http://assets1.bigthink.com/system/idea_thumbnails/44596/size_1024/Growth%20mindset.jpg?1338577411

“เป็นไปไม่ได้” หรือ “ยังพยายามไม่พอ”

Kittisak Phetrungnapha
iTopStory
Published in
2 min readMar 11, 2017

--

ณ เวลาเกือบเที่ยงคืนแล้ว ซึ่งควรจะเป็นเวลาที่เตรียมเข้านอน แต่ทว่าจู่ๆ ก็มีอารมณ์นักเขียนขึ้นมา อยากเขียนเรื่องอะไรสักอย่างที่ช่วยเพิ่มพลังใจให้กับตนเอง รวมถึงท่านผู้อ่านทุกท่าน ว่าแล้วก็ไม่ลังเล เขียนเลยละกันนนน จั่วหัวข้อมาอย่างดิบดี (เหรอ? XD)

มันเป็นไปไม่ได้หรอก (จริงหรอ?)

เชื่อว่าทุกคนต้องเคยมีประโยคสุด classic ที่ว่า “มันเป็นไปไม่ได้หรอก” “มันยากเกินไป” “ไม่มีทางเป็นไปได้” “จะทำได้หรอ เลิกทำดีกว่า” ผ่านเข้ามา ไม่ว่าจะจากปากคนอื่น หรือความคิดที่ผุดขึ้นมาในสมองของเราเองก็ตาม ซึ่งผมก็ยอมรับว่า ตนเองก็เป็นเหมือนกัน โดยเฉพาะเมื่อสมัยตอนยังเด็กๆ และครั้งยังวัยรุ่น บ่อยครั้งที่เวลาเจอปัญหา อุปสรรคต่างๆ หรืออะไรก็ได้ที่ทำให้เรารู้สึกอึดอัดใจ ผมก็จะใช้เวลาเลี่ยงปัญหา ไม่กล้าเผชิญหน้าตรงๆ ที่นึกออกและเสียใจมากที่สุดเรื่องหนึ่งเลยก็คือ เรื่องภาษาอังกฤษ เพราะผมนั้นได้เรียนในโรงเรียนเอกชนที่มีสอนภาษาอังกฤษตั้งแต่ชั้น ป หนึ่ง ซึ่งจากการสอบถามจากคนอื่นๆ ก็พบว่า บางคนนั้นเริ่มเรียนภาษาอังกฤษก็ตอน ป สี่ โน่นเลยก็มี ถือว่าผมได้เปรียบค่อนข้างพอสมควร แต่ด้วยความที่ตอนเด็กดันป่วยเป็นโรคที่คนไทยส่วนใหญ่เป็นกัน (ขี้อาย) นอกจากจะไม่หาโอกาสให้ตนเองได้ใช้ภาษาอังกฤษในสถานการณ์จริงแล้ว เวลามีโอกาสเข้ามาหา ก็ดันวิ่งหนีมันซะอย่างนั้นเสียอีก เช่น เวลามีฝรั่งมาคุยด้วย มาถามทาง ถามโน่นนี่ ผมก็ยิ้มใส่ แล้วใบ้กินอย่างเดียว หลังจากนั้นก็เดินจากมา ปล่อยให้เขายืนงงเป็นไก่ตาแตกไปทั้งอย่างนั้น ผมเรียน grammar มามากมาย เก่งแค่ไหน แต่สุดท้ายเรื่อง listening กับ speaking กับไม่ได้ดีเลย ซึ่งกว่าจะเริ่มคิดได้ก็ตอนเรียนจบ เริ่มทำงานได้ปีสองปีแรก เริ่มพยายามพาตัวเองไปอยู่ในสภาพแวดล้อมที่ต้องใช้ภาษาอังกฤษตลอด เปลี่ยนโปรแกรมคอม มือถือ และทุกๆ อย่างที่ตนเองใช้ ให้กลายเป็นภาษาอังกฤษ อ่านบทความภาษาอังกฤษ ฝึกพูดคนเดียวบ้าง ฟังเพลง ดูหนัง soundtrack บลาๆ หรือเจอฝรั่งยืนงงๆ ดูแผนที่แถวรถไฟฟ้า ก็เข้าไปพยายามช่วยเขา พูดตะกุกตะกัก ไม่ได้ราบรื่นมากเท่าไหร่ แต่ก็คิดว่า ดีกว่าไม่ได้พูดเนอะ หรือโพสเฟสบุค เขียนอีเมลเป็นภาษาอังกฤษบ่อยๆ โดยมีความเชื่อว่า สักวันนึง ผมจะต้องใช้ภาษาอังกฤษอย่างคล่องแคล่วให้ได้ จนถึงตอนนี้ ผมก็ยังใช้ภาษาอังกฤษได้ไม่ดีเท่าที่ควร แต่ถ้าลองมองย้อนกลับไปในอดีต ก็พบว่าตัวเองมีพัฒนาการมาได้ดีในระดับหนึ่ง ซึ่งก็ต้องพยายามกันต่อไปอีกนั่นแหละ ชีวิตคือการเรียนรู้นี่เนอะ :)

เราให้ “เวลา” กับสิ่งๆ นั้นมากพอแล้วหรือยัง?

เขาว่ากันว่า คนเราเนี่ย ถ้าอยากจะเชี่ยวชาญในด้านใดๆ เราต้องให้เวลากับสิ่งๆ นั้น 10,000 ชั่วโมงเป็นอย่างน้อย ยกตัวอย่างง่ายๆ ทำไมเราถึงฟัง พูด อ่าน เขียน ภาษาไทยได้อย่างง่ายดายล่ะ บางทีใช้สัญชาตญาณเฉยๆ ซะด้วยซ้ำ จะบอกว่าเพราะเราเป็นคนไทยก็คงไม่ถูกเสียทีเดียว เพราะผมรู้จักคนไทยบางคน ที่ไปอยู่เมืองนอกตั้งแต่เกิด จนถึงตอนนี้เขาก็ยังใช้ภาษาไทยไม่คล่องเลย ส่วนที่เราใช้ได้คล่อง นั่นมันก็เป็นเพราะเราอยู่กับมันตลอด “เวลา” มิใช่หรือ?

หรือจะเป็นเชฟทำอาหาร ตามภัตตาคารชื่อดังต่างๆ ที่ทำของอร่อยๆ มาให้เรากิน (พูดแล้วก็หิวเลย…) เราก็ไปค้นวิธี สูตรการทำในอินเทอร์เน็ทก็มีเยอะแยะไปหมด แต่ทำไมพอเราลองทำตามแล้วมันไม่อร่อยแบบที่เขาทำล่ะ? คำตอบง่ายๆ เลยก็คือ เขาให้ “เวลา” กับมันมากกว่าเราหลายเท่าตัวยิ่งนัก ฝึกฝนอย่างหนัก กว่าจะสามารถทำออกมาได้อร่อยเลอค่าแบบที่เราได้กินกัน

หรือจะเป็นโปรแกรมเมอร์เก่งๆ บางคน เราก็สงสัยว่า เอ๊ะ ทำไมเขาถึงคิดตรรกะ วิธีแก้ปัญหาที่ยากๆ ได้อย่างง่ายดายแบบนี้นะ หรือทำไมเขาถึงเขียนโปรแกรมได้หลากหลายภาษาเหลือเกิน ถามว่าเขาทำได้ตั้งแต่แรกไหม? ตอบได้เลยว่า ไม่ เราไม่มีทางรู้หรอกว่ากว่าเขาจะทำได้ขนาดนี้ เขาต้องผ่านอะไรมาบ้าง ฝึกฝนหนักขนาดไหน ให้เวลากับมันไปมากมายเท่าไหร่ (ยกเว้นเขาเล่าให้ฟังอะนะ แอบกวนนิสนึง อิอิ) เราเพียงแต่มองเห็นว่าเขา “เก่ง” แค่นั้น จนลืมมองถึง “สาเหตุ” ของความเก่งนั้น

เติมเชื้อไฟให้ใจอยู่เสมอ

บ่อยครั้งเหลือเกิน ที่เราพยายามให้ “เวลา” กับสิ่งที่เราต้องการจะเก่งนั้น ระหว่างทางเราเกิดอาการ “ท้อ” หมดไฟกำลังใจที่ทำต่อซะอย่างนั้น ซึ่งก็ไม่แปลกครับ มันเป็นอารมณ์ปกติของมนุษย์ทั่วไปที่ต้องมีอยู่แล้ว เพราะ Comfort zone มันช่างเย้ายวนหอมหวานเต็มไปหมดซะอย่างนั้น ซึ่งสำหรับผมถ้าเกิดอาการ “หมดไฟ” ขึ้นมาเมื่อไหร่ ก็จะรีบหาสิ่งที่เติมเชื้อไฟให้ใจผมทันที เช่น อ่านหนังสือสร้างแรงบันดาลใจ เขียนบทความ ให้เวลากับความคิดตัวเองว่า จริงๆ แล้วเราต้องการอะไรกันแน่ หรือเราเกิดมาเพื่ออะไรกันแน่ เกิดมาเพื่อตายแค่นั้นหรอ? เป็นต้น มันก็เหมือนรถนั่นแหละครับ จะวิ่งทางยาวได้ ก็ต้องหมั่นเช็คเครื่อง เติมน้ำมันอยู่ตลอด แล้วนับประสาอะไรกับใจเราที่ก็ต้องหมั่นเช็คสภาพ และเติมไฟให้มันซะด้วย ส่วนที่ว่าอะไรที่ช่วยเติมไฟในใจให้ได้นั้น แต่ละคนคงมีไม่เหมือนกันหรอกครับ ทุกคนคงต้องค้นหามันด้วยตัวเองเท่านั้น

มันเป็นไปได้แล้ว

เมื่อเวลาผ่านไป เราก็จะพบว่า ไอ้สิ่งต่างๆ ที่เราคิดว่ามันยาก มันเป็นไปไม่ได้ มันไม่มีทางเกิดขึ้นได้หรอก แต่สุดท้ายมันก็เป็นไปได้จริงๆ และก็อีกครั้ง พอเรามองย้อนกลับไปในตอนแรกที่เราคิดว่ามันเป็นไปไม่ได้ ซึ่งถ้าตอนนั้นเราปล่อยให้เวลาไหลผ่านไปอย่างไร้ค่า ไม่ยอมเปลี่ยนความคิด มาลองพยายามดูสักตั้ง ให้เวลากับสิ่งๆ นั้นมากพอ เราก็คงไม่มีวันทำได้ตลอดชีวิตจนวันตายนั่นแหละครับ เพราะฉะนั้นให้คิดซะว่า

พยายามแล้วล้มเหลว ดีกว่าไม่ได้พยายาม

ทำแล้วเสียใจ ดีกว่าเสียใจที่ไม่ได้ทำ

ชีวิตเราเกิดมามีแต่เท่าทุน กับกำไร แล้วจะมัวกลัวอะไรอยู่

ทีนี้แล้วยังไงต่อ? เราสามารถทำสิ่งที่ตัวเองคิดว่าทำไม่ได้ ได้แล้วนี่ จบแค่นี้ละกันเนอะ จะบอกว่าถ้าคิดอย่างนี้ ถือว่าผิดมหันต์ เพราะชีวิตคนเรานั้นยังมีสิ่งที่เป็นไปไม่ได้รอเราอยู่อีกหลายอย่างให้เราไปท้าทายมัน มันก็เหมือนการเล่นเกมนั่นแหละครับ ผ่านด่านนี้แล้ว ก็ไปเล่นด่านต่อไปที่ยากกว่า ท้าทายกว่าเดิม ดีกว่ามัวแต่ชื่นชมกับความสำเร็จของตัวเอง เพราะต้องอย่าลืมว่า เวลาเป็นทรัพยากรที่มีค่ามากที่สุด ที่เราไม่สามารถเอามันกลับคืนมาได้ ไม่ว่าจะมีชื่อเสียงเงินทองมากมายแค่ไหนก็ตาม ชีวิตเรานั้นเกิดมาแค่ครั้งเดียวครับ อย่าไปคิดว่าชาติหน้าเราจะได้เกิดเป็นมนุษย์อีกหรือเปล่า อยากทำอะไร ให้รีบทำเลยครับ เพราะไม่รู้ว่าวันสุดท้ายในชีวิตของเราจะมาถึงเมื่อไหร่ ซึ่งเมื่อเราตายไปแล้ว สิ่งที่เหลือทิ้งไว้ในคนรุ่นหลัง ก็คงมีเพียงแต่เสียงสรรเสริญชื่นชม หรือไม่ก็เสียงด่านินทา เท่านั้นเองครับ

ชีวิตเป็นของเรา อยากได้แบบไหน เลือกเอาเองครับ เราเลือกได้อยู่แล้ว มันชีวิตเรานะ

ก็พอหอมปากหอมคอเพียงเท่านี้ก่อนละกันครับ ขอตัวไปนอนก่อน ตาจะปิดแล้ว XO อย่าลืมนะครับ ให้ “เวลา” กับสิ่งนั้นๆ ให้มากพอ แล้วเราจะได้ในสิ่งที่ตัวเองต้องการ และทำให้เรามีความสุขในที่สุดครับ สุดท้ายนี้ ขอลากันไปก่อน พบกันใหม่ บทความหน้า สวัสดีครับ :)

ติดตามเรื่องราวต่างๆ ทั้งเทคโนโลยี มุมมองชีวิต การเรียนรู้ การใช้ชีวิต ได้ที่ https://www.facebook.com/itopstory/

--

--

Kittisak Phetrungnapha
iTopStory

I am a software engineer who fall in love to code, read, and write. :) itopstory.com