ข้อคิดดี ๆ ที่ได้จากหนังสือ Make Time

Nitipat Lowichakornthikun
I GEAR GEEK
Published in
2 min readJan 30, 2019

พอดีช่วงปีใหม่ผมได้มีโอกาสพักผ่อนไม่ได้ไปไหน ก็เลยอ่านหนังสือ Make Time แบบรวดเดียวจบ หนังสือเล่มนี้ดีมาก ๆ ซึ่งมัน Practical มากในแง่การใช้งานได้จริง ดังนั้นวันนี้ผมจะมาแนะนำให้ทุกคนรู้จักกับหนังสือเล่มนี้กันครับ

ก่อนอื่นเลยหนังสือเล่มนี้ถ้าเราลองดูชื่อคนเขียนก็คือ Jake กับ John สองบุคคลในวงการไอทีที่สร้างกิจกรรม Design Sprint ขึ้นมา ซึ่งกิจกรรมนี้กำลังเป็นที่นิยมอย่างมากในไทยครับ ถ้าเอาแบบคร่าว ๆ เลย นั่นก็คือ Design Sprint มันเป็น Framework ของการทำงานที่ถูกออกแบบมาเพื่อให้เราสามารถทดสอบ Product ที่เราออกแบบมาได้กับลูกค้าจริง ๆ ภายในระยะเวลาเพียงแค่ 5 วันเท่านั้น ด้วยงานเขียนจากเล่มก่อนที่สามารถอ่านเข้าใจได้ไม่ยากและมัน Practical มาก ทำให้คนอ่านนั้นสามารถหยิบนำมาใช้ทดลองได้เลย นั่นก็เลยเป็นเหตุผลนึงที่ทำให้หนังสือ Make Time เป็นหนังสืออีกเล่มนึงที่หลายคนเลือกอ่านกันในปีนี้ครับ

Make Time คืออะไร?

Make Time เป็นเสมือน Framework ของการทำงานในแต่ละวันของเราครับ มันไม่ใช่การที่จะมาช่วยคุณรีด Productivity ให้ได้ซุปเปอร์แมนที่จะทำงานมัน 6 วันต่อสัปดาห์ และ ไม่ใช่เครื่องมือที่มาช่วยเราลดเวลาในการทำสิ่งต่าง ๆ ให้เราได้ทำหลายเรื่อง แต่มันตรงไปตรงมาเลยนั่นก็คือเครื่องมือที่พยายามทำให้เวลาของเราในแต่ละวันมันมี คุณค่า มากยิ่งขึ้นครับ

https://maketimebook.com/how-it-works/

Framework นี้ถูกออกแบบมาอย่างดีเลยครับมันผ่านประสบการณ์การทดลองทำงานในรูปแบบต่าง ๆ ของผู้เขียนทั้งสองคน รวมทั้งการนำเอาสิ่งที่ได้เรียนรู้จากการจัดกิจกรรม Design Sprint ที่พวกเค้าเป็นคนออกแบบและจัดกิจกรรม (ถ้าใครเคยร่วมกิจกรรมนี้ บอกเลยว่ามันคือกิจกรรมที่เหนื่อยสุด ๆ ตลอดทั้ง 5 วัน เพราะ มันถูกออกแบบมาให้รีดความสามารถของทุกคนในกิจกรรมนี้ออกมาให้หมด) เรียกว่ากว่าจะออกมาเป็น Framework นี้ ผู้เขียนทั้งสองต้องศึกษาศาสตร์หลายแขนงเลยเพื่อให้มันเป็นวิธีการทำงานที่จะทำให้เรามีความสุขมากที่สุด

องค์ประกอบของ Framework

  1. Highlight คือการที่เราต้องมองหาให้ได้ว่า “อะไรคือสิ่งที่จะเป็นสิ่งที่เจ๋งที่สุดของวันนี้” คุณต้องมั่นใจให้ได้ว่าสิ่งนี้จะเป็นสิ่งที่เราสามารถเอาไปโม้ได้กับคนอื่น ๆ ว่าฉันได้ทำสิ่งเหล่านี้มาในสัปดาห์ที่ผ่านมา ปกติทั่วไปของการทำงานเรามักจะแทบจำไม่ได้เลยว่าตลอดสัปดาห์ที่ผ่านมาของเรามันมีเรื่องไหนเจ๋ง ๆ ในการทำงานบ้าง ลองมองหาดูครับ แล้วเราจะได้สนุกกับตลอดวันทำงานของเราได้
  2. Laser เปรียบเสมือนลำแสงที่จะช่วยทำให้กิจกรรมที่เป็น Highlight ของเรามันไม่ถูกทำลายจากสิ่งที่มารบกวนต่าง ๆ อาทิ เพื่อนร่วมงานของคุณที่จะเข้ามาขอความช่วยเหลือ, Email, งานแทรก, การประชุม และ ที่สำคัญคือมือถือของคุณเองเนื่องจากในโลกปัจจุบันคุณจะพบว่าหลายสิ่งหลายอย่างมันเรียกร้องคุณอย่างมาก มันไม่ใช่เรื่องที่ยากเลยที่เราจะแค่หลงเข้าไปกดเล่น Facebook เพื่อดู Notification ใหม่แล้วพบว่าเวลาที่ผ่านไปไม่ใช่แค่ 5 นาที แต่เป็น 2–3 ชั่วโมง!!
  3. Energize คนเรามันก็เสมือนเครื่องจักร ต้องมีการซ่อมบำรุง ต้องมีการพักผ่อนบ้าง ดังนั้นหัวข้อนี้จะเสมือนการฝึกจิตใจให้สงบ, การเข้านอนอย่างเป็นเวลาปราศจากสิ่งที่มารบกวนเรา, การตื่นเช้าเป็นเวลาเพื่อทำสิ่งอื่นได้เพิ่มขึ้น ไปจนถึงการออกลังกาย และ วิธีอีกมากมายที่จะช่วยเราเติมพลังกลับมาได้ จากการทำงาน
  4. Reflect คือกระบวนการสุดท้ายในแต่ละวันที่เราต้องมาทบทวน ย้อนดูว่าสิ่งที่เราทดลองทำหรือเลือกเครื่องมือไปใช้มันตอบโจทย์กับเราตอนนี้ไหม เพื่อที่เราจะได้ทดลองสิ่งใหม่ ๆ ในวันถัดไปเพื่อเรียนรู้ต่อไป

จาก 4 ข้อด้านบนคือ Framework หลักของการใช้ชีวิตในแต่ละวันของเราครับ โดยในหนังสือจะมีการมอบเครื่องมือ (Tactic) ในแต่ละหัวข้อ เพื่อให้เราทดลองหยิบมาผสมกันในแต่ละวัน ให้ลองดูลิงค์ด้านล่างครับ จะมี Tactic มากมายให้เลือกใช้ นึกภาพการสร้างเมนูอาหารที่เราสามารถหยิบมา Mix & Match ได้ แล้วทดลองเพื่อหาสูตรที่กลมกล่อมของเราเอง

สิ่งที่ผมทดลองแล้วชอบ…

  • Highlight
    มันทำให้เราได้สนุกในการทำงานมากขึ้นจริง ๆ ครับ ผมเริ่มตั้งเป้าว่าในสัปดาห์จะทำอะไรบ้างที่เป็น Highlight ประจำสัปดาห์นี้ จากนั้นก็แบ่งออกมาเป็นรายวันว่าควรมีอะไรบ้างที่ทำแล้วจะส่งผลให้ Highlight ของเรามันสำเร็จได้ ช่วงเดือนที่ผ่านมาผมพบว่าตัวเองรู้สึกมีพลังอย่างบอกไม่ถูก เพราะ เราได้ทำสิ่งที่มันเจ๋ง ๆ ออกมาได้ในเวลาไม่นาน และ เราก็จดจำได้ด้วยว่าช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมาเราได้ทำอะไรออกมาบ้าง ซึ่งอันนี้ก็ต้องทดลองทำต่อครับว่าจะสนุกแบบนี้ได้นานแค่ไหน
  • Laser
    มีสิ่งที่ผมได้ทดลองแล้วชอบมาก ๆ คือการที่เอาตัวเองออกจาก Infinity pool นึกภาพก็คือพวก App หรือ สื่อต่าง ๆ ที่จะทำให้เราต้องใช้เวลาหลายชั่วโมงไปกับมัน อย่างเมื่อก่อนผมมีปัญหามากในการใช้งาน Facebook ครับ เพราะ หลายครั้งก่อนนอนผมจะนั่งไล่ดูนู่นนั่นนี่ไปเรื่อย บ่อยครั้งเลยผมนอนดึกเพราะไปสนใจเรื่องไม่เป็นเรื่องที่พวกเพื่อน ๆ แชร์กัน คือแอพพวกนี้ทำให้เราติดหล่มส่งผลทำให้เวลาของเราหายไป 2–3 ชั่วโมงต่อวันโดยไม่รู้ตัว
  • Energize
    ผมเริ่มทดลองโดยตั้งเวลาให้กับการนอนของตัวเองที่ชัดเจน จะพยายามไม่นอนดึกบางวัน พยายามทำให้ห้องนอนของเรามืดที่สุด อีกวีธีที่ผมทดลองช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมาคือการตั้งค่าให้หลอดไฟในห้องนอนของเรามันค่อยลดความสว่างลงเรื่อย ๆ ซึ่งการทำแบบนี้มันทำให้เรารู้สึกเตือนตัวเองได้ว่าเวลานี้ควรต้องเตรียมตัวนอนได้แล้ว ซึ่งช่วงเดือนก่อนที่ผ่านมาผมมีปัญหาการนอนไม่หลับครับ มันอาจจะมาจากตัวงานก็ส่วนนึง แต่ผมก็คาดว่าน่าจะมาจากการที่บางวันเราเลือกที่จะทำนี่ทำนั่นจนดึกแล้วนอนไม่เป็นเวลาทำให้บางวันพอเราอยากนอนเร็วสมองของเราก็มัวคิดนั่นคิดนี่จนการนอนหลับไม่ค่อยมีคุณภาพ ซึ่งเรื่องการนอนก็เป็นสิ่งสำคัญอย่างมากในการเติมพลังเลยครับ
  • Reflect
    โดยส่วนตัวแล้วผมก็ทำการ Reflect เรื่อย ๆ อยู่แล้วครับ แต่ไม่ใช่ทุกวันแบบที่หนังสือแนะนำ ดังนั้นในตอนนี้ผมเลยทดลองใช้วิธีตรวจสอบว่า Highlight ของแต่ละวันมันตรงกับสิ่งที่เราคาดหวังไว้ไหม ซึ่งการทำแบบนี้ก็ทำให้เราสามารถวางแผนได้ครับว่าในอาทิตย์ถัดไปเราต้องการทำอะไร หรือ ในเดือนถัด ๆ ไปอะไรคือส่ิงที่เราสนใจอยากทำให้สำเร็จ ตรงนี้ผมก็ใช้วิธีคือการแชร์ให้กับพี่ ๆ ในทีมของเรา เพื่อเช็คด้วยว่าเป้าหมายที่เราอยากทำเนี่ยมันตรงกันกับคนอื่นหรือเปล่า

App ต่าง ๆ บนมือถือนี้ล่ะตัวร้าย (ถ้าเราไม่รู้จักใช้มัน มันจะครอบงำเราแน่ ๆ)

ที่นี้ถ้าใครอยากรู้ว่าแอพพวกนี้มันน่ากลัวแค่ไหนให้ลองอ่านเรื่อง Hooked เพิ่มเติมครับ มันคือหลักการออกแบบแอพให้คนติดหนึบไม่อยากไปจากมัน น่ากลัวมาก ๆ ถ้าเราหลงไปอยู่ในโลกที่เค้าวางไว้ (ผมยังอ่านไม่จบครับไว้อ่านจบและสามารถทดลองใช้ได้จะมาแชร์ต่อไปครับ)

ดังนั้นสิ่งที่ผมทำ คือเริ่มทดลองลบแอพ Facebook ออกไปจากเครื่องมือถือ, ปิด Notification message และ แอพต่าง ๆ พยายามให้หน้าจอแรกของมือถือไม่มีแอพทุกอย่าง จากการทดลองก็ทำให้เราได้เวลากลับคืนมาเยอะเลยครับ ผมมีเวลาไปอ่านหนังสือ สามารถศึกษาเรื่องต่าง ๆ ที่เมื่อก่อนผมเองอ้างว่าไม่มีเวลา ได้มีโอกาสทดลองทำสิ่งที่ตัวเองอยากทำหลายอย่างเลย เอาจริง ๆ มันก็เหมือนการบำบัดเลยก็ว่าได้ที่ในช่วงแรกเราจะรู้สึกแบบเคว้งคว้างมาก ทีนี้มีเครื่องมืออีกอันที่ผมอยากแนะนำให้ทุกคนลองเข้าไปดู (iOS เท่านั้น ผมไม่ชัวร์ว่า Android มีไหม) มันมีโปรแกรมสำหรับช่วยให้เรา Monitor ได้ครับว่าเราใช้เวลากับกิจกรรมไหนบ้างในมือถือของเราเอง อีกทั้งยัง Limit ได้ว่าเราจะใช้เวลากับแอพต่าง ๆ เท่าไรบ้างในแต่ละวัน เป็นเครื่องมือที่ดีมากที่ทำให้เราวัดผลและตรวจสอบได้ว่าเรายังหมดเวลาไปกับอะไรในแต่ละวันบ้าง

สรุป

มันเหมาะมาก ๆ กับคนที่อยากเติมพลังให้แต่ละวันกับตัวเอง ผมยอมรับว่าช่วงปลายปีที่ผ่านมาผมก็หมดพลังไปพอสมควร แต่พอได้อ่านและทดลองสิ่งต่าง ๆ จากหนังสือเล่มนี้มันช่วยเติมพลังในการทำงานอย่างมากครับ ดังนั้นผมจึงอยากให้ทุกคนที่ได้อ่านถึงตรงนี้ลองอ่านหนังสือเล่มนี้และทดลองทำครับ คุณจะได้สนุกกับชีวิตการทำงานได้แบบผม

ถ้ายังติดสินใจอ่านไม่อ่านดี ลองดูจากคลิปด้านล่างของ Gucode ครับ ค่อนข้างเล่าเนื้อหาค่อนข้างครบ ถ้าอยากเก็บรายละเอียดเพิ่มเติมค่อยกลับไปหามาอ่านได้ครับ

--

--