แบ่งโหลด
เรื่องไม่ยากมากคือการหาสมาชิกใหม่เข้าทีม
เรื่องยากมากคือการหาสมาชิกใหม่ที่แบ่งเบาภาระงานได้จริงอย่างรวดเร็ว
มีคนมากไม่ได้แปลว่างานจะเสร็จเร็วขึ้น ในทางกลับกัน … ยิ่งมีมากยิ่งงานเสร็จช้า ในช่วงแรกของการต้อนรับสมาชิกใหม่เข้าทีม โปรดักทิวิตี้ของเราจะของทีมจะตกฮวบอย่างน่าใจหายเพราะเวลาส่วนหนึ่ง (หรือส่วนใหญ่) ของเราจะหมดไปกับการทำตัวเป็นพี่เลี้ยง เป็นที่ปรึกษา เป็นผู้ช่วย และเป็นคนคอยตรวจงาน จากที่เคยมีเวลาสงบในการทำงานวันละ 6 ชั่วโมง ตอนนี้อาจเหลือแค่ 2 ชั่วโมง
นี่คือราคาที่เราต้องจ่ายเพื่อดึงใครสักคนเข้าทีม คำถามคือเราต้องจ่ายแพงแค่ไหน?
คำตอบขึ้นอยู่กับความพร้อมของคนนั้นๆ ถ้าพร้อมมากเราก็จ่ายน้อยหน่อย ถ้าไม่พร้อมเลยเราก็ต้องจ่ายหนักขึ้น … กว่าพวกเค้าจะสามารถทำงานได้ด้วยตัวเองและแบ่งภาระหรือโหลดของงานออกไปจากตัวเราได้อย่างค่อนข้างเป็นอิสระ ระหว่างนี้คือช่วงเวลาแห่งความเจ็บปวดและต้องอดทน … นอกจากจะไม่ได้งานจากสมาชิกใหม่ งานตัวเองก็พาลเสียศูนย์ไปด้วย
การรับน้องฝึกงานคือประเด็นที่ผมกำลังพูดถึงอยู่ … น้องฝึกงานคือคนที่ต้องการการดูแลอย่างใกล้ชิด ต้องการคำแนะนำที่ต่อเนื่องและทันท่วงที มิฉะนั้นพวกเค้าจะประสบปัญหาอย่างมากในการใช้ชีวิตอยู่กับสภาพแวดล้อมการทำงานจริง การมอบหมายงานแบบไม่มีคำแนะนำหรือการตรวจสอบรีวิวคือการคาดหวังที่เกินตัว น้องฝึกงานต้องการเวลาจากเราเยอะมาก
เราพร้อมมั้ยที่จะเจ็บปวดในช่วงแรกเพื่อสละเวลาอันมีค่าในการทำงานของเรามาเพื่อสิ่งนี้?
ผมเพิ่งปฏิเสธใบสมัครของน้องคนนึงที่กำลังมองหาที่ฝึกงานเป็นเวลา 3 เดือน … เหตุผลไม่ใช่เพราะเค้าขาดคุณสมบัติหรืออะไรแบบนั้น เหตุผลเป็นเพราะผมและทีมไม่มีเวลาให้เค้ามากพอ ความหวังของน้องคนนี้ที่อยากจะได้ความรู้จากการฝึกงานมันจะกลายเป็นความล้มเหลวไป มันจะเสียกันทั้งสองฝ่าย
กรณีเด็กฝึกงานกับน้องๆที่เพิ่งจบใหม่ก็คล้ายกัน ถ้าเราไม่พร้อมดูแลใครจริงๆจังๆ มันก็เสี่ยงมากที่จะรับเค้าเข้ามาในทีม … สตาร์ตอัพในช่วงพัฒนาโปรดักท์มันมีข้อจำกัดเฉพาะตัวอยู่ นั่นคือเวลาเป็นเงินเป็นทอง ความผิดพลาดในการพัฒนาโปรดักท์ทุกครั้งคือเรื่องร้ายแรงที่เสี่ยงต่อสถานะของบริษัท ในช่วงนี้สตาร์ทอัพต้องการคนมีประสบการณ์ คนที่พึ่งพาตัวเองและทำงานได้อย่างอิสระ คนที่แบ่งเบาภาระของคนในทีมได้จริง … น้องฝึกงานและน้องที่เพิ่งเรียนจบใหม่ๆอาจจะไม่ใช่คำตอบที่ดีเสมอไป 😔