http://previews.123rf.com/images/krasimiranevenova/krasimiranevenova1311/krasimiranevenova131100312/23972972-Change-Your-Mindset-Concept-Stock-Photo.jpg

Mindset and Positive Thinking

Kittisak Phetrungnapha
iTopStory

--

หลังจากเขียนบทความเกี่ยวกับ iOS มาได้สักพัก ก็มีความอยากลองเปลี่ยนไปเขียนบทความแนวอื่นๆ ดูบ้าง ใช้เวลาคิดอยู่สักพัก ก็นึกออกว่า เห้ย เราใกล้จะทำงานครบ 3 ปีแล้วนี่หว่า เวลาผ่านไปไวเหมือนกันแฮะ ทำไมความรู้สึกตอนทำงานช่วงแรกๆ กับตอนนี้มันช่างแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิงเลยนะ ก็เลยลองเขียนเกี่ยวกับ mindset ของตัวเองดูซะหน่อย เอาไว้อ่านเตือนสติตนเอง โดยเริ่มตั้งแต่ตอนเลือกคณะเรียน ป ตรี เลยละกัน เพราะมันเป็นจุดเริ่มต้นของการทำงานสาย IT ของเราเลย และต้องขอบอกก่อนเลยว่า บทความนี้ไม่ได้มีเจตนาจะกล่าวอ้าง พาดพิงถึงผู้ใด โอ้อวดตัวเอง หรือเชิญชวนให้ทุกคนทำตามแต่อย่างใด เพียงแต่มาเล่าเกี่ยวกับ mindset ของเราให้ฟังเฉยๆ โดยใครที่อ่านแล้วมีความคิดเห็นก็สามารถมาแลกเปลี่ยนกันได้ใน comment ครับ :)

ทำไมถึงเลือกเรียน Computer Science?

เอาตรงๆ เลยละกัน ก็คือ ที่บ้านเปิดร้านคอม เราชอบเล่นเกม มีเพื่อนไปเรียนที่ ม นั้นเยอะ แล้วเราก็ไม่รู้จะเรียนอะไรดี ก็เลยเลือกเรียนที่มันเกี่ยวกับคอมละกัน ซึ่งเป็นเหตุผลในการเลือกเรียนที่ฟังดูน่าตลกมากๆ เพราะจริงๆ แล้ว การเปิดร้านคอมมันไม่จำเป็นต้องใช้ความรู้ในการเขียนโปรแกรมก็ได้นี่หว่า เพราะงานจำพวกซ่อมคอม ลงวินโดว์ ลงโปรแกรม ลงเกม พิมพ์งานเอกสารต่างๆ ถ้าเราทำบ่อยๆ จนเกิดความเคยชิน และกลายเป็นทักษะติดตัวแล้ว มันก็ไม่ใช่เรื่องยากอีกต่อไป แต่ก็นะ ตอนนั้นยังเด็กไง ก็เลยเลือกเรียนด้วยเหตุผลตลกๆ แบบนี้

พอสอบเข้ามาได้ ก็ตามคาด ติดเหล้า ติดเพื่อน ติดเกมหนักมาก ไปตี dota กับเพื่อนที่ร้านเกมจนเกือบถึงเช้าทุกวัน แต่ก็ไม่ได้โดดเรียนนะ ถึงเวลาเรียนก็ไปเรียน มีหลับในคาบบ้าง พอเวลาใกล้สอบก็อ่านหนังสือแบบไฟลนก้นก่อนสอบหนึ่งอาทิตย์ไรงี้ คือ ยอมรับว่า ตอนนั้นไม่มี mindset เลยดีกว่า ไม่ว่าจะด้านดีหรือด้านลบ เพราะแค่ใช้ชีวิตไปวันๆ สนุกๆ ชิลๆ มีความสุขให้เต็มที่ก็พอล่ะ (แต่ชีวิตช่วงนั้นมันก็สนุกจริงๆ นะ มีแอบคิดถึงเหมือนกัน)

mindset ของเราตอนเรียน ป ตรี คือ ไม่มีเลย…

เริ่มต้นชีวิตการทำงาน

และแล้วเวลาก็ผ่านไปอย่างรวดเร็ว เห้ย จบปี 4 แล้วหรอวะ ต้องเตรียมหางานทำแล้วดิเนี่ย หมดแล้วชีวิตความสนุกวัยเรียน ตอนนั้น mindset เราก็เลยคิดง่ายๆ แค่ว่า ทำงานเกี่ยวกับการเขียนโปรแกรมอะไรก็ได้ ที่สบายๆ แล้วก็ได้เงินในระดับปานกลางก็พอแล้ว (ก็อุตส่าห์เรียนมาจนจบน่ะนะ ขอตรงสายหน่อยละกัน) ก็จับพลัดจับพลูไปเป็น Android Dev ของบริษัทเล็กๆ แห่งหนึ่ง (ซึ่งเราเลือกโดยไม่ได้สนใจ career path ของเราเท่าไหร่ ขอแค่ให้มีงานทำก็พอ) ตอนแรกก็เป็น Android Dev อยู่ดีๆ อยู่ๆ กลายเป็น Full Stack Dev ไปซะงั้น เพราะด้วยความที่มันเป็นบริษัทเล็กๆ เลยต้องทำแม่งมันทุกอย่างเลย และเนื่องจากเรามี mindset ที่รักความสบายในตอนแรก ผลลัพธ์ก็คือ งานก็เสร็จตามกำหนดทุกชิ้นน่ะแหละ แต่ในหัวมีคำว่า ปั่น ปั่น ปั่น และก็ปั่น ความไวเป็นของปีศาจ ขอให้เสร็จเป็นพอ copy paste รัวๆ มีแต่ quantity แต่ quality ต่ำมาก หรือถ้าเจองานยากๆ ก็จะบ่นๆ กับตัวเอง (นี่ถ้าย้อนเวลากลับไปได้ ขอไปตบหัวตัวเองเมื่อสามปีที่แล้วหน่อยละกัน) พอทำงานจบวันก็เล่นเกมกับเพื่อนเหมือนเคย แต่คราวนี้พัฒนาขึ้นมาหน่อย จาก dota เป็น dota 2 … โอ้ว น้อออ ฮ่าๆ ส่วนเรื่องการหาความรู้เพิ่มเติมในวิชาชีพตัวเอง เช่น อ่านข่าว IT หรืออ่านบทความด้าน programming นี่ไม่ต้องพูดถึง ไม่ทำอยู่แล้ว ขี้เกียจจจจะตาย

mindset ตอนทำงานปีแรก คือ รักความสบาย ติดเล่น ยังไม่ได้คิดอะไรเท่าไหร่

เราจะเป็นแบบนี้ไปตลอดหรอ?

พอทำงานมาได้สักปีกว่าๆ ด้วยความที่เราก็เป็นคนที่มีความทะเยอทะยานอยู่ระดับหนึ่ง บวกกับโตขึ้นบ้างแล้ว เราก็เริ่มมาคิดถึงอนาคตของเรา และครอบครัวที่เราจะสร้างในอนาคต (แต่ ณ ตอนนี้ก็โสดอยู่ (-*-))​ แล้วว่า ทำยังไงถึงจะประสบความสำเร็จในชีวิต ไม่ต้องถึงกับรวยเว่อ แค่มีเงินใช้อย่างไม่ลำบาก และมีความสุขก็พอแล้ว มีหลายๆ ครั้งอยู่เหมือนกันที่ชอบคิดว่า ทำไมเราไม่เกิดมาอยู่บนกองเงินกองทองเหมือนคนรวยๆ คนอื่นๆ บ้างล่ะ? ชีวิตดี้ดีอ่ะ แต่ก็มันก็เท่านั้นแหละ เพราะถ้าเรามัวแต่น้อยเนื้อต่ำใจตัวเอง อิจฉาคนอื่นเขา แล้วชีวิตมันจะดีขึ้นได้อย่างไร ทำไมเราไม่เอาเวลาที่มามัวคิดแบบนี้ ไปทำให้สิ่งที่เราฝันให้เป็นจริง หรือใกล้ความจริงมากขึ้นล่ะ?? เพราะว่าคนเราทุกคนก็มีเวลา 24 ชั่วโมงต่อวันเท่ากัน อยู่ที่ว่าจะบริหารจัดการอย่างไร และที่สำคัญก็ต้องตระหนักด้วยว่า

เวลาเป็นทรัพยากรที่มีค่ามากที่สุด ที่ไม่สามารถเอากลับคืนมาได้

หลังจากนั้นเราก็เริ่มปรับ mindset ของตัวเองแบบยกเครื่องใหม่ทั้งหมด เริ่มที่

  1. ลาออกจากบริษัทแรกที่ทำงาน เพราะคิดดูแล้ว โอกาสเติบโตยาก
  2. เลือกบริษัทที่สอง (ซึ่งเป็นบริษัทที่เราทำอยู่ปัจจุบันนี้ ในตำแหน่ง iOS Software Engineer) โดยปัจจัยแรกสุดที่เราเลือกเลยก็คือ ต้องเลือกจากหัวหน้างานของเราก่อนเลย เพราะต่อให้เราเลือกบริษัทที่ดี ใหญ่ เงินเดือนดีแค่ไหน แต่ถ้าหัวหน้าเราไม่ดี เป็นคนใจแคบ ไม่ให้โอกาสน้องๆ ในทีม เราก็ไม่มีทางที่จะเติบโตอะไรได้เลย คิดว่าทุกคนคงเคยเห็นคำกล่าวนี้มาบ้าง ซึ่งเราเห็นด้วย 100% เต็ม

Don’t pick a job. Pick a Boss. Your first boss is the biggest factor in your career success.

3. เปลี่ยนวิถีการใช้ชีวิต เลิกเล่นเกม ศึกษาหาความรู้เกี่ยวกับวิชาชีพของตนอื่นเพิ่มเติมตามบทความ programming ต่างๆ ที่ปัจจุบันช่างหาง่ายเหลือเกินใน internet เพราะอย่างที่ทุกคนรู้ๆ กัน สายงาน IT มันโหด โลกมันหมุนเร็ว สิ่งที่เรารู้ในตอนนี้ พรุ่งนี้อาจจะใช้ไม่ได้แล้วก็ได้ ตัวอย่างก็มีให้เห็นกันเยอะแยะว่า programming language ใดที่ตายไปแล้วบ้าง

ออกจาก comfort zone ซะ ถ้าอยากรวย

4. ฝึก ฝึก และฝึกภาษาอังกฤษ เพราะว่าภาษาอังกฤษสำหรับสาย IT แม่งโคตะระสำคัญเลย (จริงๆ ต้องเรียกว่า ภาษาอังกฤษสำคัญกับทุกอาชีพเลยมากกว่า) เพราะมันเป็นหนึ่งในใบเบิกทางให้เราเติบโตได้ดีที่สุดในสายอาชีพของเรา ลองคิดดูว่า มีคนอยู่สองคน คือ คนแรกนาย A ทำงานเก่งเฟ่อ แก้ code ได้อย่างรวดเร็ว algorithm ระดับเทพ แต่พูดภาษาอังกฤษไม่ได้ คนที่สองนาย B ทำงานระดับปานกลาง ไม่ได้เทพมาก อาจจะใช้เวลานานนิดหน่อยกว่างานจะเสร็จ เนื้องานก็มีคุณภาพระดับนึง แต่นาย B สามารถใช้ภาษาอังกฤษในการสื่อสารได้อย่างคล่องแคล่ว ลองคิดดูแล้วกันว่า career path ของใครจะไปได้ไกลกว่า ระหว่างคนที่อยู่แค่ local กับคนที่ไป global ได้ ซึ่งเรื่องภาษาอังกฤษเป็นหนึ่งในเรื่องที่เรารู้สึกเสียดายเป็นอย่างมาก ที่ตอนเด็กๆ ไม่ตั้งใจเรียน ไม่กล้าพูด ขี้อาย ฝรั่งเดินมาคุยด้วย ก็ blink หนีอย่างเดียว แต่ตอนนี้เราก็พยายามฝึกฝนอยู่ พยายามหาโอกาสให้ตัวเองได้ใช้ภาษาอังกฤษให้ได้มากที่สุด เพราะเราเชื่อว่า

ความพยายามอยู่ที่ไหน ความสำเร็จอยู่ที่นั่น

5. เริ่มวางแผนการเงิน และแบ่งเงินบางส่วนไปลงทุนบ้าง เพราะปัจจุบันดอกเบี้ยเงินฝากที่ธนาคารให้เรามันช่างน้อยนิดเหลือเกิน ในขณะที่อัตราเงินเฟ้อสูง ข้าวของแพงขึ้น ยิ่งบางประเทศมีนโยบายดอกเบี้ยติดลบด้วย คือ ยิ่งฝากเงินไว้ในธนาคาร ค่าของเงินยิ่งลดลงเรื่อยๆ เพราะฉะนั้นเราก็เลยลองมองหาวิธีที่จะให้เงินทำงานให้เราบ้าง เช่น แบ่งเงินไปซื้อกองทุน หุ้น เป็นต้น วันนี้เรายังสามารถใช้แรงแลกเงินได้อยู่ แต่พออายุมากขึ้น เมื่อถึงวันที่เราทำอะไรได้น้อยลง ถ้าเราไม่รู้จักให้เงินทำงานด้วยตัวมันเอง ไอ้จะเอาแรงไปแลกเงินก็ไม่ค่อยมีแล้ว แล้วเราจะอยู่ได้อย่างไร?

6. วางแผนเรียนต่อปริญญาโทภาคพิเศษ (เสาร์ อาทิตย์) ที่เราคิดจะเรียนเสาร์อาทิตย์ เพราะว่า เราไม่อยากเสียประสบการณ์การทำงานไปถึงสองปี ประสบการณ์ในการทำงานจริงนั้น มีค่ามากกว่าความรู้ในห้องเรียนเสียด้วยซ้ำ เอาจริงๆ ถ้าเราถามตัวเองว่า เราจำเป็นต้องเรียนต่อ ป โท หรือไม่ ตอบได้เลยว่าไม่จำเป็น เพราะงานสาย IT สามารถเรียนรู้ได้ด้วยตัวเองอยู่แล้วใน internet เพียงแต่เราคิดว่า สิ่งที่เราจะได้นอกเหนือจากความรู้ในรั้ว ป โท มหาวิทยาลัย ก็คือ ประสบการณ์ การบริหารจัดการเวลา connections ต่างๆ และการประยุกต์ใช้สิ่งที่เรารู้ไปต่อยอดให้เกิดผลได้นั่นเอง โดยเราตั้งใจจะเข้า Software Engineering ที่ ฬ ให้ได้ (หวังว่านะ)

7. มองโลกในมุมที่แตกต่างออกไปจากเดิมเสียบ้าง สมมุติว่าเราเจ็บป่วย เป็นโรคที่เป็นเรื้อรัง เช่น กรดไหลย้อน (เราเป็นอยู่) แทนที่เราจะมานั่งเซง รำคาญกับมัน ลองเรียนรู้ที่จะอยู่กับมันให้ได้ เพราะมันสอนให้เรารู้ว่า เราต้องดูแลตัวเองให้ดีมากกว่านี้นะ… หรือในกรณีที่เราล้มเหลวในเรื่องใดๆ ก็ตาม จงรีบลุกขึ้นมาให้ไว จงเรียนรู้จากมัน ให้มันเป็นครูของเรา ดูอย่าง โทมัส เอดิสัน กว่าเขาจะสร้างหลอดไฟขึ้นมาได้ เขาล้มเหลวไปเป็นพันๆ ครั้ง แต่เขาก็เลือกที่จะคิดว่า เขาไม่ได้ล้มเหลวนะ เขาแค่รู้วิธีที่ทำแล้วไม่สำเร็จเพิ่มขึ้นก็เท่านั้นเอง ถ้าคิดและทำได้แบบนี้ เราจะเก่งขึ้นอย่างมาก ไม่ว่าจะเรื่องอะไรก็ตาม

8. ทำสิ่งที่มันสามารถสร้าง inspiration และ motivation ให้กับตัวเราได้ เพราะมันจะเป็นเสมือนขุมพลังอันมหาศาลที่จะช่วยไม่ให้เราถอดใจ ล้มเลิกในสิ่งที่ตั้งใจไปเสียก่อน เราเคยได้ยิน CCO บริษัทเราพูดไว้ประโยคนึง เราชอบมาก เขาบอกว่า

ถ้าเรากิน “ข้าว” แปปเดียว เดี๋ยวเราก็หิวแล้ว แต่ถ้าเรากิน “ความสำเร็จ” เราจะกินไปได้ตลอดชีวิต

อย่างเราเป็น Software Engineer เกือบทุกครั้งที่เราเขียน code (จะบอกว่าทุกครั้งก็เป็นไปไม่ได้หรอก) เราจะใส่ “ใจ” ลงไปด้วยเสมอ มันทำให้เรามีความสุข รักในงานที่ทำ ทำงานโดยมองที่ quality มากกว่า quantity

9. แบ่งปันความรู้ ประสบการณ์ที่เรามี ที่พอจะแบ่งปันได้ให้กับคนอื่น หลังจากเราอ่านบทความของคนอื่นๆ มาต่างๆ นานา ทั้งเชิง IT, Business, Design และอื่นๆ มามากพอสมควร เราก็ควรทำอย่างที่เขาทำให้เราบ้าง นั่นจึงเป็นจุดเริ่มต้นของการเขียน blog ของผมนั่นเองครับ

mindset ตอนนี้ กระหายที่จะเรียนรู้สิ่งใหม่ๆ และประสบความสำเร็จในชีวิตให้ได้

เอาเป็นว่าจบเท่านี้ก่อน เดี๋ยวจะยาวเกิน แต่ก่อนจะจากกันไป เราขอฝาก video ไว้อันนึง ความยาวประมาณ 1 ชม. เป็นเรื่องเกี่ยวกับ Developer Mindset เราดูแล้วชอบมากๆ ขอยกให้เป็น video ที่ดีที่สุดอันนึงที่เราเคยดูเลย ซึ่งเนื้อหาไม่ใช่เชิง technical อย่างเดียว คนธรรมดาทั่วไปก็สามารถดูได้ เพราะเขาสอน “วิธีคิด” และ “การพัฒนาตัวเอง” ให้เก่งขึ้นในทุกๆ ด้าน

“Developer Mindset: Make Your Own Path to success” by nuuneoi

สำหรับวันนี้ลากันไปก่อน พบกันใหม่ บทความหน้า สวัสดีครับ :)

ติดตามเรื่องราวต่างๆ ทั้งเทคโนโลยี มุมมองชีวิต การเรียนรู้ การใช้ชีวิต ได้ที่ https://www.facebook.com/itopstory/

--

--

Kittisak Phetrungnapha
iTopStory

I am a software engineer who fall in love to code, read, and write. :) itopstory.com