงานเป็นทีม และช่วยให้บรรยากาศการเรียนดีขึ้นได้ (Meng, 2009)
อย่างไรก็ตาม ขั้นตอนการจับกลุ่มให้นักเรียนเป็นขั้นตอนที่ท้าทายและต้องอาศัยประสบการณ์พอสมควร ถ้าครูจัดกลุ่มไม่ดีอาจเป็นการทำร้ายข้อดีที่กล่าวมาทั้งหมดได้เลย ครูต้องดูความเหมาะสมของกิจกรรมที่เลือกเป็นหลัก การจับกลุ่มนักเรียนมีหลายแบบ จับเป็นกลุ่มเล็ก จับเป็นคู่ จับเป็นกลุ่มใหญ่ จับตามระดับความสามารถให้อยู่ระดับเดียวกันหรือคละระดับเพื่อให้นักเรียนได้ช่วยเหลือกัน หรือจับตามความสนิท ให้เด็กอยู่กับเพื่อนที่สนิทกัน เป็นต้น
เอ๊ะ…แล้วการให้จับกลุ่มไม่เท่ากับว่า นักเรียนจะได้พูดน้อยลงเหรอ เด็กอาจจะให้เพื่อนที่พูดเก่งกว่าพูดอยู่คนเดียวก็ได้ จริง ๆ แล้วการกระจายหน้าที่ในกลุ่มขึ้นอยู่กับกิจกรรมที่ครูเลือก ดังนั้นการจับกลุ่มไม่มีผลกับการได้ฝึกพูดของนักเรียนมากขนาดนั้น หรือหากมี ก็คุ้มค่าพอ เพราะเป้าหมายหลักของเราคือให้นักเรียนรู้สึก Comfortable ก่อนเพื่อสร้างความมั่นใจเป็นลำดับต่อมา
ขั้นตอนที่ 3 เสริมเนื้อหาด้วยกิจกรรมและกฎ 80:20
หมดยุคการนั่งเรียนนิ่ง ๆ และยกมือตอบคำถามแล้ว! ครูต้องฝึกลองใช้กฎ 80:20 ในห้องเรียนบ้าง คือใช้เวลาสอนเนื้อหาใหม่ 20% และเวลาที่เหลือ 80% สำหรับฝึกสิ่งที่เรียนมา
กิจกรรมสำหรับ 80% จะเป็นเกมหรือแบบฝึกหัดก็ได้ ตามความเหมาะสมของบทเรียนและลักษณะกลุ่ม เช่น จับคู่ลองเขียน Role-play มาให้ครูฟัง กระซิบประโยคภาษาอังกฤษส่งต่อจากต้นแถวไปปลายแถว (ครูจะเล่นด้วยก็ได้นะ) ฝึกบรรยายรูปภาพ เล่นทายคำศัพท์ ตอบคำถามจากเรื่องที่ฟัง เป็นต้น ไม่ว่าจะเลือกกิจกรรมอะไร กิจกรรมต้องกินเวลาส่วนใหญ่ของคลาส และมีส่วนที่ให้นักเรียนได้สื่อสารเป็นภาษาอังกฤษ
สุดท้ายแล้ว บทบาทครูในห้องเรียนอาจจะทำให้เด็ก ๆ สื่อสารภาษาอังกฤษคล่องแคล่วได้ยาก แต่ครูสามารถสร้างความมั่นใจ ลด Affective Filter ให้เด็ก ๆ ได้ด้วยการจัดบรรยากาศการเรียนและกิจกรรมที่เหมาะสม เพื่อให้มั่นใจได้ว่า นักเรียนจะกลัวการสื่อสารภาษาอังกฤษน้อยลงจนกล้าฝึกฝนใช้งานนอกห้องเรียนได้ในอนาคต
ขอให้คุณครูทุกคน สนุกกับการเรียนรู้ไปพร้อมกับเด็ก ๆ นะ :D
Reference
Di Loreto, S., & McDonough, K. (2014). The relationship between instructor feedback and ESL student anxiety. TESL Canada Journal, 31(1), 20. https://doi.org/10.18806/tesl.v31i1.1165
Ely, C. M. (1986). An analysis of discomfort, risktaking, sociability, and motivation in the L2 classroom. Language Learning, 36(1), 1–25. https://doi.org/10.1111/j.1467-1770.1986.tb00366.x
Erdiana, N., Daud, B., Sari, D. F., & Dwitami, S. K. (2020). A study of anxiety experienced by EFL students in speaking performance. Studies in English Language and Education, 7(2), 334–346. https://doi.org/10.24815/siele.v7i2.16768
Figueroa, R. (2019, May 28). Is the Affective Filter Blocking Instruction? Ensemble Learning. Retrieved April 6, 2022, from https://ensemblelearning.org/is-the-affective-filter-blocking-instruction/
Krashen, S. D. (1982). Principles and practice in Second language acquisition. Pergamon Press.
Meng, F. (2009). Encourage learners in the large class to speak English in group work. English Language Teaching, 2(3). https://doi.org/10.5539/elt.v2n3p219
Wang, L. (2020). Application of affective filter hypothesis in junior English vocabulary teaching. Journal of Language Teaching and Research, 11(6), 983. https://doi.org/10.17507/jltr.1106.16