จาก “Intern” สู่พนักงาน “Full-time” ทีม Data ที่ Jitta

Kaweetip Charoenprawatt
Jitta Engineering
Published in
3 min readJul 24, 2024

สวัสดีครับ ผมชื่อตูน ผมอยู่กับ Jitta มาตั้งแต่ ฝึกงานจนตอนนี้ผมเป็น Data Solutions Developer ของ Jitta ครับ

ประวัติคร่าว ๆ

  • คณะวิศวกรรมศาสตร์ สาขา Robotics and AI จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย 2022
  • Jitta Internship Position : Solutions Specialist 2021
  • Jitta Part-time Position : Data Scientist 2022
  • Full-time Position : Data Solutions Developer to present

ช่วงเวลาระหว่างเป็นนิสิตนักศึกษากับ First Jobber เป็นอีกช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อในชีวิตเลยครับ มีทั้งความรู้สึกที่ไม่แน่ใจ ไม่มั่นใจในตัวเองว่า เราเก่งพอรึเปล่า ? เรื่องที่เราเรียนมามันจะเอาไปใช้อะไรได้บ้าง ? หรือแม้กระทั่งว่า เดินเข้าไปออฟฟิศวันแรกจะเป็นยังไง ? การฝึกงานจึงเป็นคำตอบที่เราจะได้ไปลองสมมติว่าเป็น ‘คนทำงาน’ จริงๆ และที่สำคัญที่สุดเลยก็คือ มหาลัยบังคับให้เก็บหน่วยกิตครับ นั่นก็เลยกลายเป็นจุดเริ่มต้นการฝึกงานของผม

มาฝึกงานที่ Jitta ได้ยังไง ?

ตอนช่วงปี 3 ผมเริ่มสนใจด้านการลงทุน เพราะช่วงนั้น Covid-19 ระบาดหนัก ออกไปไหนไม่ได้แม่ก็เลยเริ่มไม่ให้ค่าขนม55 ผมจึงต้องหารายได้เอง เลยได้มาเริ่มศึกษาเรื่องการลงทุน พอใกล้ถึงช่วงปิดเทอมใหญ่ มีวิชาฝึกงานที่ผมต้องเก็บหน่วยกิตให้ครบ ผมเป็นรุ่นแรกของภาควิชานี้ เพื่อนๆผมไปฝึกงานกันหลากหลายเลย มีทั้ง Infrastructure, Business Analyst แต่ว่าส่วนใหญ่แล้วก็ฝึกงานสาย Data กันครับ ทั้ง Data Analyst, Data Scientist แล้วก็ Machine Learning Engineer

ด้วยความที่ผมสนใจการลงทุน เลยลองถามพ่อดูว่ามีบริษัทไหนบ้างที่ทำเกี่ยวกับการลงทุน พ่อจึงแนะนำให้ไปลองดู Jitta ผมจึงไปอ่านข้อมูลของที่นี่มาและผมก็พบว่าธุรกิจของ Jitta น่าสนใจมากๆ เป็นบริษัท StartUp ด้าน FinTech/WealthTech ซึ่งนอกจากจะเกี่ยวกับการลงทุนแล้ว ยังเกี่ยวกับด้านที่ผมเรียน (Robotics and AI) ด้วย ผมก็เลยตัดสินใจยื่นใบสมัครฝึกงานที่นี่เลยครับ

ฝึกงานทีม Data รับผิดชอบอะไรบ้าง แล้วตูนต้องรับผิดชอบอะไรบ้าง ?

ตอนนั้นทีม Data มีแค่พี่อีกคนที่เป็น Head ของทีม และถ้ารวมผมด้วยก็กลายเป็น 2 คน เป็นทีมเล็กๆ ที่ scope งานกว้างมาก งานที่ผมได้รับมอบหมายจึงค่อนข้างหลากหลาย

งานหลักๆ ของทีมคือการนำข้อมูลของลูกค้าและข้อมูลบน platform มาวิเคราะห์และนำข้อมูลเหล่านั้นมา support ทีมอื่นๆ รวมไปถึงการทำ solution เพื่อแก้ไขปัญหาต่างๆ อย่างเช่น chatbot สำหรับตอบลูกค้าที่ทัก Line มาช่วงนอกเวลางานของทีม Wealth Management ที่ดูแลลูกค้าด้วยครับ

โปรเจกต์ที่ได้รับมอบหมายก็มีตั้งแต่การทำระบบเกี่ยวกับ chatbot การวัดผลการตอบคำถามลูกค้า การจำแนกประเภทของคำถามด้วย machine learning และการสร้าง + monitor data pipeline

ซึ่งเป็นโอกาสที่ดีและเป็นสิ่งที่ผมชอบมากที่จะได้เรียนรู้และลองใช้ tools หลายๆอย่าง

ระบบของทีม Data ส่วนใหญ่อยู่บน Google Cloud Project ซึ่งเป็นอะไรที่แปลกใหม่มากสำหรับผมตอนนั้น ผมก็ค่อยๆ เรียนรู้ไปเรื่อยๆ ตรงไหนไม่แน่ใจก็สามารถถามได้จากพี่ๆ ทุกทีมเลย

Key Project ที่ทำตอนฝึกงาน

ผมขอยกโปรเจกต์ chatbot มาเป็นตัวอย่างละกัน โปรเจกต์นี้เป็นงานแรกที่ผมได้รับมอบหมาย bot ตัวแรกที่ใช้นั้นเป็น service ของ Google ตัวนึงชื่อว่า Dialogflow ES เป็นแพลตฟอร์มสำหรับทำ chatbot ง่ายๆ ไม่ซับซ้อน สิ่งที่ผมต้องทำคือการย้ายเจ้า bot ตัวนี้ไปยัง Dialogflow CX ซึ่งต้องสร้าง flow คล้ายๆ กับ state machine ทำให้สามารถตอบคำถามได้ซับซ้อนกว่าและมีลูกเล่นเยอะขึ้น พอย้ายเสร็จแล้วก็ทำให้มันมีความสามารถมากขึ้น เช่น การสร้าง flow เพื่อเก็บข้อมูลและการส่งข้อความพิเศษ เป็นต้น

จุดผันตัว จาก Intern → Part-time → Full-time

เป้าหมายหลักในการฝึกงานของผม คือ การสร้างประสบการณ์และเพิ่มทักษะของเรา ดังนั้น สิ่งที่สำคัญคือจะต้องพร้อมเรียนรู้สิ่งใหม่ๆ อยู่เสมอ และพยายามเรียนรู้ระบบการทำงาน เช่น การสร้าง progress ในการทำงาน การมี milestone และ goal ที่ชัดเจน

อีกสิ่งที่ผมประทับใจในการได้มาฝึกงานที่ Jitta คือ บริษัทเปิดโอกาสให้เราได้ทำโปรเจกต์ของจริง และเอามาใช้จริงทำให้เราเห็น impact และ result ต่อองค์กร ทำให้รู้สึกว่าเรามีส่วนได้ contribute ให้กับบริษัทจริงๆ แม้จะเป็น Intern และนอกจากจะได้เรียนรู้งานแล้ว ที่นี่ยังมีให้ค่าขนมตอนฝึกงานด้วย

หลังจากฝึกงานจบ ผมได้รับ offer จากพี่เผ่า CEO ของที่นี่ ให้ทำ part-time ต่อในระหว่างที่กลับไปเรียนปี 4 ในช่วงที่ทำ part-time ผมก็พยายามแสดงความพยายามและความตั้งใจในการทำงานที่ได้รับมอบหมายอย่างเต็มที่ ดีที่ว่าช่วงปี 4 ผมมีเรียนแค่วันละไม่กี่ชั่วโมง เลยแบ่งเวลามาทำงานได้เยอะ แต่ตอนปลายเทอมที่ต้องส่งโปรเจกต์จบที่มหาลัย ช่วงนั้นงานเยอะเหมือนกันครับ แต่ก็คุยกับพี่ที่เป็น Head ของทีม Data และพี่เขาก็ช่วยปรับ timeline งานที่ Jitta ให้ เพื่อไม่ให้กระทบกับโปรเจกต์จบของผม

อันที่จริง การได้เรียนรู้สิ่งใหม่ๆ และระบบต่างๆ ระหว่างทำงานที่ Jitta ทำให้ผมเห็นโอกาสและความเป็นไปได้ ที่จะนำความรู้ที่ได้รับไปประยุกต์ใช้กับโปรเจกต์จบของผมซะด้วย

สุดท้ายพอเรียนจบ พี่เผ่าก็ offer ให้ผม convert มาเป็น full-time ต่อเลย แต่ก่อนเริ่มงาน ผมอยากพักไป Work and Travel ก่อนสัก 4 เดือน อยากหาประสบการณ์ด้วยครับ ตอนแรกก็แอบกลัวว่าตั้ง 4 เดือนเลยนะ พี่เผ่าจะเปลี่ยนใจไปจ้างคนอื่นแทนมั้ย555 แต่พี่ๆ Founders ก็เข้าใจ และให้ผมเซ็นสัญญาไว้ล่วงหน้าก่อนจะบินไปอเมริกาเลย พอกลับมาปุ๊บผมก็เริ่มชีวิตพนักงานประจำเลยครับ

ปัจจุบันทำงานที่ Jitta ทำอะไรบ้าง ใช้ความรู้จากตอนฝึกงานยังไง ?

ปัจจุบันหน้าที่ที่ผมรับผิดชอบหลักๆ ก็คือการทำ solution ศึกษา tools ต่างๆ และนำมาประยุกต์ใช้ คล้ายๆ กับตอนฝึกงาน บวกกับมีงานด้าน Data Engineer มาเพิ่มด้วย การฝึกงานทำให้ผมได้รู้จักและได้ลองใช้ service หลายๆ ตัว ทำให้ผมได้เห็นภาพรวมของทีมและสามารถ migrate service อื่นๆ เข้ามาอยู่ใน Google Cloud รวมเป็นโปรเจกต์เดียวได้ การ setup infrastructure ต่างๆ ภายในทีม รวมถึง integrate tools ใหม่ๆ เพิ่มเข้ามาในโปรเจกต์ด้วย

Culture ที่ Jitta เป็นยังไงบ้าง ตอนฝึกงานกับตอนทำงานจริง เหมือนหรือต่างกันยังไง ?

โดยรวมการทำงานที่ Jitta นั้นสนุกมากเลยครับ มีจัดปาร์ตี้และกิจกรรมอยู่บ่อยๆ เหมาโรงพาไปดูหนังหรือถ้าเดือนไหนไม่มีหนังที่น่าสนใจก็จะมีกิจกรรมอื่นๆ แทน มีไปเล่นกีฬากันทุกอาทิตย์ อย่างแบดมินตันและฟุตบอล ส่วนตัวผมไม่ได้เล่นแบดมินตันกับบอลเลยไปปีนเขาแทนครับ แล้วก็ที่ออฟฟิศมีโต๊ะปิงปองให้ตีด้วย

ที่ Jitta ทำงานแบบ Work from Anywhere ครับหรือถ้าใครอยากเข้าออฟฟิศก็สามารถเข้ามาได้ มีอาหารเที่ยงให้ ฝีมือป้าอร่อยมาก! ขนมกับน้ำหวานหยิบเองได้เรื่อยๆ สำหรับผมตอนช่วงฝึกงานนัดกับทีมเข้าออฟฟิศสัปดาห์ละ 2 ครั้ง ตอนผมฝึกงานเป็นช่วง Covid เลยไม่ได้เจอเพื่อนฝึกงานคนอื่นๆ เท่าไร อาจจะเหงาๆ หน่อยแต่ก็ได้เจอกับพี่คนอื่นๆ ทุกคนก็เฟรนลี่มาก สามารถถามเรื่องต่างๆ ได้ตลอดเวลาติดปัญหาอะไร

ถ้าเทียบระหว่างตอนฝึกงานกับทำงานจริงนั้นแทบไม่ต่างกันเลย จะมีแค่หน้าที่ความรับผิดชอบที่มากขึ้น พร้อมกับโปรเจกต์ที่ใหญ่ขึ้น แล้วก็ต้องทำ Performance Review กับ OKR ซึ่งสามารถทำได้ตั้งแต่ยังเป็น part-time เลยครับ

โดยส่วนตัวผมชอบการทำงานแบบ Work from Anywhere และ Flexible Hour มากเลยครับ เพราะสามารถจัดการเวลาของตัวเองได้ ไม่ต้องเสียเวลาเดินทาง และผมเป็นคนชอบทำงานตอนกลางคืน แต่ก็ต้องมีความรับผิดชอบในการจัดการเวลาของตัวเอง ทำงานให้เสร็จตามแผนและบริหาร Work-Life Balance ให้ดี

Culture ที่ Jitta น่าจะเรียกได้ว่าเรา Work Smart, Play Hard & Always Celebrate คือเต็มที่ทั้งเรื่องงานและเรื่องเล่น แล้วก็ให้ความสำคัญกับการฉลองในทุกๆ ความสำเร็จครับ ไม่ว่าจะเป็นความสำเร็จใหญ่ขององค์กร หรือความสำเร็จย่อยของทีม เพราะอย่างนี้เราถึงได้มีปาร์ตี้ให้แจมกันอยู่บ่อยๆ ส่วนคนติดบ้านอย่างผมก็ไม่มีปัญหาเลยครับ อาจจะไม่ได้ไปจอยทุกสัปดาห์ แต่สะดวกเมื่อไรก็ไม่พลาดแน่นอนครับ

ประสบการณ์ฝึกงานจนได้งานทำของผมก็เป็นประมาณนี้ครับ หวังว่าจะเป็นประโยชน์กับคนที่กำลังฝึกงานหรือหางานทำอยู่นะครับ หรือถ้าสนใจอยากมาร่วมงานกับทีม Jitta ก็ลองไปดูตำแหน่งที่เปิดรับได้ที่ https://careers.jitta.com/

--

--