Internship Life @Health at Home ความทรงจำ/ประสบการณ์/เล่าสู่กันฟัง

Nattanai Na Songkhla
Human Of Health At Home
4 min readJan 7, 2020

บทนำ

สวัสดีครับ ผมชื่อแพ็คนะครับ ปัจจุบันเป็นนิสิตคณะวิศวกรรมศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย สาขาคอมพิวเตอร์ชั้นปีที่ 4 ต้องบอกก่อนว่าผมไม่เคยเขียนอะไรแบบนี้มาก่อนเลยซึ่งนี่ก็เป็นงานเขียนครั้งแรก ถ้ามีลำดับหรือสำนวนอะไรที่แปลก ๆ ไปก็ขออภัยไว้ล่วงหน้าเลยนะครับ 55555

โดยวันนี้ก็จะมาเล่าเกี่ยวกับชีวิตฝึกงานของผมในช่วงปิดเทอม summer ที่ผ่านมาโดยผมได้มีโอกาสไปฝึกงานที่บริษัท Start Up แห่งนึงชื่อว่า Health at Home ซึ่งเป็นบริษัทที่ก่อนหน้านั้นไม่เคยได้ยินชื่อด้วยซ้ำแต่เมื่อฝึกงานจบกลับมามุมมองของผมก็เปลี่ยนไปมากมาย แต่จะเป็นยังไงนั้น รอติดตามได้เลยครับ :)

//สำหรับคนที่กำลังอ่านอยู่นั้นคงสงสัยว่าบริษัท Health at Home คือบริษัทเกี่ยวกับอะไร ก็สามารถเข้าไปอ่านเพิ่มเติมได้ที่ https://healthathome.in.th (แอบขายสะหน่อย 5555) ก็หลังจากนี้จะขอเรียกชื่อบริษัทแทนว่า HaH แทนละกันนะครับเพื่อความสะดวกในการเขียน

ก็ผมจะขอแบ่งเนื้อหาของการฝึกงานออกเป็น 2 Part ใหญ่ ๆ นะครับก็คือ
1. Internship Overview (บทความนี้)
2. Internship Experience as an UX (to be continue …)

การสัมภาษณ์เข้าฝึกงาน

กลับเข้าเรื่องของเราดีกว่าก็ในช่วงที่ผมกำลังเรียนอยู่ในระดับชั้นปีที่ 3 นั้นก็เป็นช่วงเวลาที่นิสิตของคณะวิศวฯ จะเริ่มหาสถานที่ฝึกงานด้วยจุดประสงค์ที่หลากหลายและแตกต่างกันไป โดยผมเองก็เป็นนิสิตคนนึงที่กำลังหาที่ฝึกงานอยู่โดยในตอนนั้นผมมีความคิดว่าอยากจะได้ที่ฝึกงานที่เปิดโอกาสให้เราได้ลองทำในสิ่งที่เราสนใจและมีพื้นที่ให้ได้ทำจริง ๆ ไม่ใช่นั่งไปวัน ๆ ในช่วงนั้นผมก็ได้มีโอกาสยื่น resume ฝึกงานไปหลายที่มีทั้งที่ได้บ้างและไม่ได้บ้าง และผมก็ได้มีโอกาสปรึกษากับรุ่นพี่คนนึงที่รู้จักและเค้าก็แนะนำที่นี่มาเพราะพี่เค้าทำงานอยู่และบอกว่าที่นี่ดีนะ แล้วเค้ากำลังต้องการคนมาช่วยในตำแหน่งนี้พอดี ซึ่งตำแหน่งนั้นก็คือ User Experience หรือที่รู้จักกันอย่างคุ้นหูว่า UX ซึ่งเป็นสายงานนึงที่ผมมีความสนใจและอยากจะลองทำดูสักครั้งจึงตัดสินใจยื่นสมัครไปและได้มีโอกาสไปสัมภาษณ์ สิ่งหนึ่งที่ผมประทับใจมากในการสัมภาษณ์ก็คือ พี่ ๆ ที่เข้ามาสัมภาษณ์ หนึ่งในนั้นก็คือพี่หมอตั้ม CEO ของ HaH ที่มักจะถามเสมอว่า

“ จริง ๆ แล้วเราอยากจะทำอะไร เพราะในแต่ละ phase ของบริษัทก็จะมีงานที่แตกต่างกันไป จึงต้องถามเพื่อความแน่ใจจะได้ไม่มานั่งเฉย ๆ โดยไม่ได้อะไรกลับไป เพราะในช่วงนั้นไม่มีงานตรงกับความสนใจของเรา หรือได้ทำในสิ่งที่เราไม่อยากทำ ไหน ๆ ก็มาแล้วก็อยากจะให้เรียนรู้ให้ได้มากที่สุด ”

ตรงจุดนี้เองที่ทำให้ผมรู้สึกว่าถ้าเรามาฝึกงานที่นี่น่าจะได้อะไรกลับไปแน่ ๆ และหลังจากผ่านการสัมภาษณ์ในรอบแรกก็ได้มีการเรียกมาสัมภาษณ์อีกครั้งกับพี่ OJ ซึ่งเป็น Product Manager บรรยากาศการสัมภาษณ์ในครั้งนี้ก็เป็นไปแบบ casual กว่ารอบแรกซึ่งจะเป็นการคุยชี้แจงเกี่ยวกับ Job Description และงานที่ต้องทำคร่าว ๆ เพื่อ recheck อีกรอบว่าเราสนใจที่จะมาฝึกในตำแหน่งนี้จริง ๆ ใช่มั้ย ซึ่งผมก็ฟังและคิดว่าน่าสนใจและตรงกับที่เราอยากลองอยู่พอดี จนในที่สุดก็ได้มาฝึกงานที่นี่ :)

การฝึกงาน

ผมได้ฝึกงานเป็นเวลา 2 เดือน (04/06/2019–02/08/2019) โดยในการฝึกงานครั้งนี้มีเด็กฝึกงานทั้งหมด 5 คนในบริษัทและกระจายอยู่ใน 3 ทีมโดยผมอยู่ใน Tech Team แต่ทำในตำแหน่ง UX ส่วนอีกสองคนเป็น Dev ครับ และนอกจากเด็กฝึกงาน 5 คนแล้วยังมีพี่ที่พึ่งเรียนจบและเริ่มงานพร้อมกับพวกผมและอยู่ในทีมเดียวกันจนเหมือนเป็นเด็กฝึกงานอีกคนเลยแหละ เพราะเริ่มเรียนรู้งานไปพร้อม ๆ กัน และที่สำคัญคือเค้าทำ UX เหมือนผมครับก็บอกตรง ๆ เลยว่าถ้าไม่มีพี่เค้าคอยช่วยหลาย ๆ อย่างผมคงจะเหงามากเพราะคงคุยเรื่องงานกับใครไม่ได้ 555555 แต่มากไปกว่านั้น 1 ในเด็กที่มาฝึกงานนั้นมีคนสิงคโปร์ด้วย !! (แต่เค้าฝึกในส่วนของ BA) ซึ่งความสนุกมันก็เริ่มขึ้นตรงนี้แหละครับภาษาอังกฤษที่เราร่ำเรียนมาจะได้ใช้ก็ตอนนี้แหละ !!

บรรยากาศสถานที่ทำงาน

วันแรกของการฝึกงาน (First Orientation)

การฝึกงานของที่นี่ก็เหมือนกับอีกหลาย ๆ ที่แหละครับเริ่มต้นด้วยการ Orientation บรรยายข้อมูลเกี่ยวกับบริษัทว่าเริ่มต้นจากอะไร มี goal คืออะไรและอื่น ๆ อีกมากมายแต่ความพิเศษอยู่ที่วันนั้นพี่ตั้มได้ให้พวกเราเขียนว่าอยากจะได้อะไรจากการฝึกงานในครั้งนี้ เรียกว่าเป็น Internship Goal ละกันซึ่งผมก็ได้เขียนไปหลายอย่าง หลังจากนั้นก็แยกกันไปตามฝ่ายและคุยกับพี่ที่ดูแลซึ่งในทีมของผมนั้น ก็จะคุยรวม ๆ ใน Tech Team ก่อนแล้วจึงแยกไปคุยของทีม UX อีกทีก็เป็นบรรยากาศที่แปลกใหม่ไปอีกแบบเนื่องจากทีม Tech ที่นี่ค่อนข้างเล็กจึงใช้รูปแบบการทำงานแบบ Agile Scrum ซึ่งบอกเลยว่าพึ่งเรียนจบมาหมาด ๆ ได้ใช้เต็ม ๆ 555555 (ex. Stand up meeting, Sprint Retrospective) และในวันแรกของการฝึกงานพี่ตั้มก็ได้ให้ภารกิจมา 3 อย่างในการมาเป็นเด็กฝึกงานนั่นก็คือ
1. แนะนำตัวใน Town Hall
2. เข้าร่วมกิจกรรมวันเสาร์อย่างน้อย 1 ครั้ง
3. การเขียนบทความ หรือก็คือสิ่งนี้นั่นเองเรียกได้ว่าเป็นการ Reflect ชีวิตฝึกงานของเราออกมาละกัน 5555

ชีวิตการทำงานทั่ว ๆ ไป

เนื่องจากผมอยู่ใน Tech Team และใช้ระบบการทำงานรูปแบบ Agile สิ่งที่ตามมานั่นก็คือการทำงานในรูปแบบของ Product Base ซึ่งก็คือการดูที่ผลลัพธ์ตามเวลาที่วางแผนไว้ทำให้เรื่องเวลาการทำงานใน office เป็นสิ่งที่ไม่ได้ซีเรียสมากแต่จะต้องเข้า daily meeting ทุกวันให้ทันตามเวลาที่นัดหมาย ซึ่งเป็นสิ่งนึงที่ผมค่อนข้างประทับใจเนื่องจากทำให้เราไม่รู้สึกว่าการทำงานนั้นเป็นงาน routine เข้าออกงานตามเวลา (โดยส่วนมากผมจะเข้างานประมาณ 10 โมงและออกงานประมาณ 6 โมงเย็น) แต่ในอีกแง่หนึ่งการทำงานแบบนี้เป็นสิ่งนึงที่ค่อนข้าง challenge ผมมาก ๆ เหมือนกันเนื่องจากในช่วงปิดเทอมนั้นนอกจากการฝึกงานแล้วผมยังต้องเตรียมงานอื่น ๆ ของคณะฯ ในนามของกวศ. อีกด้วยทำให้ต้องแบ่งเวลาให้ดีเป็นอย่างมากเนื่องจากงานทุกชิ้นก็มีเวลาของมัน เราก็มีเวลาจำกัดเพราะฉะนั้นก็ต้องพยายามจัดการเวลาให้ดีที่สุด ซึ่งท้ายที่สุดแล้วผมก็ผ่านมันมาได้ TwT (ก็ยอมรับว่ามีบางช่วงที่เหนื่อยมาก ๆ เพราะงานถึงกำหนดทั้งสองฝั่งแต่เรายังไม่เสร็จดีทั้งคู่) แต่โดยรวมแล้วก็ถือว่าผ่านมาได้ด้วยดี (แม้จะเลทนิด ๆ บางชิ้นก็ตาม 5555)

วัน ๆ ของผมก็อยู่กับสิ่งเหล่านี้แหละครับ 55555

ชีวิตการกินอยู่

ต้องบอกก่อนว่า HaH เนี่ยในตอนนั้นตั้งอยู่ที่ Hangar ชั้น 2 อาคารจามจุรีแสควร์ ซึ่งเรียกได้ว่าใกล้ จุฬาฯ มาก !! แต่ปัจจุบันย้ายไปอยู่ที่สามย่านมิตรทาวน์ (ไกลขึ้นตั้งเยอะแหนะ) แต่นั่นไม่ใช่สาระสำคัญ 55555 แต่จริง ๆ ก็สำคัญแหละครับ เพราะว่าทุกเช้า เที่ยง เย็น การกินข้าวนั้นก็จะวนเวียนอยู่กับร้านอาหารในจามจุรีสแควร์และโรงอาหารในมหาลัย ซึ่งบอกเลยว่าไม่ต่างกับชีวิตเปิดเทอมเลยครับแค่ย้ายจากโรงอาหารวิศวฯ มาเป็นโรงอาหารมหิตฯ TwT แต่ก็ถือว่าประหยัดค่าอาหารไปได้เยอะเลยครับ (พูดทั้งน้ำตา 5555) แต่นั่นก็ไม่ใช่ประเด็นอีก 5555 ก็ในระหว่างการทำงานพี่ ๆ ในบ. ก็มักจะซื้อขนมมากมายมาแจก เรียกว่าเยอะจนล้นโต้ะ 55555 ทำให้ค่อนข้างเพลินเพลินกับการทำงานจนน้ำหนักเกือบขึ้นกันเลยทีเดียว มากไปกว่านั้นเรายังมีการเปิดตี้บ้างประปราย เป็นการกระชับความสัมพันธ์ภายในทีม ซึ่งส่วนมากจะเป็นตี้กิน 55555 และบอร์ดเกม ก็เป็นอีกหนึ่งสีสันที่ช่วยเติมเต็มให้ชีวิตฝึกงานของเราสนุกขึ้น และไม่น่าเบื่อ :D

Town Hall

จะไม่พูดถึงสิ่งนี้ก็คงไม่ได้ เรียกได้ว่าเป็นกิจกรรมที่เกิดขึ้นทุกวันจันทร์ โดยเป็นกิจกรรมที่ผมรู้สึกชอบมาก ๆ และเรียกได้ว่าเป็นกิจกรรมที่อบอุ่นสุด ๆ กิจกรรมนึงเลยทีเดียว โดยกิจกรรมนี้จะเป็นกิจกรรมที่ทั้งบริษัทจะมากินข้าวร่วมกัน ได้คุยกันระหว่างกินข้าว ซึ่งเป็นโอกาสที่ไม่ได้เกิดขึ้นง่าย ๆ หากไม่มีกิจกรรมนี้เนื่องจากตอนกลางวันต่างคนก็ต่างจะจัดการเวลาพักของตัวเองทำให้ไม่ค่อยได้ไปกินร่วม ๆ กันเป็นกลุ่มใหญ่สักเท่าไหร่ แต่ความกิจกรรมนี้ทำให้ผมได้มีโอกาสคุยกับพี่จากฝ่ายอื่น ๆ และรวมถึง Razz หนุ่มสิงค์โปร์ผู้มาฝึกงานกับเรา แรก ๆ ผมก็ค่อนข้าง Awkward มาก ๆ เพราะไม่ค่อยมั่นใจในภาษาของตัวเองเท่าไหร่ 5555 แต่พี่ Razz เค้าก็ดูพยายามที่จะเข้าใจทำให้พอจะคุยกันได้ ซึ่ง Topic ส่วนมากจะเป็นการถามว่ามีที่ไหนน่าเที่ยวบ้าง ซึ่งไอเราก็เป็นคนที่ไม่ค่อยได้เที่ยวในกทม.สะด้วยนี่สิก็พยายามพูดคุยไปเรื่อย ๆ แอบโบ้ยไปให้พี่คนอื่นบ้าง หรือให้เพื่อนคุยบ้างก็มี นอกจากเรื่องเที่ยวพี่แกก็อยากหาเพื่อนเล่นกีฬา แต่ไอเราเนี่ยก็ดันไม่ใช่สายกีฬาสะอีก (ร้องไห้แล้ว ขอโทษนะ Raz 5555) กลับมาสู่ Town Hall ของเราดีกว่านอกจากการกินข้าวพร้อมหน้าแล้วเนี่ยช่วงเวลาต่อมาก็คือการ update OKR ของบริษัทและของแต่ละฝ่าย ซึ่งเป็นกิจกรรมที่ทำให้เราได้เห็นความเป็นไปของสิ่งที่กำลังเกิดขึ้นในบริษัทผ่านตัวเลขที่วัดผลจริง สิ่งนี้เองที่เป็นความสนุกว่าเป้าหมายที่เราตั้งไว้เนี่ยใกล้จะสำเร็จรึยัง และกิจกรรมสุดท้ายก็คือการ Talk เป็นกิจกรรมง่าย ๆ แต่ได้เห็นอะไรหลาย ๆ อย่างเรียกว่าเป็นการ sharing ให้เพื่อน ๆ ฟังละกันครับโดยหัวข้อในการออกมา talk เนี่ยก็จะเปลี่ยนไปเรื่อย ๆ แต่จะให้ทุกคนออกมาพูดจนครับแล้วจึงเปลี่ยนทีนึง โดยหัวข้อในรอบนี้จะเป็น

… you should … before you die

เชื่อหรือไม่ว่าเราได้เห็นมุมมองและเรื่องราวใหม่ ๆ มากมายจากการนั่งฟัง talk นี้ทั้งที่มีสาระและไม่มีสาระ แต่โดยรวมแล้วผมประทับใจในกิจกรรมนี้มาก ๆ และรู้สึกว่าได้อะไรกับไปขบคิดตามเสมอ ๆ

Second Orientation

หลังจากผ่านเวลามาประมาณเดือนนึงเหล่าเด็กฝึกงานก็ได้ถูกเรียกเข้าไปคุยอีกครั้งและถูกถามคำถามที่คล้าย ๆ เดิมเพิ่มเติมคือได้รับอะไรบ้างจากการมาฝึกงานและนำมาเล่าให้เพื่อน ๆ คนอื่น ๆ ฟัง ซึ่งหลังจากที่ผ่านมาหนึ่งเดือนเนี่ยมันก็มีสิ่งที่ประทับใจหลาย ๆ อย่างรวมถึงได้เรียนรู้มากมายเรียกว่าเปิดโลกเลยแหละครับ มุมมองความคิดต่าง ๆ ของผมเปลี่ยนไปซึ่งเกิดจากการได้มาทำงานในฐานะของ UX research ก็ไว้ไปอ่านในอีกบทความของผมนะครับ 5555 แต่มากกว่าไปได้เรียนรู้อะไรพี่ตั้มก็ถามเพิ่มเติมว่าอยากจะลองทำอะไรเพิ่มมั้ยอย่างไร เป็นการ checkpoint ตัวเองอีกครั้งว่าอยากจะทำอะไรในเดือนที่ 2 และผมก็พูด ๆ ไปโดยไม่ได้คิดว่าจะได้ทำจริง ๆ หรอกครับแค่เป็นความคิดว่าถ้าได้ทำก็คงจะดี แต่เชื่อมั้ยครับว่าหลังจากผ่านงานนี้ไปผมก็ได้ลองทำสิ่งที่ถามไปจริง ๆ ซึ่งผมรู้สึกประทับใจมาก ๆ ที่พี่เค้าใส่ใจและพร้อมที่จะให้โอกาสเราได้ลองทำงานในสิ่งที่เราสนใจจริง ๆ (ตอนนั้นผมอยากจะทำความเข้าใจเกี่ยวกับ business มากกว่านี้และอยากจะลองไปคุยกับทางฝั่งของผู้ดูแลบ้างเพื่อให้เข้าใจทั้งองค์รวมของธุรกิจนี้)

Event & Forum

ในระหว่างการฝึกงานนั้นผมก็ได้มีโอกาสเข้าไปร่วมฟังบรรยายต่าง ๆ ซึ่งจัดโดย DTAC accelerate โดยผมได้มีโอกาสไปฟังอยู่สอง event นั่นคือ
1. HOOK by Nir Eyal
2. UX Designers by Jacob Greenshpan
ซึ่งก็ได้รับมุมมองและความรู้กลับมามากมายมากไปกว่านั้นยังได้มีโอกาสไปเข้าร่วมงาน Techsauce Global Summit 2019 โดยผมเข้าไปดูการแข่ง pitching ของ startup ต่าง ๆ และเข้าฟังบรรยายในหัวข้อต่าง ๆ อีกด้วยก็ถือเป็นประสบการณ์ที่แปลกใหม่ไปอีกแบบในฐานะนิสิตฝึกงานคนหนึ่ง นอกจาก event เชิงสาระแล้ว DTAC Accelerate ก็ยังมีงานปาร์ตี้ฉลอง Batch 7 ในช่วงที่ผมไปฝึกงานพอดีก็เป็นบรรยากาศที่สนุกสนานและมีการกินเลี้ยงตามระเบียบถือว่าครบรสมาก ๆ

การออก Event ต่าง ๆ

Last Orientation

กิจกรรมนี้เป็นการ one on one กับพี่ที่ดูแลเราก่อนจะจบการฝึกงานเพื่อประเมินความพึ่งพอใจในการฝึกงาน และพูดคุยเรื่องต่าง ๆ ถามไถ่เกี่ยวกับ goal ว่าเราได้รับสิ่งที่ต้องการอย่างที่คาดหวังไว้หรือไม่ ซึ่งในส่วนของผมก็เป็นพี่ OJ ซึ่งคอยสอนงานต่าง ๆ มากมายตั้งแต่เริ่มจนจบผมได้ปรึกษาเรื่องต่าง ๆ มากมายซึ่งเป็นส่วนหนึ่งที่ผมได้นำมาใช้ประกอบในการเลือกวิชาชีพหลังจากเรียนจบและขอบคุณสำหรับสิ่งต่าง ๆ ที่ได้รับตลอด 2 เดือนที่ผ่านมา ก็ขอขอบคุณอีกครั้งหนึ่งนะครับ :)

Special Thanks 🙏

ก็ผมประทับใจในความเอาใจใส่ของพี่ ๆ ทุกคนโดยเฉพาะพี่ตั้มที่คอยถามอยู่ตลอดว่าเป็นยังไงบ้างแม้จะจบการฝึกงานไปแล้วก็ยังมีการถามไถ่ชีวิตอยู่เรื่อย ๆ พี่ OJ ที่คอยถามตลอดว่างานเป็นยังไงบ้างตลอดการฝึกงาน และคอยสอนสิ่งต่าง ๆ ให้ผม พี่วินที่คอยซื้อขนมมาฝากและคอยสร้างสีสันตลอด รวมไปถึงพี่คนอื่น ๆ อีกมากมายที่ไม่ได้เอ่ยชื่อถึง และที่ขาดไม่ได้คือพี่เต้ย ที่คอยช่วยเหลือผมมาตลอดทุกอย่างตั้งแต่แนะนำให้มาฝึกงานที่นี่และดูแลอย่างดี ไปจนถึงเป็นที่พึ่งพาในเรื่องต่าง ๆ ขอบคุณเพื่อน ๆ น้อง ๆ ที่ฝึกงานด้วยกันที่มอบประสบการณ์สนุก ๆ ให้ และขอบคุณพี่อ๋อที่เป็นเพื่อนร่วมงาน ที่เป็นเพื่อนเม้ามอยเสมอ ๆ ทำให้การฝึกงานของผมนั้นไม่เหงา 55555 สุดท้ายก็ ขอบคุณพี่ ๆ ทุกคนสำหรับความทรงจำดี ๆ นะครับ …

บรรยากาศเมื่อจบการฝึกงาน

Summarize

“ ถ้าจะบอกว่านี่เป็นที่ฝึกงานที่ดีที่สุดมั้ยก็คงจะตอบไม่ได้หรอกครับเพราะแต่ละคนคงมีสิ่งที่คาดหวังในการมาฝึกงานที่แตกต่างกัน แต่ถ้าจะให้บอกว่าเป็นที่ฝึกงานที่ผมประทับใจที่สุดมั้ย ก็ขอพูดอย่างเต็มปากเลยว่าใช่ ”

(เพราะฝึกแค่ที่เดียว ผ่าม!! หยอก ๆ) ก็ความเอาใจใส่ และความเป็นกันเอง เป็นสิ่งที่ผมรู้สึกว่าจุดนี้แหละเป็นจุดที่ทำให้ผมประทับใจในการฝึกงานที่นี่ ความใส่ใจของพี่ที่ดูแลนั้นเป็นสิ่งที่เราสัมผัสได้อย่างท่วมท้น และมากไปกว่านั้นคือโอกาสในการได้เรียนรู้สิ่งต่าง ๆ ที่พี่ ๆ มอบให้เสมอ ผมรู้สึกว่าผมได้เปิดโลกมาก ๆ จากการมาฝึกงานที่นี่และรู้สึกว่าเป็นการใช้ปิดเทอมที่คุ้มค่ามาก ๆ :)

ภาพแตกมาก 555555

--

--