จัดพอร์ตแบบ Hedge Fund อันดับ 1 โลก- All Weather ของปู่ Ray
พิเศษช่วงแถม ไกด์วิธีสร้างพอร์ตเอง
วันนี้จะเล่าให้ฟัง ถึงโครงสร้าง +Concept คร่าวๆ + ตัวอย่างพอร์ต (แต่ปู่แกก็เปลี่ยนไปเรื่อยๆนะ)
จุดประสงค์ของพอร์ต All Weather ก็ตามชื่อคืออยู่ทน ได้ทุกสภาพอากาศ หรือแปลงเป็นภาษาลงทุนคืออยู่รอดไปได้ทุกวัฏจักรเศรษฐกิจ เป็นการผสมผสาน Quants และ Machine Learning
กลยุทธ์นี้ถูกออกแบบมาให้ผลตอบแทนที่ดีทั้งในช่วงที่เศรษฐกิจมีการเติบโตดี และไม่ดี และได้ผลลัพธ์ที่ดีกว่าเวลาเจอวิกฤต เทียบกับการจัดพอร์ตทั่วไป
!! มันจะวิเศษ อะไรขนาดนั้น !!
มันเป็นเรื่องของการผสมผสานสินทรัพย์ทางการเงิน และการใช้ประโยชน์ของการกระจายความเสี่ยงที่ดี เวลามีอะไรขึ้น ก็ต้องมีอะไรลง หุ้นไม่ได้ขึ้นพร้อมกันทุกตัว ทองไม่ได้ขึ้นพร้อมหุ้นทุกวัน แนวทางนี้ทำให้ Bridge Water ขึ้นเป็นอันดับ 1 โลก หากวัดตามขนาดกองทุน เพราะเป็น multi-asset แบบเสี่ยงน้อย
เราอาจมักคุ้นกับการ กำหนดน้ำหนัก ว่าจะถือหุ้นกี่ % ดี ถือทองกี่ % ดี (ที่เรียกสวยๆว่าจัดพอร์ต)
แต่การจัดพอร์ต All Weather Strategy ของ Bridge Water หลังจากคิดมาดีแล้ว ก็กำหนดน้ำหนักจากหลัก risk contribution ว่า อยากได้ exposure จากอะไรเท่าไหร่ เช่นดังรูป อยากได้จาก inflation 25%, interest rate 25%, equity 25%, credit risk 25% แล้วค่อยคิดย้อนกลับมาว่าต้องลงสินทรัพย์ไหนเท่าไหร่ (ดังรูปตัวอย่างด้านล่าง) ก็จะได้ออกมาว่า เป็น equity 43.7%, alternatives 10% บราๆๆ
ซึ่งน้ำหนักการลงทุนนี้จะเปลี่ยนไปเรื่อยๆ ตามภาวะต่างๆ และตามสินทรัพย์ที่มาลงทุน
ทีนี้ที่มาของแต่ละอย่าง อย่างละ 25% นั้น ต้องเข้าใจในทฤษฎีปู่เรย์ก่อน ปู่เรย์มองแบบนี้
ปู่เรย์เชื่อว่าสิ่งที่ทำให้ราคาสินทรัพย์เปลี่ยนไปมี 4 อย่าง
- เงินเฟ้อ (Inflation)
- เงินฝืด (Deflation)
- เศรษฐกิจเติบโต
- เศรษฐกิจซบเซา
เมื่อมี 4 อย่างกระทบราคา ปู่เรย์ก็คาดว่าจะมี 4 วัฏจักรด้วยกัน
- ช่วงที่เงินเฟ้อสูงกว่าที่คาด
- ช่วงที่เงินเฟ้อต่ำกว่าที่คาด
- ช่วงที่เศรษฐกิจเติบโตกว่าที่คาด
- ช่วงที่เศรษฐกิจซบเซากว่าที่คาด
“กว่าที่คาด”
ทำไมจึงเป็น สูงกว่า ต่ำกว่า ที่คาด ปู่เรย์มองในมุมการลงทุน นักลงทุนนั้นซื้อขายบนความคาดหวัง เมื่อมันดีกว่าที่คาดก็จะมีการเปลี่ยนมุมมอง และไล่ซื้อ ทำให้ราคาสินทรัพย์พุ่งขึ้นไปอีก
ปู่เรย์ก็จะเลือกสินทรัพย์ที่ดี มีประโยชน์ ในแต่ละช่วงวัฏจักร
แล้ว ดี มีประโยชน์ นิยามยังไง?? เวลา ผู้จัดการกองทุนจัดพอร์ต ไม่ได้มองแค่ ผลตอบแทน แต่มองในมุมความเสี่ยงด้วย ดังนั้นปู่เรย์จะคัดสินทรัพย์ทีได้ประโยชน์จากการกระจายความเสี่ยง เมื่อผสมผสานกันแล้ว พอร์ตจะได้ผลตอบแทนที่ดีค่อนข้างสม่ำเสมอ มี drawdown ต่ำ
ตัวอย่างพอร์ตจาก https://www.theoptimizingblog.com/ โดยใช้ ETF ที่ตลาดเมกา
- 30% US stocks : VTI
- 40% long-term treasuries : VGLT
- 15% intermediate-term treasuries: VGIT
- 7.5% commodities, diversified: IAU
- 7.5% gold: PDBC
ผลลัพธ์เป็นอย่างไร ลองดู ในรูป
Portfolio 1 คือตัวอย่าง ส่วน Vanguard 500 Index คือ S&P500
ก็จะเห็นได้ว่า ผลตอบแทนนิ่ง ผันผวนต่ำ แต่ก็ไม่ได้โตแพ้หุ้นล้วนเลยนะครับในระยะยาว แค่มีบางช่วงเวลาที่จะได้น้อยกว่า (ก็หุ้นน้อยกว่านี่นะ)
ช่วงแถม
แล้วชาวบ้านอย่างเราๆจะ ทำพอร์ตแบบนี้ บ้างได้อย่างไร — เตือน section นี้ไม่เหมาะสำหรับมือใหม่ ต้องทำ MVO เป็นมาก่อน และมีประสบการณ์ ML
หลักการได้เล่าไปหมดแล้ว ผมสรุปให้ย่อๆเผื่อมีคนอยากสร้างพอร์ตนี้เอง
- ก่อนจะทำได้ต้องไปเข้าใจ Risk Parity ธรรมดาก่อน Tutorial ในเน็ตมีเยอะแยะ
- หา asset ที่เป็นตัวแทนของการลงทุนใน 4 วัฏจักรของ Ray คือ inflation, equity, interest rate, credit มาเป็น proxy หรือแตก exposure ของ asset กลับไปบน 4 อย่างนั้น (ตรงนี้ก็แล้วแต่แนวทาง)
- optimized บน contribution หาพอร์ตที่เข้าเงื่อนไข ตาม tutorial ก็จะใช้ solver กัน กำหนด constraint เอา แตก น้ำหนักกลับคืน asset class ที่เลือก
ข้อ 3 บอกเลยว่าคุณจะเจอกับ local minima ทำให้คุณได้โมเดลที่ ไม่ได้ดีที่สุด
แก้ปัญหาอย่างไร หรืออย่างไร รอลงเรียนคอร์ส เอ้ยย แซวเล่น .. อันนี้เป็นเทคนิคแพรวพราว ความลับทางธุรกิจของแต่ละสำนักละแหละ ยิ่งพวก Robo-Advisor ที่โชว์ๆกัน ผมคงเอามาบอกที่สาธารณะไม่ได้
ทีนี้พอร์ตแบบนี้เหมาะกับเงินเยอะๆ ต้องการให้เหวี่ยงน้อยๆๆ ถ้าเอามาใช้กับแบบธรรมดาละ?
บทความถัดไปจะประยุกต์ใช้แบบ เม่าๆให้ดูครับ เป็นการเริ่มแบบ Basic ก่อน