บรรทัดสุดท้าย
ภาษาทางธุรกิจเรียกว่า Bottom Line … ตีความได้ประมาณว่า
บรรทัดสุดท้ายมันเป็นบวกหรือติดลบ — ได้กำไรหรือขาดทุนนั่นเอง
สิ่งที่สำคัญอย่างยิ่งในธุรกิจที่สร้างมาเพื่อทำกำไร (อีกหลายบริษัทมีจุดหมายเพื่อขยายฐานลูกค้ามาก่อนโดยไม่แคร์ว่าจะขาดทุนรึเปล่า) ก็คือตัวเลขกำไรขาดทุนนี่แหละ
ระหว่างทาง … บรรทัดบนๆจะเป็นอย่างไรเอาไว้ทีหลัง คำถามหลักๆของผู้บริหารคือ
- ขายได้บ้างรึยัง?
- มีออเดอร์รออยู่แค่ไหน?
- ตอนนี้กำไรหรือขาดทุน?
- ปิดปีนี้จะตัวดำหรือตัวแดง?
ยอดขายยังไม่สำคัญเท่ากำไร
ต้นทุนก็ไม่ใช่เรื่องใหญ่ที่สุดตราบใดที่บรรทัดสุดท้ายเป็นตัวดำ (ตัวดำได้กำไร — ตัวแดงคือขาดทุน)
บางธุรกิจอยู่ได้ด้วยศักยภาพ เทคโนโลยีใหม่มาก ระบบที่สร้างตลาดเกิดใหม่ หรือโปรดักท์ที่สร้างพฤติกรรมแบบใหม่ให้คนกลุ่มใหญ่ … ธุรกิจเหล่านี้จะมีคำถามอีกรูปแบบเกิดขึ้น
- ตอนนี้มีลูกค้ากี่คนแล้ว?
- ฐานลูกค้าขยายตัวเร็วแค่ไหน?
- โปรดักท์เวอร์ชั่นหน้าจะมีอะไรออกมาบ้าง?
กำไรไว้ทีหลัง ยอดขายก็ไม่สำคัญเท่าไร … การสร้างฐานลูกค้าเพื่อการเติบโตสำคัญที่สุด บรรทัดสุดท้ายหลายครั้งยิ่งตัวแดงยิ่งดี เมื่อเปรียบเทียบกับการขยายตัวที่พุ่งสูงอย่างต่อเนื่อง นั่นแปลว่า ยิ่งติดลบยิ่งขยายตัวเร็ว
เงินทุนที่หลั่งไหลเข้ามาจึงถูกนำมาใช้เพื่อสร้างโปรดักท์ใหม่และดึงลูกค้าเข้ามาในระบบให้เร็วที่สุดซึ่งหลายครั้งคือการเอาเงินมาซื้อลูกค้านั่นแหละ — เรียกแท็กซี่ครั้งแรก ฟรีค่าโดยสาร 100 บาท อะไรแบบนี้
ปัญหาจะบังเกิด (อย่างหนัก) ถ้าความคาดหวังถูกกำหนดไว้ทั้งสองมุม นั่นคือบรรทัดสุดท้ายต้องดูสวยงามและฐานลูกค้าต้องขยายแบบก้าวกระโดด
อืมมมม … มันทำไม่ได้สิ เพราะแบบแรกเน้นกำไร ทุกการตัดสินใจต้องยึดคำว่ารายได้และกำไรเป็นหลัก การทุ่มเงินไปทำโฆษณา ไปซื้อลูกค้าเข้ามาในระบบของเรา และการขยายทีมงานเพื่อเร่งการเติบโตอาจจะทำไม่ได้ … และเมื่อมันทำไม่ได้ การขยายตัวแบบทวีคูณจึงยากขึ้นหลายเท่า
มันจึงเป็นเรื่องสำคัญยิ่งว่าเราอยากจะเห็นบริษัทของตัวเองเติบโตไปแบบไหน บรรทัดสุดท้ายคือพระเอก หรือตัวเลขการเติบโตคือฮีโร่
ต้องเลือก เพราะเราทำสองอย่างพร้อมกันไม่ได้ในกรณีนี้