หนึ่งเดือนผ่านไปกับการเปลี่ยนจาก Software Engineer เป็น Consultant
สวัสดีครับผู้อ่านทุกท่าน คิดว่าหลายๆ ท่านคงยังจำบทความที่ผมเขียนอำลาบริษัทเก่าได้ ส่วนถ้าใครยังไม่ได้อ่าน ตามนี้เลยครับ
มาวันนี้ครบหนึ่งเดือนแล้วที่ผมทำงานที่ใหม่ ในฐานะ Mobile Consultant ก็เลยถือโอกาสเขียนเล่าแชร์ประสบการณ์ซะหน่อย ส่วนรูปคงลงไม่ได้นะครับ เพราะเป็นข้อตกลงระหว่าง Consulting firm กับ Client ดังนั้นผมจึงไม่สามารถเอ่ยชื่อ Client ที่ผมไปทำงานให้ได้ เดี๋ยวจะผิดกฎน่ะครับ >< เอาล่ะ มาเริ่มกันเลยดีกว่า…
จาก Software Engineer มาเป็น Consultant ต้องปรับตัวอย่างไรบ้าง
- เริ่มแรกก็เรื่องการแต่งกายครับ เนื่องจากต้องเป็นหน้าเป็นตาของ Consulting firm ผมจำเป็นต้องเปลี่ยนการแต่งตัวจากหน้ามือเป็นหลังมือเลย จากที่ใส่เสื้อยืด geek geek, กางเกง jean, กับรองเท้า Allbirds คู่ใจที่ไปสอยมาจากอเมริกา กลับกลายเป็นเสื้อเชิ้ต slim fit, กางเกงสแล็คเข้ารูปนิดหน่อย, เอาเสื้อเข้าในกางเกง, รองเท้าหนังขัดแบบเงาๆ ซึ่งตอนแรกๆ บอกได้เลยว่า ไม่ชินอย่างมาก รู้สึกอึดอัด และร้อนด้วย แต่ตอนนี้ก็เริ่มโอเคขึ้นแล้วครับ ปรับตัวได้แล้ว ขัดใจอย่างเดียว คือ รองเท้าหนังมันไม่นุ่มเหมือน Allbirds เลยง่ะ เศร้าแป้ป T^T
- การวางตัวและบุคลิกของตัวเราเมื่อต้องไปทำงานอยู่ที่ site ลูกค้า อันนี้ก็ต้องปรับพอสมควรเหมือนกัน เพราะลูกค้าที่จ้างเราไป consult ให้เขานั้น เขาคาดหวังกับเราอย่างมาก ไม่ว่าจะเป็นเรื่องงาน การให้ปรึกษา การช่วยพัฒนาระบบต่างๆ ไม่เว้นแม้กระทั่งบุคลิกและการวางตัว ต้อง smart ต้องเนี้ยบ และพยายามดูเป็น professional ให้มากที่สุด อันนี้ก็โอเค ไม่ได้ปรับยากเย็นอะไรเท่าไหร่
- งานค่อนข้างหนักมาก จากที่เคยเข้าเก้าโมง ออกหกโมงเย็น (หรือนั่งแก้บัคต่อแล้วแต่อารมณ์ อยากกลับเมื่อไหร่ก็เมื่อนั้น) ก็ต้องกลับมืดทุกวันเลย เร็วสุดที่เคยได้กลับคือ หนึ่งทุ่ม พีคๆ หน่อยก็สี่ทุ่ม แล้วก็ได้ยินพี่ๆ ที่เป็น senior consultant เล่าให้ฟังว่า มีบางช่วงที่ใกล้จะ launch ระบบแล้ว ช่วง SIT ช่วง UAT หรือช่วงเทสระบบกันหนักๆ ถึงขั้น overnight เลยก็มีนะฮะ แต่อันนี้ยังไม่เคยเจอกับตัว หุหุ
- ช่วงเวลาตื่นนอนและเข้านอนครับ อันนี้ค่อนข้างพีคมากเลย จากที่เคยตื่นแปดโมงกว่าชิลๆ สบายๆ เพราะที่พักอยู่ใกล้ออฟฟิตเก่ามาก เดินไปทำงานสบายๆ ทันเก้าโมง แถมเวลา flexible ด้วย กลับกลายเป็นว่าต้องเปลี่ยนมาตื่นหกโมงครึ่งเพื่อเผื่อเวลาแต่งตัวให้เนี้ยบ แล้วก็กว่าจะเดินทางไปถึง site ลูกค้าอีก มันเลยทำให้ผมเข้าใจว่าชีวิตคนกรุงเทพที่เร่งรีบมันเป็นแบบไหน เพราะก่อนหน้านี้ผมไม่เคยเข้าใจเลยว่า ทำไมต้องคนต้องรีบเดินหรือวิ่งบนบันไดเลื่อนรถไฟฟ้ากันด้วย ตอนนี้เข้าใจอย่างลึกซึ้งเลยครับ ห้าๆ ส่วนเวลาเข้านอน ปกติจะนอนดึกได้ชิลๆ ก็ต้องปรับเป็นนอนเร็วขึ้น เพราะกว่าจะกลับถึงที่พักก็มืดมากแล้ว แล้วเราก็เหนื่อยกับงานมาทั้งวัน ทำให้ร่างกายล้ามาก เลยนอนเร็วขึ้น เพื่อที่จะได้ตื่นเช้าได้ ซึ่งตอนนี้ก็เริ่มชินล่ะ
- ประสิทธิภาพของงาน หรือระบบที่ทำออกมา ต้องไร้ที่ติ ห้ามผิดพลาดใดๆ เลย เนื่องจาก client ตั้งความคาดหวังไว้กับเราสูงมาก เพราะฉะนั้นแล้วเราจะผิดพลาดไม่ได้เด็ดขาด หรือถ้าผิด ก็ต้องรีบแก้ปัญหาให้ได้เร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้ ไม่ว่าจะอยู่ที่ไหน ตอนไหนก็ตาม ต้องพร้อม support client ตลอด ซึ่งช่วงแรกก็รู้สึกอึดอัดนิดหน่อย เพราะ work-life balance เราจะเสียไปค่อนข้างเยอะเลย แต่หลังๆ มาเราก็เริ่มคิดได้ว่า เมื่อไหร่ที่ถึงวันที่ product ของ client ถูก launch ออกไป ซึ่งเราได้ช่วยเขาอย่างสุดความสามารถแล้วจริงๆ มันคงจะเป็นความรู้สึกดีที่บอกไม่ถูกแน่ๆ ซึ่งผมก็รอที่จะสัมผัสวันนั้นอยู่ อีกไม่นานหรอก อิอิ
- ความกดดันค่อนข้างสูง ถ้าเทียบกับที่เก่า เนื่องจากการเป็น Consultant ลูกค้าเขาจ้างเรามาให้คำปรึกษา ช่วยพัฒนาให้ออกมาดีที่สุด เพราะฉะนั้นแล้วเขาจะ push เราตลอดเวลา คำว่าทำไม่ได้ ต้องไม่ออกจากปากเราอย่างเด็ดขาด หัวเด็ดตีนขาดอย่างไร เราก็ต้องหา solution มาแก้ปัญหาให้ได้ แรงกดดันต่างๆ กลายเป็นเรื่องธรรมดาไปเลยสำหรับสายอาชีพนี้ เรียกได้ว่ามีความสตรองมากขึ้นเยอะเลย
- ทำใจไว้ได้เลยว่าเราแทบจะไม่ได้นั่งที่ออฟฟิตของตัวเองเลย ปีนึงเข้าออฟฟิตตัวเองไม่น่าจะเกินสิบครั้ง เพราะต้องไปทำงานกับ client ที่ site ตลอด เพราะฉะนั้นสถานที่การทำงานก็จะเปลี่ยนไปเรื่อยๆ ตามโปรเจคนั้นๆ นั่นเอง
ข้อดีของการเป็น Consultant
- ได้ใช้ภาษาอังกฤษมากขึ้นเยอะมาก เพราะในทีมนั้นมีต่างชาติเพียบเลย อิตาลี อินเดีย ฟิลิปปินส์ สิงคโปร์ คนไทยก็มีบ้าง ได้ฟังภาษาอังกฤษหลากหลายสำเนียงดี รู้เรื่องบ้าง ไม่รู้เรื่องบ้าง แต่ก็ฝึกไปเรื่อยๆ หวังว่าสักวันต้องเก่งภาษาอังกฤษให้ได้
- ค่าตอบแทนและสวัสดิการค่อนข้างสูง ซึ่งประเด็นเรื่องเงินนี้ผมเฉยๆ เพราะอย่างที่บอกไปแล้วในบทความอำลาบริษัทเก่า ว่าที่ผมลาออกมาเพราะอยากได้ภาษาอังกฤษและอยากลองทำงานแบบ multi-culture เต็มตัวสักครั้งในชีวิต ว่ามันเป็นยังไง ชีวิตเกิดมาแค่ครั้งเดียวนี่เนอะ ^^ อยากลอง อยากทำ อะไรก็รีบทำซะ นี่ไม่ได้ยุให้ลาออกกันนะ ขึ้นอยู่กับมุมมองของแต่ละคนซะมากกว่า
- โปรไฟล์ขยับไปอีกระดับ ทำให้เรามีทางเลือกมากขึ้น ไม่ว่าจะไปทางสาย management หรือสาย software engineer ก็ตาม เพราะ consult มันก็มีทั้ง management consulting หรือ technical consulting ซึ่งผมคงเลือก technical consulting นั่นแหละ เพราะยังรักการเขียนโปรแกรมอยู่เหมือนเดิม โดยเฉพาะภาษา Swift ><
- มีโอกาสไปทำงานต่างประเทศ อันนี้ขึ้นอยู่กับความถนัดเฉพาะทางของเราเป็นหลัก อย่างเช่นผมจะถนัดด้าน Swift, iOS เป็นพิเศษ สมมุติมีจังหวะที่ client ที่ต่างประเทศต้องการตำแหน่งงานด้านนี้พอดี ผมก็มีโอกาสที่จะถูกส่งไปอยู่ที่ไหนสักแห่งบนโลกใบนี้เป็นช่วงระยะเวลาหนึ่ง ไม่ได้ไปตลอดชีวิตนะ อาจจะสามเดือน หกเดือน เป็นต้น ซึ่งมันก็คงได้ประสบการณ์ใหม่ๆ อีกรูปแบบหนึ่ง
- ได้เรียนรู้อะไรใหม่ๆ อยู่ตลอดเวลา เนื่องจากพอเปลี่ยน client ที เราก็ต้องไปทำความเข้าใจภาพรวมของบริษัท client ใหม่ รูปแบบการทำงาน core business หลักของบริษัทลูกค้า ปัญหาที่เขาเจอ ซึ่งแต่ละ client มันจะแตกต่างกันไปเรื่อยๆ มันเลยทำให้เราต้องพร้อมที่จะเรียนรู้เรื่องใหม่ๆ ตลอดเวลา ทั้ง business และ technical ไปพร้อมๆ กัน
- มีความสตรองมากขึ้นเยอะ จากที่ได้กล่าวไปแล้วด้านบน :)
ข้อเสียของการเป็น Consultant
- การเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้นได้เสมอ เนื่องจากพอจบโปรเจคแล้ว ก็ต้องดูต่อว่า client จะจ้างเรา consult ต่ออีกหรือไม่ ถ้าไม่จ้างแล้ว ทางบริษัทต้นสังกัด ก็อาจจะต้องส่งเราไปทำในสิ่งที่เราไม่ถนัดก็เป็นได้ ยักตัวอย่างเช่น ผมถนัด Mobile แต่ก็อาจจะไม่ได้เขียนแอปก็เป็นได้ ซึ่งผมก็ไม่ได้ซีเรียสอะไรมาก ขอแค่มีความตั้งใจ ก็พร้อมที่จะเรียนรู้อยู่แล้ว
- Work-life balance ไม่ค่อยสมดุล อันนี้ไม่พูดซ้ำแล้วเนอะ เพราะได้กล่าวไปด้านบนแล้ว
- การวางแผนตารางเวลา เช่น เรื่องการไปเที่ยว วันหยุด เราอาจจะ fix ไม่ได้ 100% เนื่องจากเกิด client เกิดปัญหาร้ายแรงขึ้นมา เราก็ต้องพร้อมที่จะ support ตลอดเวลา สมมุติไปเที่ยวต่างประเทศก็ต้องพกคอมไปด้วย เผื่อเกิดปัญหาขึ้นมา ก็ต้อง remote มาแก้ปัญหาให้ลูกค้าได้
- ถ้ามีแฟนก็ต้องคุยกับแฟนให้เขาเข้าใจให้ได้เนอะ ว่ารูปแบบการทำงานของเรามันเป็นอย่างไร เวลาที่มีให้เขาอาจจะน้อยลง แต่คิดว่าประเด็นข้อนี้แต่ละคู่น่าจะมีวิธีปรับตัวกันได้เองอยู่แล้ว หวังว่าจะเป็นอย่างนั้นนะครับ อย่าตีกันๆ ไม่เอาๆ รักกันไว้ๆ ^^
สรุปตามความเห็นส่วนตัว
สำหรับตัวผมแล้ว ผมมองโลกแบบปลงแล้ว คือ ทุกสิ่งทุกอย่างมันมีทั้งด้านดี และไม่ดีอยู่แล้ว เราได้สิ่งหนึ่ง แต่ก็ต้องแลกกับการเสียอีกสิ่งหนึ่งไป ทุกอย่างมันมี trade-off หมดนั่นแหละ ไม่ว่าจะเรื่องงาน เรื่องส่วนตัว เรื่องการใช้ชีวิต หรือเรื่องใดๆ ก็ตาม ผมก็เลยไม่ได้ซีเรียสอะไรเท่าไหร่ พร้อมรับการเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา ถึงแม้บางครั้งการเปลี่ยนแปลงนั้นมันจะอาจจะส่งผลไม่ดีกับเราก็ตาม ส่วนถ้าอ่านมาถึงตรงนี้แล้วใครยังไม่เข้าใจว่าอาชีพ Consultant เขาทำงานกันยังไง ก็อ่านกระทู้นี้ได้เลยครับ จขกท อธิบายได้เข้าใจดีมาก
https://pantip.com/topic/32250148
เอาเป็นว่าเท่านี้ก่อนละกันเนอะ ไม่รู้จะเขียนอะไรแล้ว เพราะก็เพิ่งเป็น Consultant ได้แค่เดือนเดียวเอง ยังต้องเรียนรู้ และเจออะไรอีกมาก ไว้พบกันใหม่บทความหน้า สวัสดีครับ :)
ติดตามเรื่องราวต่างๆ ทั้งเทคโนโลยี มุมมองชีวิต การเรียนรู้ การใช้ชีวิต ได้ที่ https://www.facebook.com/itopstory/