Come back from Consultant to Software Engineer

Kittisak Phetrungnapha
iTopStory
3 min readJul 25, 2017

--

สวัสดีครับคุณผู้อ่านทุกท่าน วันนี้ผมจะมาแชร์ประสบการณ์การเป็น Consultant ตลอดระยะเวลาสามเดือนที่ผ่านมา ก่อนที่จะตัดสินใจลาออกและกำลังจะกลับมาเป็น Software Engineer เหมือนเดิม ก่อนอื่นถ้าใครยังไม่เคยอ่านบทความก่อนหน้านี้สองอัน แนะนำให้อ่านก่อนนะครับ เนื้อเรื่องมันจะต่อเนื่องกัน

สรุปคร่าวๆ เผื่อคนขี้เกียจอ่าน ก็คือตอนแรกผมเป็น Software Engineer อยู่ที่ Ascend มาได้สองปี กับอีกเก้าเดือน ก่อนที่จะลาออกมาเป็น Consultant ให้กับบริษัท Consultant ชื่อดังด้าน IT อันดับต้นๆ ของโลก หลังจากนั้นผ่านไปแค่สามเดือน ผมตัดสินใจลาออกจากบริษัท Consult นั้นมา (ยังไม่ทันผ่านโปรเลยด้วยซ้ำ) กลับมาเป็น Software Engineer เหมือนเดิม ให้กับบริษัทซอฟแวร์ต่างชาติเล็กๆ แห่งหนึ่งในใจกลางกรุงเทพมหานคร ซึ่งวันนี้ผมจะมาเล่าให้ฟังเกี่ยวกับมุมมองการตัดสินใจที่ค่อนข้างเสี่ยง เพราะการย้ายงานบ่อยมันก็คงไม่เป็นผลดีกับโปรโฟล์เราใช่ไหมล่ะ แต่ทำไมผมถึงตัดสินใจแบบนี้ เผื่อว่าจะเป็นประโยชน์ หรือให้แง่คิดบางอย่างกับผู้อ่านทุกท่านได้ครับ เอาล่ะ เกริ่นมาได้ซักพักแล้ว เรามาเริ่มกันเลยดีกว่าาา…

สิ่งที่ได้เรียนรู้ตลอดระยะเวลาสามเดือนกับการเป็น Consultant

  1. ทุกคนนั้น “เก่ง” และทำงานกันเป็น “Professional” ให้กับลูกค้ามากครับ ทุกคนมีความ active สุดๆ ซึ่งพอตัวเราไปอยู่ในสภาพแวดล้อมที่ถูกรายล้อมไปด้วยบรรยากาศแบบนี้ มันบังคับให้ถูก push แบบอัตโนมัติ และพัฒนาไปได้อย่างรวดเร็วมาก ทั้งในด้าน technical, communication, management เป็นต้น
  2. เราให้ความสำคัญกับลูกค้าที่ไป consult อย่างมาก ห้ามทำให้แพลนงานของเขาล่าช้า หรือผิดพลาดเด็ดขาด ถ้าผิดพลาด ก็ต้องรีบแก้ให้ได้อย่างรวดเร็ว ขึ้นอยู่ความรุนแรงของความผิดพลาดที่เกิดขึ้น โหดๆ หน่อย ก็ต้องแก้ให้ได้ ไม่งั้นกลับบ้านไม่ได้ หุหุ
  3. ได้ทำงานกับสภาพแวดล้อมแบบ multi-culture จริงๆ มีมาหมดจากทั่วโลก เช่น อเมริกา ยุโรป ละตินอเมริกา เอเชีย เป็นต้น ซึ่งมันทำให้เราได้เรียนรู้วิธี สไตล์การทำงานของคนหลากหลายแบบมากขึ้น รวมถึงได้พัฒนาภาษาอังกฤษทั้งด้านการฟังและพูดขึ้นไปอีก แต่ส่วนใหญ่จะได้ฟังซะมากกว่า แต่ละชาติก็สำเนียงไม่เหมือนกันอีก ฟังรู้เรื่องบ้าง ไม่รู้เรื่องบ้าง แต่รวมๆ ก็ชอบ และก็สนุกสนานดี ซึ่งมันทำให้เรากล้าเข้าหาฝรั่งมากขึ้นอีกด้วย
  4. ทุกคนช่วยเหลือกันตลอดเวลา ไม่ว่าจะเป็นงานของตัวเองหรือไม่ก็ตาม แต่ถ้าพอที่จะช่วยได้ ก็ยินดีที่จะช่วยด้วยความเต็มใจ
  5. รายได้ดี โดยเฉพาะสวัสดิการค่อนข้างดี (มาก) นอกจากพวกโบนัส (หลายเดือนอยู่), provident fund, ประกันสุขภาพ, ก็ยังมีเบิกค่าส่วนต่างระยะทางของออฟฟิตไทยกับบริษัทลูกค้าที่ไป consult ให้ ซึ่งบางคนเดือนๆ ก็ได้เกือบหมื่นเลยก็มี, สิทธิ์ในการซื้อหุ้นของบริษัทที่ถูกกว่าราคาตลาด มีงบให้เบิกไปซื้ออะไรก็ได้ แล้วเอาใบเสร็จกลับมาเบิกกับบริษัทเพื่อรับเงินคืน ปีละหลายหมื่นอยู่
  6. เครือข่ายมีอยู่ทั่วโลก คือ หมายความว่า ถ้าคุณติดปัญหาเรื่องใดๆ ก็ตาม สามารถสอบถามไปได้เลย ปัญหานั้นๆ ส่วนใหญ่จะมีคนเคยเจอ และได้บอกวิธีแก้ปัญหาไว้เรียบร้อย
  7. บริษัท Consult นั้นจะให้ความสำคัญเรื่อง training บุคลากรของเขาเป็นอันดับหนึ่ง มีการจัด training บ่อยมาก คือ เขาไม่มี product เป็นของตัวเองแบบเป็นตัวเป็นตน แต่พวกเขามี “คน” ที่เก่ง มีประสิทธิภาพ และพร้อมจะออกไปช่วยแก้ปัญหาให้กับลูกค้าได้
  8. มีขนม ข้าวมาให้กินเกือบตลอด หัวหน้าก็พาไปเลี้ยงบ่อยเหลือเกิน บางวันไม่ได้ใช้เงินเลยก็มี
  9. Career path ไปได้ไกลถึงระดับโลก ถ้าคุณอยู่นานพอ
  10. Developer ไทย เก่งไม่แพ้ต่างชาติเลย แพ้แค่เรื่องกำแพงภาษาอย่างเดียว
  11. งานหนักมาก work-life balance ไม่ค่อยดีเท่าไหร่ มาเช้า กลับดึกเป็นเรื่องปกติ
  12. แรงกดดันจากลูกค้าค่อนข้างสูงตามความคาดหวังของพวกเขาที่จ้างเรามานั่นเอง
  13. ต้องพร้อม support ลูกค้าตลอดเวลา มี laptop เป็นเพื่อนซี้คู่กาย ไปไหนไปกัน ถึงไหนถึงกัน มีเพื่อนไปต่างประเทศ มันยังเอาคอมติดตัวไปด้วยเลย กลางวันเที่ยว กลางคืนทำงานให้ลูกค้า นับถือความถึกของมันจริงๆ

สาเหตุของการตัดสินใจ “ลาออก” ในครั้งนี้

จะเห็นได้ว่าการเป็น Consultant นั้น มันมีทั้งข้อดีและข้อเสียอยู่ภายในตัวของมันเอง เอาจริงๆ ทุกสิ่งทุกอย่างบนโลกนี้มันก็เหมือนเหรียญสองด้านนั่นแหละ ทุกอย่างมันมี trade-off หมด อันนี้อยากให้ผู้อ่านทุกท่านเข้าใจไว้ มองโลกตามที่มันเป็นจริง ซึ่งสำหรับมุมมอง และสิ่งที่ทำให้ผมตัดสินใจลาออกในครั้งนี้ก็คือเรื่องของ “เวลา”

“เวลา” ในที่นี้ผมไม่ได้หมายถึง work-life balance ที่ไม่ค่อยดีของบริษัท consult นะ แต่มันขึ้นอยู่กับการ manage เวลาของแต่ละคนมากกว่า เพราะว่าผมเห็นหลายๆ คนมากที่เขาทำงานกันอย่างหนัก แต่พวกเขาทำด้วยใจรัก และมีความสุขมาก ซึ่งบางครั้งผมก็ไม่เข้าใจว่า ทุกคนกลับกันดึกมาก แต่ทำไมใบหน้านั้นถึงเต็มไปด้วยรอยยิ้ม และอิ่มเอม ทุกคนไม่เหนื่อยกันบ้างหรือ? ผมจึงเข้าใจว่า work-life balance และ time management ของแต่ละคนมันมีไม่เหมือนกัน ในส่วนของตัวผมนั้นที่ไม่สามารถ manage เวลาของตนเองได้อย่างลงตัว ซึ่งก็รู้สึก fail พอสมควร ก็ด้วยสาเหตุดังนี้

  1. ดันไปสอบติด ป โท คณะที่อยากเรียนมาก ที่ ฬ ซึ่งเรียนเป็นภาคพิเศษวันเสาร์อาทิตย์เต็มวัน แต่วันธรรมดาตอนเย็นก็คงต้องมีนัดทำงานกลุ่มกันกับเพื่อนๆ ด้วยแหละ
  2. มีไอเดียโปรเจค long term เข้ามา ซึ่งน่าสนใจ มีความแตกต่าง และมีโอกาสที่จะพัฒนาต่อไปได้ในอนาคต และอาจจะสร้าง passive income ในระยะยาวได้
  3. อยากศึกษาการลงทุนหุ้นแบบระยะยาวอย่างจริงๆ จังๆ ที่ผ่านมาสองปีเก็งกำไรตลอด พอร์ทลบไป 50% T^T ตอนนี้ปิดพอร์ทเก่าทิ้งไปล่ะ เตรียมเปิดอันใหม่ เอาฤกษ์เอาชัยซะหน่อย

ซึ่งหลังจากที่ผมประเมินสถานการณ์ การ manage เวลา ให้สามารถทำทุกอย่างไปพร้อมๆ กันได้อย่างลงตัว ก็พบว่า Consultant ไม่สามารถตอบโจทย์ให้ผมได้ พอตัดใจได้ปุ้ป (เพิ่งทำ consult ได้แค่สองเดือนเอง) ผมก็มีตัวเลือกสองทางละ คือ ทางแรกคือทำ Consultant เหมือนเดิมนั่นแหละ แต่คงต้องคุยกับหัวหน้าทีม และเพื่อนร่วมทีมว่าเราไม่สามารถ dedicate ตัวเองให้กับ client ได้อย่างเต็มที่นะ รวมถึง performance ของผมที่จะ drop ลงไปอีกด้วย ซึ่งถ้าผมเลือกทางนี้ คิดว่าทุกคนในทีมก็เข้าใจ และไม่ได้ว่า หรือตำหนิผมแต่อย่างใด แต่ผมไม่ชอบเห็นเพื่อนร่วมทีมนั่งทำงานกัน แล้วผมต้องกลับก่อน หรือเวลาเกิด case ที่ต้อง support ลูกค้าตอนช่วงสุดสัปดาห์ ผมก็ช่วยทีมไม่ได้อีกเพราะต้องไปเรียนหนังสือ ซึ่งผมไม่ชอบความรู้สึกแบบนั้นเอามากๆ เสียเลย มันดูเห็นแก่ตัวเกินไป ผมเลยตัดทางเลือกนี้ทิ้งไป

สุดท้ายก็เหลือตัวเลือกสุดท้าย ผมก็เริ่มมองหางานใหม่ทันทีที่ตัดสินใจได้ ซึ่งเดี๋ยวจะเล่าให้ฟังต่อว่า ตัวผมนั้นมีมุมมองในการเลือกบริษัทใหม่ เพื่อเปลี่ยนจาก Consultant กลับไปเป็น Software Engineer เหมือนเดิมได้อย่างไร ให้สามารถทำงาน เรียนโท ทำโปรเจค long term รวมถึงศึกษาหุ้นระยะยาว ไปได้พร้อมๆ กัน

ปัจจัยที่ใช้ในการเลือกบริษัทใหม่

  1. ต้องบริษัทต่างชาติเท่านั้น เพราะผมต้องการทลายกำแพงภาษาอังกฤษของตัวเองให้ได้ ซึ่งมันเป็นปัจจัยแรกที่ทำให้ผมลาออกจาก Ascend มาเป็น Consultant และผมก็ยังคงต้องการแบบนั้นอยู่เช่นเดิม
  2. ไหนๆ ก็จะกลับไปเป็น Software Engineer ล่ะ ต้อง iOS native เท่านั้น (อันนี้ความชอบส่วนตัว)
  3. เวลาการทำงานต้อง flexible มากๆ + วันลาเยอะๆ หน่อย วันลาไม่จำกัดได้ยิ่งดี หรือบางวันสามารถทำงาน remote ได้ถ้าจำเป็น ขอแค่ให้เรารับผิดชอบงานของตัวเองให้ได้ก็พอ แต่ก็ต้องไม่เขียนโค้ดกากๆ เพื่อแค่ให้งานเสร็จไปเท่านั้น ทำแล้วรู้สึกบาป
  4. ต้องเป็นบริษัทที่ Push Engineering คือ ให้ความสำคัญกับ technical ไม่แพ้กับ business และ management ซึ่งเอาตรงๆ ในไทยมีน้อยมาก เศร้าใจกับไทยแลนด์ 4.0
  5. ต้องใช้เทคโนโลยีใหม่ๆ ในการทำงาน ตาม trend ของโลกให้ทันอยู่ตลอดเวลา
  6. สภาพแวดล้อม สถานที่ บรรยากาศในการทำงานต้องชวนให้น่าทำงาน เวลานั่งทำงานแล้วไม่รู้สึกเบื่อ และมีพลังเพิ่มขึ้นตลอดเวลา รู้สึกว่าตัวเองเก่งขึ้นในทุกๆ วันที่เลิกงานไป
  7. ไม่เกี่ยงว่าจะต้องเป็นบริษัทเล็ก หรือบริษัทใหญ่ แต่สภาพคล่อง ความมั่นคงทางการเงินต้องอยู่ในเกณฑ์ดี
  8. รายได้และค่าตอบแทน ต้องสูสีหรือมากกว่า Consultant

ทำไมถึงหาที่ใหม่ได้อย่างรวดเร็ว

ตอนแรกก็คิดอยู่ว่า จะไปหาแบบด้านบนได้ที่ไหนในไทยวะเนี่ย ที่นึกออกแบบเร็วๆ ในหัว ในไทยก็มีแค่ไม่กี่เจ้า เช่น Agoda, Lazada, Amos, Omise, Oozou, SCB (Digital Transformation), KBTG เป็นต้น

ระหว่างที่นั่งคิดๆ อยู่นั้น ก็เผอิญไถหน้าจอ Facebook ไปเจอเพื่อนโพสประมาณว่า เปลี่ยนงานนะ แต่เขาไม่ได้บอกว่าจะย้ายไปที่ไหน ด้วยความเผือกของเราที่อยากรู้ว่าเขาจะย้ายไปที่ไหน เลยหลังไมค์ไปถามเขา ก็คุยๆ กันสักพักนึง ทีนี้ผมก็บ่นๆ ให้เขาฟังว่า อยากเปลี่ยนงานเหมือนกัน สาเหตุก็ตามที่บอกท่านผู้อ่านไปแล้วด้านบนนั่นแหละ เขาก็แนะนำว่า ให้ลองมาสมัครตำแหน่งเขาแทนไหม เป็น Senior iOS Developer เนี่ยแหละ บริษัทที่เขากำลังจะออกขาดคนพอดีเลย ผมก็เลยถามๆ ข้อมูลเกี่ยวกับบริษัทนั้นๆ ไปบ้าง เพื่อดูว่ามันจะเข้า criteria ที่ผมตั้งไว้กี่ข้อ ปรากฏว่าเข้าเกือบหมดทุกข้อเลย บางข้อที่ไม่เข้า ก็เป็น priorities ต่ำๆ ของผม ถือว่าโชคดีมากเลยทีเดียว ขอบคุณการไถหน้าจอ Facebook ณ เวลานั้น…

หลังจากนั้นผมก็ไม่รอช้า เอา CV ตอนไปสมัครบริษัท Consult มา adapt นิดหน่อย แล้วส่งเข้า workable ของบริษัทใหม่ไป จำได้ว่าส่งไปคืนวันอาทิตย์ เช้าวันจันทร์มา ได้เมลนัดสัมภาษณ์เลย รวดเร็วมาก และนี่ก็เป็นอีกเรื่องหนึ่งที่สอนให้ผมรู้ว่า “Connection” นั้นมันสำคัญมากขนาดไหน เพราะได้เพื่อนช่วยทำให้ process มันเร็วขึ้นนั่นเอง (ขอบคุณมากครับ) ส่วนตอนสัมภาษณ์ เราก็ต้องผ่านไปให้ได้ด้วยความสามารถของตัวเองอยู่ดีนั่นแหละ เพราะฉะนั้นถึงแม้ว่าจะมี connection ที่ดี แต่ก็อย่าลืมที่จะพัฒนาฝีไม้ลายมือของตนเองอยู่ตลอดเวลาด้วยล่ะครับ เพื่อสร้างทางเลือกให้กับตัวเราเองมากขึ้น

ก็ประมาณนี้แหละครับ เดี๋ยวก็ไปเริ่มที่ใหม่ต้นเดือนสิงหาคมแล้ว ส่วนผลลัพธ์จะเป็นยังไง จะเป็นดังที่หวัง และวางแผนไว้ทั้งหมดหรือเปล่า ทั้งเรื่องงาน เรื่องเรียน เรื่องโปรเจค รวมถึงกู้พอร์ทหุ้น ก็คงต้องรอดูกันต่อไว้ ไว้ผ่านไปสักพักจะมาเขียนแชร์ให้ฟังนะครับ แต่คิดว่าคงไม่ย้ายไปไหนในเร็วๆ นี้อีกแล้ว เพราะรู้สึกว่ามันจะย้ายบ่อยเกินไปล่ะ = =* และถ้าสุดท้ายแล้วมันไม่เป็นไปตามที่ผมหวังไว้ ก็ไม่เสียใจ เพราะเราได้ตัดสินใจเลือกไปแล้ว และก็อย่างที่บอกไว้ตอนแรกสุดที่ว่า

ทุกสิ่งทุกอย่างบนโลกก็เหมือนกับเหรียญ ที่มีสองด้านเสมอ

สรุป

ถ้าใครอ่านมาถึงตรงนี้ อาจจะคิดว่าอาชีพ Consultant มันโหดร้าย และน่ากลัวขนาดนั้นเลยหรือ จริงๆ แล้วไม่นะครับ ย้ำอีกครั้งว่า ขึ้นอยู่กับการ manage เวลาชีวิตส่วนตัว กับเวลางานให้ได้อย่างลงตัว ส่วนผมนั้น ถือว่าครั้งนี้ผม “พลาด” ไปเนื่องจากปัจจัยหลายๆ อย่าง ถ้าใครต้องการที่จะลองเปลี่ยนมาเป็น Consultant แต่ยังไม่มีข้อมูลมากพอ ก็มาคุยกันได้ครับ เดี๋ยวแชร์ข้อมูลให้ฟัง (เท่าที่แชร์ได้ เพราะบางเรื่อง confidential มากๆ) เผื่อว่าท่านผู้อ่านจะได้มีข้อมูลไปประกอบการตัดสินใจมากขึ้น สำหรับวันนี้ก็ลากันไปเท่านี้ก่อน แล้วพบกันใหม่ บทความหน้า สวัสดีครับ :)

ติดตามเรื่องราวต่างๆ ทั้งเทคโนโลยี มุมมองชีวิต การเรียนรู้ การใช้ชีวิต ได้ที่ https://www.facebook.com/itopstory/

https://www.facebook.com/itopstory/

--

--

Kittisak Phetrungnapha
iTopStory

I am a software engineer who fall in love to code, read, and write. :) itopstory.com