ไม่ต้องมี App กันแล้ว
เราคงปฏิเสธไม่ได้ว่าปัจจุบันเทคโนโลยีต่างๆพัฒนารวดเร็วมาก และส่งผลให้พฤติกรรมของคนเราเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว จากยุคที่จะเล่นเนตต้องนั่งหน้าคอมที่บ้านต่อผ่านสายโทรศัพท์เมื่อ 20 กว่าปีที่แล้ว ก็กลายเป็นเริ่มใช้เนตบน smartphone เมื่อสิบกว่าปีก่อน และสามารถส่งข้อมูลต่างๆจากมือเราถึงคนทั่วโลกได้ในเสี้ยววินาทีในปัจจุบัน ทำให้พฤติกรรมการสื่อสารและการบริโภคข้อมูลข่าวสาร รวมถึงการบริโภคเทคโนโลยีสารสนเทศถูกเปลี่ยนไปอย่างรวดเร็ว
ในช่วงแรกๆที่มี smartphone ที่ทุกคนที่เขียนโปรแกรมเป็นสามารถเขียน application ให้คนทั่วโลกโหลดมาใช้ในมือถือของตัวเองได้นั้น App ได้รับความสนใจเป็นอย่างมาก
แต่พอมาถึงปัจจุบันที่มี App จำนวนมหาศาล และพฤติกรรมการบริโภค App เริ่มเปลี่ยนไป โดยในปี 2017 มีสถิติว่า
- คนมากกว่าครึ่งไม่ได้โหลด App ใหม่ทั้งเดือน
- มากกว่า 20% ของ app ถูกใช้แค่ครั้งเดียวหลังดาวน์โหลด
- ซึ่งสอดคล้องกับจำนวน App ที่คนใช้เฉลี่ยแค่เดือนละ 25 Apps
ทำให้การสร้าง service ใหม่ๆบน app นั้นเป็นไปได้ยากมากขึ้น ซึ่งสถิติเหล่านี้เป็นปัจจัยที่มาจากฝั่ง users แต่จริงๆแล้วยังมีเหตผลฝั่ง tech อยู่ด้วยคือ
- Web technology พัฒนาขึ้นจนสามารถทำงานบนมือถือได้แล้ว
เดี๋ยวนี้มี Progressive Web App (PWA) ที่สามารถทำเวปให้คล้ายๆ App โดยไม่จำเป็นต้องโหลดแอปแต่ได้ User Experient คล้ายๆ App เลย (สร้าง shortcut ไว้ในมือถือได้เหมือนกับการลง App มี splash screen และทำงาน offline ได้บ้าง) และ PWA ช่วยทำให้คนใช้งานระบบเพิ่มขึ้น ซึ่ง Google Developer Expert คนนึงเคยบอกว่า มีข้อมูล จำนวนคนใช้ Web ของ Starbucks มากกว่าคนใช้ App แล้ว - การทำ Search Engine Optimization หรือ SEO ของ web ง่ายกว่าของ App และ ประสบการณ์การใช้งานเมื่อทำการโฆษณา แล้วต้องลง App สู้การเปิด web ธรรมดาไม่ได้
- Web update ได้ง่ายและเร็วกว่า App
แต่ถึงจะมีหลายสาเหตุ ก็ยังจำเป็นที่จะต้องมี App อยู่ในงานต่อไปนี้
- งานที่ต้องการ Security สูงๆ (เริ่มมี Web tech ที่ทำด้านนี้แล้ว แต่ยังไม่แพร่หลาย)
- งานที่ต้องใช้ Feature พิเศษต่างๆเช่น Location service หรือ Bluetooth หรือ background work ต่างๆ
- งานที่ต้องคำนวนโดยใช้ประสิทธิภาพเครื่องสูงมากๆ (จริงๆก็มี WebGL หรือตัวอื่นแล้ว แต่ยังไม่ค่อยมีคนใช้เท่าไร)
แต่ถ้าถามว่า App ไหนที่คนใช้กันบ่อยมาก และไม่กล้าลบออกจากมือถือ แน่นอนว่า social media จะเป็นคำตอบหลักเลย ซึ่งในประเทศไทยนั้น LINE ก็เป็น app ที่คนไทยลงและเปิดกันบ่อยมากอันนึง โดยมีจำนวนผู้ใช้ประจำทุกเดือนอยู่ที่ 45 ล้าน account หรือมากกว่าครึ่งนึงของประชากรไทย ทำให้ LINE เป็นเครื่องมือที่น่าสนใจสำหรับการให้บริการต่างๆ
ซึ่งปัจจุบัน LINE นอกจากจะใช้ chat คุยกันได้แล้ว ยังมีความสามารถพิเศษอื่นๆอีกได้แก่
- Rich menu ที่สามารถสร้างปุ่มกดและกำหนดการกระทำต่างๆเมื่อปุ่มถูกกดได้ — อ่านเพิ่มเติมได้ที่: เก่ง Rich Menu ใน LINE ให้ครบสูตร
- LINE Front-end Framework ที่เป็น web ที่เปิดได้จากในหน้า chat เลย (ปกติใช้ร่วมกับ Rich menu) — อ่านเพิ่มเติมได้ที่ มารู้จักกับ LIFF — สิ่งที่จะมาเติมเต็มในการทำ Chat Bot กัน!
- Chatbot ที่สามารถช่วยตอบข้อความที่มีคนส่งมาคุยกับ account LINE พิเศษของเราได้แบบอัตโนมัติ — อ่านเพิ่มเติมได้ที่ ปฐมบทการสร้าง LINE Bot
ซึ่งถ้าเป็นงานที่ไม่จำเป็นที่จะต้องใช้ App แล้ว Web + LINE ก็เป็นทางเลือกที่น่าสนใจมากทางนึงเลยทีเดียว
ถ้าใครสนใจอยากรู้ข้อมูลเพิ่มเติม Comment ไว้หรือติดต่อหลังไมค์ก็ได้เช่นกัน