บันทึกประสบการณ์จริงนอกห้องเรียน กับ I GEAR GEEK:

Kulvalin J
I GEAR GEEK
Published in
3 min readOct 14, 2021

สวัสดีชาว Medium บันทึกฉบับนี้เริ่มเขียนโดยเช้าที่สดใส เป็นช่วงที่มีฝนตกปรอยๆ และความเย็นเริ่มเข้ามาครอบคลุมและกำลังจะก้าวข้ามไปสู่หน้าหนาว และครั้งนี้เป็นการเขียนบันทึกครั้งแรกของฉัน เพื่อขอบคุณสำหรับประสบการณ์ที่เปี่ยมล้นไปด้วยความรู้ทางสายอาชีพนักพัฒนาซอฟต์แวร์ ให้ฉันได้เก็บเกี่ยวความรู้แบบ Buffet ได้มากพอเท่าที่เราสนใจอยากจะเก็บเกี่ยวมันได้ในช่วงระยะเวลาฝึกงาน

ก่อนอื่นต้องขอขอบคุณโอกาสดีดีของ I GEAR GEEK กับการตอบรับการรับเด็กฝึกงานในตำแหน่ง SA&BA (System Analyst & Business analyst) ตื่นเต้นมากค่ะตอนที่รู้ว่าได้รับเลือกให้เข้าทำงานเพราะเชื่อว่ามีโอกาสน้อยมากที่บริษัทซอฟต์แวร์จะรับเด็กฝึกงานในตำแหน่งนี้ ส่วนใหญ่จะต้องมีความรู้ + ประสบการณ์มาก่อนล้วนๆ เลย และนี่ก็เป็นครั้งแรกของฉันที่ได้ทำงานจริงกับ I GEAR GEEK

เริ่มต้นด้วยการนัดสัมภาษณ์ทาง Online มีกำหนดการณ์ระยะเวลาการสัมภาษณ์อยู่ 2 ชั่วโมง ตอนแรกก็คิดในใจว่าแป๊ปเดียวก็คงเสร็จ พี่ๆ เค้าคงไม่ซีเรียสอะไรกับเด็กฝึกงานอะไรมากมาย พอถึงเวลาสัมภาษณ์จริง มีพี่ๆ รออย่างใจจดใจจ่อกับการยิงคำถามมาแบบน้ำไหลไฟดับสลับกันอยู่ 3 คน พี่เซท พี่มายด์ พี่เบ๊น ทำให้เกิดอาการคิดคำตอบไม่ทัน ตอบไม่ตรงประเด็นเพราะตื่นตระหนก พี่ๆ เลยบอกให้ใจเย็นๆ ก่อน คิดดีดีแล้วค่อยตอบใหม่ และก็ผ่านไปได้ด้วยดีใน 2 ชั่วโมงเต็มๆ เหงื่อแตกเลยค่ะ ในระหว่างการสัมภาษณ์นี้ก็เลยงัด Software Project ที่เคยได้ร่ำเรียนและลงมือทำจริงมาโปรโมทตัวเองสุดฤทธิ์ หลักการ แนวคิด อะไรที่อยู่ในหัวตอนนั้นเรียกว่าขุดออกมาโชว์เลยทีเดียวก็ว่าได้ ในใจก็คิดเผื่อไว้แล้วว่าอาจไม่ได้รับโอกาสนี้ แต่ก็ดีใจมากค่ะตอนที่ HR แจ้งมาว่าผ่านการสัมภาษณ์ จากนั้นก็เตรียมตัวรอเวลาเข้าทำงานอยู่พักนึงค่ะ

กับการทำงานวันแรก ก็ตื่นเต้นนิดหน่อยนะแต่ก็ไม่มากสักเท่าไหร่ เข้ามาถึงพี่ๆ ก็ต้อนรับเป็นอย่างดี จัดแจงที่ตำแหน่งที่นั่งและอุปกรณ์การทำงานให้ ละเราก็มาเริ่มสัมภาษณ์กันเล็กๆ น้อยๆ พอกรุบกริบ จากนั้นพี่มายด์ SA&BA ก็แชร์กระบวนการพร้อมทั้งอัดความรู้ที่พี่เค้าเตรียมไว้ต้อนรับอย่างเต็มที่ไม่มีกั๊ก ต่อด้วยแชร์ Tools ที่เกี่ยวข้องกับการพัฒนาซอฟต์แวร์ขององค์กรอย่างต่อเนื่องในช่วง 3 วันแรก และพี่มายด์ก็เป็นที่ปรึกษาตลอดในช่วงการทำงาน พี่เค้าใจดีมากค่ะ น่ารักด้วย พูดจาก็เพราะ ชอบมากเลยค้า

อะไรที่เป็นครั้งแรกก็มักจะไม่ค่อยชิน แต่เชื่อว่าทุกคนต้องมีครั้งแรกเสมอ การทำงานและการใช้ Tools ต่างๆ มีการติดขัดบ้าง ก็ทำการศึกษาเพิ่มเติมจาก Internet และถามพี่เลี้ยง สำหรับ Tools ที่ใช้ก็มีพื้นฐานมาจากการเรียนในสาขาวิศวกรรมซอฟต์แวร์ ทำให้การศึกษา Tools ใหม่ๆ เป็นไปได้ง่ายและรวดเร็วขึ้น จากเมื่อก่อนต้องงมๆ คลำๆ ตอนนี้ก็เซียนอยู่ค่ะ ใช้คล่องปรื้ดดดดดด

ทีนี้พอเริ่มเรียนรู้ไปได้ไม่กี่วันเอง ไม่ถึง 1 สัปดาห์ด้วยซ้ำ ก็ได้รับมอบหมาย! กับ Project เป็น Website I GEAR GEEK ให้เราทำในตำแหน่ง SA&BA เป็น Project ภายในของบริษัท ซึ่งประเมินระยะเวลาได้ 4 สัปดาห์ซึ่งต้องทำการคุยกับลูกค้า วิเคราะห์ระบบ จัด Tasks การทำงาน ควบคุมกระบวนการ และที่สำคัญต้องทำหน้าที่สื่อสารระหว่างคนในทีมพัฒนาและลูกค้า โดยที่เราต้องเป็น Main ใน Project นี้ โอ้โห…อึ้งไปเลยสิคะ ถึงแม้จะมีพี่มายด์คอย Subport อยู่แต่พี่เค้าก็มีเวลากับงานอื่นที่เค้าต้องทำ คือจะไปรบกวนเค้าตลอดเวลาก็ไม่ได้ไง เพราะฉะนั้น Research ให้มันแน่นๆ ก่อน อะไรที่ไม่ได้จริงๆ ค่อยไปถามจะได้กระชับ หลักการคือ “ประหยัด Resource ให้มากที่สุดและเกิดประโยชน์ได้สูงสุดนั่นเอง” หลักการที่ร่ำเรียนมาแหละนะ ต้องนำมาใช้ของจริง

จบ Project: Website I GEAR GEEK ไปได้ตาม Plan ที่กำหนดตาม Sprint ระหว่างทางก็มีการปรับเปลี่ยน Tasks หรือมี Feedback และแก้ไขปัญหา ขอบอกว่างานสายนี้คือการแก้ปัญหาที่มันจะต้องเกิดขึ้นได้อยู่ตลอดเวลานั่นแหละ และต้องหาทางออกที่ดีที่สุดเตรียมไว้เสมอ โดยการแก้ปัญหาจะต้องนำหลักความเป็นจริงกับความคิดสร้างสรรค์ให้ควบคู่ไปด้วยกันได้อะ ซึ่งในโลกความเป็นจริงสองอย่างนี้มันดูจะสวนทางกันหน่อยนะคิดว่างั้น สรุปแล้ว Project แรกก็เสร็จและจบไปด้วยความมึนงง และมาพร้อมกับคำชม โอเคผ่าน ปล. UX/UI โดยพี่นก สวยมากๆ ไม่เชื่อก็ลองเข้าไปดูตัวอย่างผลงานได้ที่ https://igeargeek.com/

ไม่รีรออะไรเมื่อ Resource ของ Dev. (Developer) ว่าง จัดไปต่อที่ Project ต่อไป: Web Application WebFaster.Online ประเมินระยะเวลาได้ 5 สัปดาห์ เป็นการเพิ่ม Features ของ Product เดิมให้เป็นระบบ 3 ภาษา (ไทย-อังกฤษ-จีน) ส่วนของทั้ง Backend & Frontend ใน 3 Platform (Desktop-Mobile-Ipad) และต้องเป็น Tester ไปในตัว คิดในใจว่าแค่สองภาษายังจะไม่รอดอะ ไหนๆ ก็ไหนๆ ละยังไงก็ต้องทำให้ได้ไม่ต้องงอแงไปนะบอกตัวเอง สรุปแล้วงาน Feedback เยอะมากๆ กว่าที่ฉันจะคาดไว้แต่ก็นะ แก้ไขปัญหาไปได้ด้วยดี หากเกินความสามารถจริงๆ ก็ไปขอคำปรึกษาจากพี่มายด์และพี่เซทได้ตามจังหวะที่พี่เค้าว่าง สรุปแล้วก็จบไปได้ด้วยดีเก่งจริงๆ เยี่ยมยอด

SA มีบทบาทในกระบวนการพัฒนาซอฟต์แวร์ในทุก phase ของ SDLC เลยละค่ะ ส่วนใหญ่ตำแหน่งนี้จะคิวทอง แน่นเปรี้ยะ ฝุดๆ ไปเลย

สำหรับกระบวนการทำงานของ SA ถ้าให้แยกเป็นข้อหลักๆ ก็จะประมาณนี้

เก็บ Business Requirement

วิเคราะห์ Business Requirement เพื่อทำเป็น Technical Requirement

วิเคราะห์ผลกระทบที่เกิดจาก Technical Requirement

การควบคุมแผนงาน ทรัพยากรและทบทวนโครงการให้เป็นไปตามเป้าหมาย

ทำเอกสาร Technical Requirement ให้กับคนในทีมพัฒนา

Support การทำงานของคนในทีมและลูกค้า

จัดทำเอกสารสำหรับนำเสนอ, ส่งมอบงานลูกค้า

ใช้งานของเครื่องมือ (Tools) ที่ใช้ภายในองค์กร

การทดสอบซอฟต์แวร์

หลักๆ ก็จะประมาณนี้นะ

นอกจาก Projects ที่เป็น Main แล้ว ยังมี Projects ที่ได้เข้าร่วมทำเช่นเก็บ Requirement, ออกแบบ Solution, ทำ Proposal, ทำUser Manual, ทำ UAT (User Acceptance Test), ทำ Test Case และอื่นๆ อีกเยอะแยะไปหมดเลย แต่ก็สนุกดีค่ะชอบงานสายนี้จริงไม่จกตา

หัวใจสำคัญของการทำงานคือการทำให้ทุกอย่างเข้ากันได้ และสร้างความเข้าใจของทุกฝ่ายไปในทิศทางเดียวกัน บ่อยครั้งที่ต้องทำการ Present สิ่งที่เราทำอยู่เพื่อแจ้ง และอธิบายสิ่งที่เรากำลังทำให้อีกฝ่ายเข้าใจ แต่ถ้าเราไม่เข้าใจเองและถามผู้ฟังกลับเพราะคิดว่าเขาให้คำแนะนำได้ ฉันก็มักจะเจอคำตอบว่า“พี่ก็ไม่รู้ แล้วเราคิดว่ายังไงอะ” นั่นเป็นคำพูดของพี่เซท ที่ทำให้ฉันบรรลุว่า…อ่อนี่ฉันไม่ได้อยู่ในห้องเรียนที่ถามอาจารย์และจะได้รับคำตอบที่ต้องการได้เพียงแค่การถามนะ ตอนนี้คือการทำงานจริงๆ เมื่อเรามีงานที่ต้องรับผิดชอบ แต่เรายังไม่เข้าใจงานของเรา แล้วใครจะไปรู้ดีกว่าเราละ ถ้าเราไม่มั่นใจในความคิดของเราเอง งานมันก็จะไม่สามารถดำเนินการได้ ดังนั้นสิ่งที่ควรทำคือศึกษาเพิ่มเติมและต้องมั่นใจในสิ่งที่เราคิดและออกแบบมาให้สมบูรณ์ที่สุดจากการกลั่นกรองเท่าที่เราจะทำได้ และค่อยปรับเปลี่ยนไปตาม Feedback ที่ได้รับ

อะไรคือความท้าทาย? สำหรับงานนี้ความท้าทายของฉันคือการสื่อสารยังไงให้ทุกคนเข้าใจสิ่งที่เราคิด จากที่เราต้องทำงานกับหลายๆ Stakeholder การสื่อสารกับแต่ละฝ่ายอาจจะไม่เหมือนกัน สิ่งนี้ทำให้ฉันได้รู้จักกับ “ภาษาศาสตร์” จากการแนะนำจากพี่มายด์ ตัวอย่างเช่นการเรียกสิ่งของอย่างหนึ่ง “ กระดาษโน๊ต” คนที่แตกต่างกันไปอาจเรียกมันว่า โพสอิท, กระดาษสี, กระดาษจดบันทึก, กระดาษจิ๋ว, เปเปอร์, กระดาษกาว, กระดาษแปะพนัง, กระดาษกันลืม ฯลฯ ซึ่งความจริงแล้วมันก็คือสิ่งเดียวกัน แต่เรียกแตกต่างกันออกไป ดังนั้นจะทำยังไงให้ Stakeholder ต่างๆ เข้าใจไปในสิ่งเดียวกันได้ถูกต้อง ไม่ผิดเพี้ยนนั่นเอง (อย่างเช่นลูกค้าก็จะสื่อสารไปทาง Business, Dev. เค้าก็จะสื่อสารไปทาง Technical อะไรประมาณนี้)

ระหว่างการทำงานไปก็จะมีกิจกรรมที่องค์กรจัดขึ้นเพื่อกระชับความสัมพันธ์ ส่งเสริมให้พนักงานใช้ความกล้าแสดงออก โดยกิกรรมต่างๆ HR จะเป็นผู้กำหนดวันและเวลาสลับสับเปลี่ยนกันไป โดยผู้บริหารมีจุดประสงค์อยากให้พนักงานทุกคนมีความสุข และมีเวลาอื่นๆ นอกเหนือจากการทำงานหน้าจอคอมพิวเตอร์ โดยหลักๆ ก็จะมีกิจกรรม Sharing ความรู้หรือ Tools ใหม่ๆ, Flashtalk 5 นาทีกับสิ่งที่ตนเองกำลังสนใจอยู่, HR Update กิจกรรม, Big Cleaning ทำความสะอาด เป็นต้น

สรุป I GEAR GEEK: ที่นี่เป็น Software house ที่มีวัฒนธรรมการทำงานขององค์กรแบบ Agile & Scrum มีการเน้นให้ความสำคัญกับการให้พนักงานมีความสุขกับการทำงาน(ไม่เอางานไปทำนอกเวลานะ) มีเป้าหมายที่จะพัฒนาซอฟต์แวร์ให้มีคุณภาพสูงสุด ลูกค้ามีความพึงพอใจกับ Product ที่ได้ โดยมุ่งเน้นให้กระบวนการทำงานให้มีคุณภาพและมาตราฐานมากขึ้นไปเรื่อยๆ นั่นเอง ใครอยากมองหาประสบการณ์และความรู้ใหม่ๆ >>I GEAR GEEK เลยค้าาาาาา

ทั้งนี้ขอขอบคุณพี่ๆ ในองค์กรทุกคนที่ให้คำปรึกษาได้เสมอ ใจดีไม่มีกั๊กความรู้ เต็ม 10 10 10 และ Admin ที่นี่ดูแลดีมาก ตอบไว ประสานงานรวดเร็ว น่ารักมากค้า

เขียนโดย : กุลวรินทร์ จรัสธนัทโรจน์

สถานศึกษา : ภาควิชาวิศวกรรมซอฟต์แวร์ คณะวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยพายัพ

--

--

Kulvalin J
I GEAR GEEK

นักศึกษาสาขาวิศวรรมซอฟต์แวร์ มหาวิทยาลัยพายัพ