Chapter 4 : Another Solo Trip
เที่ยวลอนดอนคนเดียวช่วงสิ้นปี 2018 ไปดูกันว่าเราใช้ชีวิต 5 วันในลอนดอนยังไงให้ไม่เหงา
ในที่สุด ทริปต่างประเทศคนเดียวที่ตั้งใจไว้นานแล้วก็เป็นจริง โดยจุดหมายที่เราเลือกคือ…..ลอนดอน ประเทศอังกฤษนั่นเอง
ลอนดอนเป็นเมืองที่เราชอบมากเมืองนึง เป็นเมืองที่เรารู้สึกว่ามันมีจริตดี มันมีความเป็นผู้ดีผสมกับความเซอร์ๆ เท่ๆ ตึกรามบ้านช่องก็มีทั้งสุดจะล้ำและมีทั้งความคลาสสิกแบบย้อนยุคปะปนกันไปอย่างลงตัว ยิ่งเวลาได้ยินคนในลอนดอนคุยกันนะ อู๊ยยยย มันช่างไพเราะเสนาะหูจริงๆ ถึงจะฟังรู้เรื่องบ้างไม่รู้เรื่องบ้างก็เหอะ
หลังจากที่เราไปเที่ยวเชียงคานคนเดียวเมื่อ 10 กว่าปีก่อน เราก็ไม่เคยมีโอกาสไปไหนคนเดียวอีกเลย เพราะเปลี่ยนที่ทำงานใหม่ที่ต้องทำงานแบบ office hour ไม่ได้มีอิสระและโอกาสเที่ยวมากเหมือนสมัยอยู่สายการบิน การเดินทางส่วนใหญ่คือไปทำงาน มีบ้างที่ไปกับครอบครัว แต่เที่ยวกับเพื่อนนี่แทบจะลืมไปได้เลย แต่เราก็โอเคนะ แฮปปี้มีความสุขดี
แต่ช่วงสิ้นปี 2018 เราเจอมรสุมงานหินโหดซึ่งมันหนักมากสำหรับเรา มันทำให้เราเครียดมาก ตอนนั้นเราเหนื่อยใจเหนื่อยกายมากคิดอะไรไม่ออก เลยตัดสินใจว่าปีใหม่นี้ตูอยู่เมืองไทยไม่ได้แล้ว ขอระบายความเครียดด้วยการไปไหนให้มันไกลๆ ให้มันลืมเรื่องงานไปได้ซักแป๊บนึงก็ยังดี ความตื่นเต้นเรื่องการเตรียมทริปเดินทาง มันเข้ามาช่วยให้เรามีเวลาคลายเครียดได้บ้าง และเราตั้งใจไว้เลยว่าครั้งนี้เราจะไปคนเดียวอีกซักที เพราะเราต้องการปลีกวิเวกจริงๆ
เราเลือกไปลอนดอนประเทศอังกฤษ เพราะเราคิดว่าเราพอเอาตัวรอดได้กะภาษาอังกฤษ และลอนดอนดูไม่น่ากลัวเท่าไหร่ (ในความคิดเรานะ) ขอแค่เราเลือกจะไปในที่ที่ปลอดภัย เราก็จะปลอดภัย แล้วเดือนธันวาอากาศก็พอไหวอยู่ ไม่หนาวเกินไปนัก
ไหนๆ ก็จะไปเพื่อคลายเครียดปลีกวิเวกหนีจากปัญหาที่รุมเร้าทั้งมวลแล้ว เราเลยซื้อตั๋วชั้นประหยัดแล้วใช้สิทธิ์เมมเบอร์สายการบินอัพเกรดตั๋วเป็นชั้นธุรกิจซะเลย ขอไปแบบสบายๆ หน่อยเหอะ
โรงแรมก็เลือกอยู่แถวๆ พระราชวัง Kensington ดีกว่า น่าจะปลอดภัย ตรรกะเราคือบริเวณพระราชวังย่อมปลอดภัยกว่าบริเวณแหล่งช็อปปิ้ง 555 เราไม่ใช่ขาช็อปอยู่แล้ว ไปอยู่ที่เงียบๆ ดีกว่า ได้ข่าวว่าแถว Oxford street นั่นแหล่งรวมนักล้วงเลยมั้ง
เราจองโรงแรม Park Avenue J Hotel London Hyde Park ซึ่งอยู่ใกล้ๆ Hyde Park และใกล้สถานีรถไฟใต้ดิน Queensway ใช้เวลาเดินแค่ 5 นาทีถึง เท่านี้ก็โอเคละ เราจองผ่าน Booking.com (ตอนจองเรา request ด้วยว่าขอห้องที่ไม่มีผีนะ ฟังดูไร้สาระเนอะ แต่เราซีเรียสนะ 555)
ไอ้ตอนไปใจมันคิดแค่ว่าจะไปให้พ้นๆ งาน เลยไม่ได้แพลนจะไปเที่ยวนอกเมืองอะไรมากมายหรอก เราไปคนเดียวแถมมีเวลาอยู่ที่ลอนดอนแค่ 5 วัน เลยเล็งๆ ที่เที่ยวแค่ในเมืองไว้ว่าควรไปเยือนแถวไหนบ้าง เราก็ดูจากคลิปที่เค้ารีวิวลอนดอนกันนั่นแหละ อยากจะบอกว่าก่อนหน้าที่จะไปลอนดอน เราไม่ใช่แฟน youtube เลยซักนิด แทบจะไม่เคยดูคลิปอะไรทั้งนั้น แต่ความที่ต้องการข้อมูลที่เที่ยวเลยทำให้เริ่มดู และได้รู้จัก MayyR จากคลิปที่น้องไปลอนดอนคนเดียวนั่นแหละ เลยยิ่งทำให้เรามีความมั่นใจในการไปคนเดียวมากขึ้น
วันเดินทาง ไฟล์ทที่เราจองออกจากสุวรรณภูมิประมาณเที่ยงคืน เราก็กินๆ นอนๆ ดูหนังบนเครื่องไปตามเรื่อง ไปถึงสนามบิน Heathrow ที่ลอนดอนประมาณ 6 โมงเช้า ตื่นเต้นมาก เพราะไม่ได้มาลอนดอนนานมากกกก ผ่านพิธีการตรวจคนเข้าเมือง ไปรับกระเป๋าก็ประมาณเกือบหนึ่งชั่วโมงเห็นจะได้ เสร็จแล้วก็ออกมาหารถที่จองไว้เพื่อเข้าเมือง เนื่องจากเรามีกระเป๋าสัมภาระใบใหญ่ใบนึงกะ Hand carry อีกใบนึง เราเลยจองรถ Taxi ไว้ เพราะขนของขึ้นรถไฟคนเดียวไม่ไหวแน่
จากสนามบินไปถึงโรงแรมใช้เวลาไม่นาน ไม่ถึงแปดโมงก็ถึงโรงแรมละเพราะยังเช้ามากรถไม่ติดเลย เราเข้าเช็คอินเสร็จก็ตามฟอร์ม ทาง รร.เค้าให้เข้าห้องได้ตอนบ่ายสามโน่น OMG ไม่นึกว่าจะต้องใช้เวลารอนานขนาดนี้ กะว่ามาคนเดียวเผื่อจะโชคดีได้เข้าห้องเลย 🥴
ที่ฮาคือ Staff ที่โรงแรมบอกว่าอยากเจอ guest คนนี้มากเพราะ request ไว้ว่าขอห้องที่ไม่มีผี เค้าบอกว่า “เสียใจด้วยนะยู เพราะทุกห้องเรามีผีหมด” แม๋พี่อุส่าเล่นมุกนะ 555 เค้ารู้ว่าเราเหนื่อยจากการเดินทางมา เลยให้เรานั่งพักที่ห้องอาหารของโรงแรมได้ ดื่มน้ำได้ เราเลยขอเปลี่ยนเสื้อผ้าแล้วฝากกระเป๋าไว้ที่ Front ก่อน แล้วไปนั่งในห้องอาหาร ตาก็จะปิดเพราะอยู่บนเครื่องก็ดันนอนไม่ค่อยหลับ นั่งไปได้ซักชั่วโมงกว่าจนประมาณสิบโมง เลยคิดว่าออกไปเดินเล่นดีกว่าเผื่อจะได้สดชื่นขึ้น
เราโหลดแอพ Citymapper ไว้ใช้ที่ลอนดอนด้วย ซึ่งมันโคดเวิรค์ มันดีมาก แค่เราบอกว่าเราอยู่ไหนและจะไปไหนแล้วก็จิ้มเข้าไป มันจะบอกให้เลยว่า จะเลือกเดินทางวิธีไหน จะเดิน ขี่จักรยาน ขึ้นรถเมล์ รถไฟใต้ดิน (Tube) หรือรถไฟ (Train) ถ้าเดินไปใช้เวลาเท่าไหร่ จะถึงจุดหมายกี่โมง
แอพนี้ก็จะคล้ายๆ กับ Google Map แหละ แต่อันนี้เค้าเจ๋งกว่าเพราะเค้าจะเปรียบเทียบให้เลยว่า การเดินทางแบบไหนใช้เวลาเท่าไหร่ สมมุติเราเลือกรถเมล์ แอพก็จะโชว์ว่ามีสายไหนบ้าง แต่ละสายใช้เวลากี่นาทีกว่าจะถึงจุดหมาย เราต้องไปรอรถฝั่งไหน (อันนี้สำคัญเพราะเราเคยดูผิด เกือบขึ้นรถผิดฝั่งเลย)
เราสามารถเลือกได้ว่าเราต้องการแบบเร็วๆ หรือหวานเย็น หวานเย็นก็จะ stop เยอะหน่อย แถมบอกได้ด้วยว่ารถเมล์สายที่เราเลือกตอนนี้อยู่ที่ไหนแล้ว อีกกี่นาทีจะมาถึงป้ายที่เรารออยู่ พอขึ้นรถก็จะบอกว่าอีกกี่ stop จะถึงจุดหมาย ซึ่งเราโคดชอบเพราะเราเป็นคนชอบเดินผสมกับนั่งรถชมวิว ถ้าเราเดินจนเมื่อยเราก็จะนั่งรถเมล์ต่อ
รู้สึกว่าแอพนี้จะสามารถใช้ได้ในหลายๆ ประเทศในยุโรปด้วยนะ ดีมากเลย เสียดายเมืองไทยไม่มีให้บริการ ถ้ามีมันคงสะดวกกับนักท่องเที่ยวมากเลย
มีแอพแล้วก็ต้องมีบัตร Oyster ซึ่งบัตรนี้มันใช้ได้ทั้งรถเมล์ รถไฟใต้ดิน รถราง และเรือ คือสะดวกมาก เราไปซื้อบัตรจากตู้ที่สถานีรถไฟใต้ดินพร้อมกับเติมเงินครั้งแรก 10 ปอนด์ (เป็นค่ามัดจำบัตร 5 ปอนด์) เวลาเงินใกล้หมดก็ใช้บัตรเครดิตเติมเงินที่ตู้ไปเรื่อยๆ top up ทีละ 5 ปอนด์ 10 ปอนด์ (สิริรวม 5 วันใช้ไปเกือบ 30 ปอนด์ แพงเอาเรื่องเหมือนกัน) แต่มีแอพ Citymapper กะบัตร Oyster 2 อย่างนี้เราก็ว่ามันอยู่ได้ในลอนดอนแล้วล่ะ รอดๆ
ออกจากโรงแรมเราก็เปิดแอพ ใส่จุดหมายที่จะไปแล้วเดินตามที่มันบอกไปเรื่อยๆ สนุกดีเหมือนกำลังไปผจญภัยเลย เมืองโคดสวยเลยแถมอากาศดีมากกกก (เราโชคดีสุดๆ ที่ตลอด 5 วันที่เราอยู่ในลอนดอนอากาศดีทุกวัน ฝนไม่ตกเลยซักวัน แถมมีแดดอ่อนๆ ทุกวันด้วย) เราเดินตัดสวน Hyde Park ไปเรื่อยๆ สวนใหญ่มากและสวยมาก ได้สูดอากาศสดชื่นช่วยให้หาย jet lag ได้ประมาณนึงเลย
เดินจนถึงถนน High Street ซึ่งฝั่งนี้ก็จะมีร้านรวงให้ดูให้ช็อปเยอะพอสมควร เราโชคดีอีกอย่างที่มาถึงวันที่ 27 ธันวาซึ่งช่วงนี้เค้าก็จะมีเทศกาลลดกระหน่ำช็อปกระจาย Boxing Day ซึ่งจริงๆ Boxing Day จะเป็นวันที่ 26 ห้างร้านต่างๆ จะลดราคาสินค้ากันแบบล้างสต็อกกันเลยทีเดียว และจะยังคงลดต่อไปอีกจนถึงปีใหม่ ไอ้เรามาถึงวันที่ 27 ก็ยังได้อานิสงส์อยู่บ้างก็เลยเดินช็อปซะหน่อย ได้เสื้อยี่ห้อที่ชอบมาหลายตัวเลย โชคดีชะมัด
เดินเข้าร้านนู้นออกร้านนี้ซะเพลิน รู้ตัวอีกทีก็บ่ายโมงกว่าละ ท้องเริ่มร้องเลยดูว่าร้านอาหารแถวนี้มีร้านไหนน่าสนใจ ไปเจอร้าน Joe&The Juice เมนูเครื่องดื่มกะของกินน่าสนมาก แลดู healthy ดี เลยแวะไปฝากท้องซะเลย อิ่มละก็เดินชิลๆ กลับโรงแรม ระหว่างทางก็ผ่าน Albert Memorial
เดินไปอีกหน่อยก็เจอ Victoria and Albert Museum บรรยากาศเงียบสงบมาก
ถ่ายรูปจนอิ่ม ก็เดินกลับโรงแรมตัด Hyde Park อีกเช่นเคย แต่คราวนี้คนในสวนสาธารณะเพิ่มขึ้นอย่างเห็นได้ชัด คงเพราะอากาศดีเลยออกมาวิ่งรับแดดกันเพียบ
กลับไปถึงโรงแรมก็ได้เวลาเข้าห้องได้พอดี เหนื่อยตาจะปิดเพราะยังง่วงมากกกก แต่เอาจริงๆ ก็นอนไม่หลับ เพราะกังวลว่าเดี๋ยวเย็นนี้จะไม่ตื่น บังเอิญอีกว่ามีเพื่อนเก่าชาวลอนดอนอาสาจะพาไปเดินเล่นคืนนี้ ก็เลยงีบไปได้ซักครึ่งชั่วโมงเองมั้ง หลังจากนั้นก็อาบน้ำเก็บข้าวของแล้วก็ออกมาศึกษาเส้นทาง ทำความคุ้นเคยกะรถไฟใต้ดินซะหน่อย
เรานัดเพื่อนไว้ที่ Covent Garden เก๋มากเลยย่านนี้ ประดับประดาไฟ christmas สวยมาก เดินถ่ายรูปกันเป็นว่าเล่นทั้งเราทั้งเพื่อน
เดินเล่นกันจนทั่ว แล้วเพื่อนก็พาเดินไปที่ย่าน China Town ทะลุไปเจอ Trafalgar Sqaure , Big Ben ข้ามสะพาน Westminster ไปถ่ายรูปที่ London Eye , Shakespeare’s Globe ข้ามสะพาน Millenium Bridge มา St. Paul Cathedral
บอกเลยคืนแรกขาลากมาก ไม่เคยเดินเยอะเท่านี้มาก่อน เดินมาราธอนประมาณ 3 ชม. เพราะเราบอกเพื่อนว่าไม่อยากกลับเข้ามาในเมืองอีก เพื่อนเลยพาเดินซะทั่ว เรียกว่าครบจบในคืนเดียว เป็นการ burn ไขมันสุดๆ กลับโรงแรมนี่สลบเหมือดเลย
เช้าวันที่สอง ตื่นสายเต็มที่เลย เพราะเมื่อคืนโทรมสุดๆ วันนี้วางแผนว่าจะไปเดินย่าน Portobello แต่งตัวเสร็จก็ออกมาหาข้าวเที่ยงกิน ได้ครัวซองกับกาแฟ ครัวซองชิ้นใหญ่เล่นเอาอิ่มเหมือนกัน
ที่ตลกมากคือระหว่างที่กำลังจะเดินไปขึ้นรถเมล์ เจอคุณลุงกะคุณป้าชาวเยอรมันมาถามทางไปโรงแรม ลากกระเป๋าเดินทางมาด้วย แกบอกพยายามละแต่ไปไม่ถูก (โห นี่เราดูมาดเป็น Londoner หรอวะเนี่ย) แต่เราก็ช่วยคุณลุงกะคุณป้าได้สำเร็จด้วยนะ เพราะที่พักแกอยู่บนถนนที่เราเพิ่งไปกินข้าวเช้ามาเอง ไม่ยากๆ
ส่งพวกแกเสร็จก็ได้ฤกษ์ไปจุดหมายของเราซะที นั่งรถเมล์จากโรงแรมไปไม่ไกลเท่าไหร่ ประมาณ 20 นาทีเห็นจะได้ก็ถึง Portobello
Portobello เป็นตลาดขายของเก่าที่มีมานมนานละ มีร้านค้าแผงลอยตลอดสองข้างทางยาวจนเกือบสุดถนน มีของเก่าของแต่งบ้านเก๋ๆ ให้ดูตลอดทางเลย สนุกดี ราคาก็ไม่แรงมาก วันนั้นคนค่อนข้างเยอะ เราไม่ได้ถ่ายรูปบรรยากาศมา ได้แต่ถ่ายพวกตึกที่เก๋ๆ ซะเป็นส่วนใหญ่
วันนั้นคืออยู่แต่แถว Portobello ตลอดบ่ายเลย เดินจนฟ้าเริ่มมืด ดูเวลานึกว่าดึกแล้ว อ้าวเพิ่งห้าโมงกว่าเอง ก็เลยแวะร้านกาแฟนั่งจิบอะไรแก้เมื่อยก่อนกลับโรงแรม เพราะเอาจริงๆ วันนี้เดินไม่ไหวแล้วจ้า ร่างพังตั้งแต่เมื่อวาน นั่งกินขนมจิบกาแฟเสร็จก็นั่งรถเมล์กลับโรงแรม ก่อนเข้าห้องแวะร้าน Pret a Manger ซะหน่อย
ร้านนี้เป็นร้านยอดนิยมสำหรับเราเลย เพราะมีอาหารแบบ take away ให้เลือกเยอะพอสมควร โชคดีมีสาขาอยู่ใกล้โรงแรม กะว่านึกอะไรไม่ออกก็ไปร้านนี้มันละกันวะ มื้อเย็นวันนั้นเราได้สลัดมา 1 กล่อง wrap 1 ชิ้นกะน้ำผลไม้เท่านี้ก็รอดไปได้อีกวันละ
เอาจริงๆ เราก็อยากไปชิมร้านเด็ดๆ ที่เค้ารีวิวกันอ่ะนะ แต่ส่วนใหญ่มันเต็มหมดเลย เพราะเราไม่ได้จองมาล่วงหน้า กะว่าอยากไปร้านไหนค่อยเข้าไปจองในเวป ปรากฎช่วงนั้นเป็นช่วงสิ้นปีด้วย ร้านไหนๆ ก็คนจองเต็มไปหมดแล้ว อดเลย แต่ไอ้เราก็ไม่ใช่ขากินขนาดนั้นก็เลยช่างมันวะ โอกาสหน้าคงได้มาอีกค่อยไปลองละกัน
คืนนั้นกลับถึงห้องก็สลบเหมือดเช่นเคย แปลกดีนะ เรามาที่นี่คนเดียว เวลานอนมันไม่รู้สึกหลอนเหมือนเวลานอนโรงแรมที่ไทยคนเดียว มันเป็นอารมณ์แบบเรามาเที่ยว จิตมันยังตื่นเต้นเรื่องเที่ยวก็เลยไม่ได้ไปคิดเรื่องผีเลย กลับห้องกินอาหาร เปิด youtube ดูโน่นนี่ หาที่เที่ยวสำหรับวันพรุ่งนี้ละก็หลับ ง่ายๆ แบบนี้เลย 😁🤪
วันที่สาม วันนี้เป็นวันเกิดเราเอง แต่เป็นวันเกิดครั้งแรกในชีวิตเลยนะที่ต้องอยู่คนเดียว…เห้ยๆ ไม่ดิ เราตัดสินใจมาเที่ยวคนเดียวละ ต้องไม่เศร้าดิ
คิดได้ดังนั้นก็ออกไป supermarket เลยค่ะ ไปหาซื้อของกินกะขนมมาเก็บไว้ในห้องดีฝร่า เผื่อขี้เกียจออกไปไหน เปิด citymapper ละไป Waitrose Supermarket กันเลยเพราะใกล้สุด เดินจากโรงแรมไปประมาณ 10 นาทีเอง
ไปถึงก็ละลานตาพอสมควร ไอ้นี่ก็อยากได้ ไอ้นั่นก็อยากซื้อ ปัญหาคือ เงินกะต้องแบกกลับ เลยตัดสินใจหยิบเท่าที่จ่ายไหวและแบกไหว ช๊อปเสร็จก็เอาของไปเก็บที่ห้อง และไปเดินเล่นย่าน Shoreditch ต่อ เพราะดูรีวิวมาว่าย่านนี้เก๋มาก ไม่ควรพลาด เป็นแหล่งของฮิปสเตอร์เลยว่างั้น เราก็ต้องไปให้เห็นกับตาซะหน่อย
พอไปถึง ไม่ผิดหวังจริงๆ ชอบมากกกกก
Shoreditch เคยเป็นย่านเสื่อมโทรมเมื่อสมัยก่อน เพื่อนที่ลอนดอนบอกว่าแต่ก่อนนี่คือมาเดินไม่ได้เลย น่ากลัวมาก มีแต่คนติดยา homeless อะไรทำนองนั้น แต่ตอนหลัง เค้าพัฒนาให้เป็นแหล่งท่องเที่ยว เลยเปลี่ยนรูปโฉมไปเลย เป็นย่านที่มี graffiti เทพๆ เยอะมาก เราชอบมากเลย เดินไปตามตรอกซอกซอยแทบจะทุกซอยจะมีงาน graffiti สวยๆ ซ่อนอยู่ ถ่ายรูปเพลินมาก
เดินไปเรื่อยๆ ถ่ายรูปไปเรื่อยๆ ก็มาโผล่ที่ Bricklane ซึ่งย่านนี้ก็น่ารักมากเช่นกัน และคนแถวนี้ก็เก๋มาก แต่งตัวกันแนวจริงๆ ที่ย่านนี้มีร้านอาหารแนะนำอีกเหมือนกัน แต่ข้าพเจ้าก็อดอีกตามเคย เพราะแต่ละร้านคนเพียบเห็นละถอดใจ ช่างมัน…ไงเราก็มี Pret a Manger กันตาย 5555
จาก Brick Lane เดินเล่นไปเรื่อยๆ ก็มาจบที่ Spitalfields Market เย็นนี้ เรามีนัดกินข้าวเย็นกะเพื่อนอิท เพื่อนที่การบินไทย (ตอนที่เราไป อิททำงานเป็นนายสถานีอยู่ที่ลอนดอน) ดีใจมาก อย่างน้อยเย็นนี้ตูก็มีเพื่อนแล้ว…เย้
ซื้อโดนัทน่ากิ๊นน่ากินที่ตลาด Spitalfields ไปฝากเพื่อนซะหน่อย เสร็จละ ก็นั่ง tube ไปหาอิทที่ Hammersmith เปิด citymapper ละก็ตกใจ คนละฝากฝั่งกะ Spitalfields เลยจ้า ต้องนั่งรถเกือบชั่วโมง…OMG ยืนศึกษาเส้นทางจนมั่นใจเพื่อไม่ให้ดูเป็นนักท่องเที่ยว ละก็ไปขึ้นรถกันเลย
ปรากฎขึ้นผิดสายเฉ้ย ต้องนั่งที่มันหลายๆ stop เราดันไปนั่งเหมือนรถด่วนหน่อย เลยเลยป้ายที่จะต้องเปลี่ยนรถ ต้องนั่งย้อนกลับมาเพื่อมาเปลี่ยนรถ กว่าจะถึงเลยเลทไปนิดหน่อย พอถึงสถานี Hammersmith ก็เจอเพื่อนอิทมารอรับอยู่ ยืนกอดกันจนชื่นใจแพร๊บนึง (ตอนอยู่ กทม.มีแต่จิกกัด 555) ก็เดินไปร้าน Nando เจ้าอร่อย ไปรับไก่ที่อิทสั่งไว้ แม๋ พอดีเลยเราก็อยากชิมไก่ร้านนี้มาก ได้ข่าวว่าเป็นอีกหนึ่งเมนูห้ามพลาด
ไปถึงห้องนั่งกินนั่งเม้ากันพักใหญ่ ประมาณสามทุ่มครึ่งก็ต้องกลับ เพราะเพื่อนต้องทำงานแต่เช้า ขากลับเรานั่งรถเมล์กลับโรงแรมเพราะไม่ไกลมาก และอยากชมวิวกลางคืนด้วย ปรากฎว่ารถสายที่เลือกดั๊นไปลงอีกฝั่งของ Hyde Park ไม่ได้ลงฝั่งโรงแรม…OMG อีกครั้ง เดินดิฮะพี่น้อง มี citymapper ก็เดินตามมันไป
เราเลือกเดินเส้นถนนหลักก็ไม่น่ากลัว ทางเดินไม่มืด ไม่เปลี่ยวมีคนประปรายเพราะสี่ทุ่มละ อากาศดีมาก เดินไปเดินมาซักเกือบครึ่งชั่วโมงก็ถึงโรงแรม กลับถึงห้องนี่ขาสั่นเลย คืนนั้นนอนปวดขามากน้ำตาเล็ดเลย คือมันปวดร้าวไปถึงข้างในเลยอ่ะ เพราะเดินเยอะมากทุกวัน แล้วเราก็ใส่รองเท้ามีส้นด้วย ตอนเดินมันก็ไม่ปวดนะ แต่ด้วยความที่มันล้าสะสมมาหลายวันก็เลยออกฤทธิ์ในคืนนั้นเลย
คืนนั้นเราสารภาพว่าเราแอบนอนร้องไห้ด้วยว่าเรามาทำอะไรที่นี่คนเดียววะ มาเที่ยวคนเดียว กินข้าวคนเดียว เดินคนเดียว ใช้ชีวิตคนเดียว มาเหงาบ้าอะไรที่นี่คนเดียวเนี่ย ทั้งๆ ที่วันนั้นมีข้อความมา HBD เรามากมาย แต่มันก็ยังอ้างว้างอยู่ในใจ ไม่มีใครอยู่ใกล้ๆ เราเลยซักคน แถมมาปวดขาอีก ยิ่งคิดยิ่งน้ำตาซึม
แต่แล้วเราก็บอกตัวเองว่า…เห้ยไอ่จิ๊น แกรู้มั้ยว่าแกเก่งแค่ไหนที่สามารถใช้ชีวิตคนเดียวในที่ต่างแดนที่แกแทบไม่รู้จักใครได้ วันก่อนแกยังเกือบตัดสินใจล้มเลิกทริปเพราะความกลัวละ จำได้มั้ย แต่แกก็ตัดสินใจมา แกทำได้และแกยังมีความสุขดี ถ้าไม่มีความรู้สึกเหงาเข้ามาแทรกตอนนี้
อย่ามัวไปคิดว่าการต้องมีคนอื่นถึงจะทำให้เรามีความสุขได้ ตัวเราเองต่างหากคือคนที่จะสร้างความสุขให้ตัวเองไม่ใช่คนอื่น ต่อให้มีคนที่เรารักอยู่ข้างๆ แต่ถ้าตัวเราเองไม่มีความสุข มันก็ไม่มีความสุขอยู่ดี เพราะฉะนั้นหยุดเหงาเถอะ เราเหลือเวลาอีกแค่ไม่กี่วันในลอนดอน เมืองที่มีอะไรให้ดูให้ทำอีกตั้งเยอะ ไปนอนและคิดหาที่เที่ยววันพรุ่งนี้ดีกว่า…พอเริ่มคิดได้แบบนี้ ก็ทำให้เราเข้มแข็งขึ้นมาอีกครั้ง ไม่จมจ่อมกะความคิดลบกะตัวเองอีก 😤
เช้าวันที่สี่ ตื่นสายอีกละ (จริงๆ ก็ตื่นสายทุกวันแหละ 🤣) เพราะเมื่อคืนโด๊ปยาแก้ปวดเข้าไปและมัวแต่เพ้อเจ้อกะตัวเอง กว่าจะได้นอนเลยปาเข้าไปตีสอง พักขาจนดีขึ้น จิตใจเข้มแข็งขึ้นเลิกดราม่ากะตัวเอง เสร็จแล้วก็พาร่างออกไป Camden Market อันนี้ก็ตั้งใจว่าจะต้องไป เคยมาเมื่อน๊านนนนมากแล้ว จำอะไรแทบไม่ได้เลย รู้แต่ว่าที่นี่มีรองเท้าขายเยอะ 555
นั่งรถเมล์ตามเคยมาลง Camden Market มาถึงก็เจอกับนักท่องเที่ยวเยอะมาก แต่ให้ตายดิ…ทำไมที่ลอนดอนตึกรามบ้านช่องมันถึงเก๋ขนาดนี้เนี่ย อดถ่ายรูปไม่ได้เลย แล้วเอาจริงๆ ไปที่ไหนๆ ก็สะอาดมาก เราไม่ค่อยเห็นขยะตามท้องถนนเลย
เดินไปเรื่อยๆ ก็โดนสะกดจิตด้วยรองเท้าเลยจัดมาคู่นึงซะเลย ต้องบอกตัวเองให้พอด้วยนะ ไม่งั้นหมดตรูดแน่เพราะรองเท้ามันน่าโดนมากกกก เดินลัดเลาะไปเรื่อยๆ ก็เจอคลอง Regent’s Canel สวยมากเลย
มีแผงขายอาหารสองข้างทางเต็มไปหมด เลือกไม่ถูกเลย สุดท้ายไปจบที่ร้าน Sushi (ขำตัวเองว่ะ)
หลังจากซัดอาหารญี่ปุ่นเสร็จจนเรี่ยวแรงกลับมา ก็นั่งรถไปสถานี King’s Cross ที่ซึ่งมี Platform 9 3/4 ที่จะพาคุณไปยัง Hogwarts ซ่อนอยู่
แต่แต่แต่ เราไม่ได้มาที่นี่เพื่อที่จะมาถ่ายรูป Platform 9 3/4 นะคะ เรามี mission ที่สำคัญกว่านั้นจากเพื่อน เค้าฝากซื้อเสื้อคลุมบ้าน Gryffindor (หนักกว่าอีก 🤣) เลยต้องไปต่อแถวเข้าร้านซึ่งคนก็โคดเยอะ ระหว่างยืนต่อแถวก็ดูคนที่เข้าคิวถ่ายรูปที่ Platform 9 3/4 ฮาๆ ดี แต่ละคนลงทุนท่าโพส น่ารักมาก
รีบๆ ซื้อ รีบๆ ออกจากร้าน จะได้ออกไปเดินชมสถานี King’s Cross กันให้ทั่วๆ หน่อย โอ้ว…ที่นี่มันสวยมากเลย กว้างใหญ่ สะดวกสบาย มีร้านขายของเต็มไปหมด และที่สำคัญที่นี่สะอาดสะอ้านมาก สมกับเป็นสถานีรถไฟหลักของลอนดอนเลย
เดินเที่ยวชม King’s Cross เสร็จ จากนั้นเราก็นั่งรถกลับโรงแรม ทีแรกกะว่าคืนนี้จะไม่ออกละ พอดีเพื่อนที่ไทย msg มาบอกว่ามันมีงาน Winter Wonderland ที่ Hyde Park อย่าพลาดนะ เค้าจัดปีละครั้งตอน Christmas เท่านั้น เออน่าสน ใกล้โรงแรมด้วยเราเลยต้องไปเลย เอาน่ะมาทั้งทีต้องเก็บให้เยอะที่สุด
ด้วยความมั่นหน้ามากว่า Winter Wonderland มันอยู่ที่ Hyde Park นี่เอง เราเลยเลือกเดินรับลมดีกว่าไม่นั่งรถ นึกว่าใกล้ๆ เอ๊ะ! ทำไมไม่ถึงซะทีฟระ ปรากฎอยู่สุดปลายอีกฝั่งของ Hyde Park ค่ะ (รู้งี้ตูนั่งรถดีฝร่า 😬) เดินขาลากอีกตามเคย ดีนะฝึกความแข็งแรงของกล้ามขามาสามวันเต็มละ 😁
พอไปถึงงานคนเยอะมากกก ต้องต่อคิวเข้างานเพราะเค้าตรวจเข้มเรื่องความปลอดภัย ต้องขอดูข้างในกระเป๋าเลยเสียเวลาหน่อย แต่แถวก็ move ไปได้เรื่อยๆ รอไม่นานมาก ที่สำคัญงานนี้เข้าฟรีด้วย
พอได้เข้าไปข้างใน ชอบนะ บรรยากาศทำให้เหมือนกลับไปเป็นเด็กอีกครั้งเลย มีเครื่องเล่นเต็มไปหมด ชิงช้าสวรรค์ ม้าหมุน บ้านผีสิง ปาเป้าเหมือนบ้านเราเลย แต่ผิดกันที่อากาศ และความสะอาด แต่แปลกอยู่อย่าง ที่นี่คนเยอะก็จริงแต่มองแทบไม่เห็นคน local เลย ส่วนใหญ่เป็นคนแถบตะวันออกกลางทั้งนั้น (นึกว่าตัวเองอยู่ดูไบเลยนะนั่น)
เดินไปซักพักได้กลิ่น Hot Dog ลอยมาตามลม นี่ขนาดกินอะไรตอนเย็นมานิดหน่อยละนะ แต่กลิ่นมันเตะจมูกมากเลยต้องไปชิมซะหน่อย แม่เจ้า…อร่อยโฮก ไม่เสียดายเงินซักนิด อันเดียวอิ่มแปร้เลย ชิ้นใหญ่มาก
ในงานเห็นตามร้านขายเครื่องดื่มเค้ามีขาย Mulled Wine กันเยอะมาก ด้วยความสงสัยเลยต้องไปพิสูจน์กันหน่อยว่ามันคืออะไร อืม อร่อยแฮะ มันคือ Hot Wine หรือไวน์ที่เอาไปต้มแล้วใส่น้ำตาลกะอบเชยเข้าไป หอมดี ชอบชอบ ที่สำคัญมีเฉพาะในช่วงเทศกาล Christmas เท่านั้นด้วย
เดินเที่ยวจนเกือบทั่ว กินจนอิ่ม ก็ได้เวลากลับบ้านละ เดินอีกเช่นเคย ตอนที่กลับก็เกือบสี่ทุ่มละนะ แต่ทางเดินใน Hyde Park ไม่มืดเลย มีแสงไฟตลอดสองข้างทาง และก็มีคนเดินอยู่ตลอดทาง ทำให้ไม่น่ากลัว (แต่ถ้าเป็นช่วงเวลาที่ไม่มีงาน Carnival เราก็คงไม่มาเดินตอนค่ำแบบนี้คนเดียวแน่ๆ)
เราชอบมากๆ เลย การเดินไปเรื่อยๆ ฟังเพลงไปเรื่อยๆ มันได้อยู่กับตัวเอง ฟังเสียงเพลงที่เราชอบ และอากาศดีๆ แบบนี้ทำให้เราเดินได้ไม่มีเบื่อเลย นานๆ จะมีโอกาสทำอะไรแบบนี้ ต้องซึมซับบรรยากาศให้เต็มที่ กลับไปทำงานจะได้มีแรงฮึดสู้ขึ้นมาอีก ต้องตั้งใจทำงานจะได้มีเงินมาเที่ยวแบบนี้อีก ปลอบใจตัวเองเข้าไว้ 555
เช้าวันที่ห้า ซึ่งเป็นวันสิ้นปี จะเรียกว่าวันสุดท้ายก็ได้มั้ง เพราะวันพรุ่งนี้เราต้องออกจากโรงแรมตั้งแต่หกโมงเช้าเพื่อไปขึ้นเครื่องบินกลับเมืองไทย เช้านี้ก็เลยแวะไป Waitrose อีกครั้งเพราะอยากจะซื้อขนมไปฝากที่บ้าน ซื้อข้าวของเสร็จจะได้จัดกระเป๋าให้เรียบร้อย เพราะตั้งใจว่าเดี๋ยวจะไปเดินเล่นที่ Borough Market ตลาดที่คนรีวิวกันว่ามีของกินขายเพียบ แล้วคืนนี้ซึ่งเป็น New Year’s Eve เพื่อนที่ลอนดอนจะชวนไปปาร์ตี้ (โอ้ว! น่าเร้าใจมากเผื่อโชคดีเจอเนื้อคู่ที่นั่น 555)
เรามาถึง Borough Market ก็เที่ยงละมั้ง คนเยอะมากอีกเช่นเคย นักท่องเที่ยวเต็มไปหมด ที่รู้ว่าเป็นนักท่องเที่ยวเพราะไม่ค่อยได้ยินภาษาอังกฤษ กะดูจากหน้าตาเป็นคนเอเซียเยอะเชีย ข้างในตลาดสะอาดมาก มีร้านแผงลอยขายอาหารเต็มไปหมด
เดิน survey ซะรอบว่ามีอะไรน่ากิน ก็มาจบที่ร้านขายขนมปังร้านแรกที่เจอตั้งแต่เดินเข้าตลาด ขนมปังอะไรไม่รู้เต็มไปหมดเลยท่าทางน่าอร่อย เลยจัดที่หน้าตาดูดีสุดมาชิ้นนึงกะได้น้ำส้มมาแก้วนึง
ปรากฎว่าขนมปังแข็งกะโด้ก นึกว่าจะนิ่มเล่นซะเจ็บเหงือกเลย 555 กินเสร็จละเหลือบไปเห็นร้านขายเครื่องดื่มอะไรไม่รู้แปลกๆ Hot&Spicy Cider อ่ะลองดู
อืม คือ…ไม่อร่อยเลยค่ะ อย่าหาทำ 555 อาจจะถูกจริตคนอื่นเพราะเห็นก็มีคนมาซื้อดื่มเหมือนกัน แต่เราไม่ชอบ กลิ่นมันแปลกๆ สู้ Mulled Wine ไม่ได้อร่อยกว่าเยอะ แต่เราก็ดื่มไปเกือบหมดอ่ะนะ เกรงใจเจ้าของร้าน 😅
จัดการมื้อเที่ยงให้ตัวเองละ ก็เดินเล่นเก็บภาพตลาดอีกนิดก่อนจะเดินออกจากตลาดไปถนนเลียบแม่น้ำ Thames ที่มาเดินเมื่อคืนแรกกะเพื่อน แต่เปลี่ยนจากวิวกลางคืนเป็นวิวกลางวันแทน
เดินไปเรื่อยๆ จนถึง Tate Modern Museum เลยเข้าไปเดินหลบลมหนาวซักหน่อย เข้าฟรีด้วยดีจัง
ข้างในมีงานศิลปะสมัยใหม่ให้ดูเต็มไปหมด (ไม่ได้ถ่ายรูปมา) เดินจนเมื่อยละก็กลับโรงแรมเพื่อเตรียมตัวสำหรับไป night out กะเพื่อนนิดหน่อย แม๋มาลอนดอนทั้งที มีโอกาสไปปาร์ตี้กะคน local จะให้พลาดได้ยังไงเนอะ
แต่คืนนั้นเราก็ไม่ได้อยู่ในงานนานนัก หลังจาก count down เสร็จซักพักเราก็ขอแยกกะเพื่อนกลับโรงแรม เพราะกลัวพรุ่งนี้เช้าไม่ตื่น ตกเครื่องละเรื่องใหญ่เลยแหละ
กลับมานอนงีบไปจึ๋งนึงก็ต้องตื่นละ แต่งตัวพร้อมเดินทาง สำรวจข้าวของครั้งสุดท้าย ก็เป็นอันเรียบร้อย รถมารับตรงเวลา ไปถึงสนามบินเจอเพื่อนอิทรออยู่ เช็คอินเสร็จ ผ่าน security check ผ่าน passport control ซึ่งใช้เวลาอยู่ จากนั้นก็เดินไปนั่งฆ่าเวลาใน lounge นิดหน่อย ถึงเวลาขึ้นเครื่อง ล่ำลาอิทอีกครั้งก็เป็นอันจบทริปลอนดอนสั้นๆ 5 วัน ของเรา
การเดินทางครั้งนี้ ถึงจะเป็นทริปสั้นๆ แค่ 5 วัน แต่เป็นประสบการณ์การเดินทางต่างประเทศคนเดียวครั้งแรกในชีวิตของเรา ทุกวันนี้เวลานึกถึงทริปนี้ เรายังคงรู้สึกตื่นเต้นเสมอ เรายังจำภาพทุกภาพ ความรู้สึกทุกความรู้สึกที่เกิดขึ้นในทริปนั้นได้ดีเสมอ แม้ตอนที่เขียน blog นี้จะผ่านมาเกือบ 2 ปีแล้วก็ตาม เพราะเรารู้สึกว่ามันทำให้เราเติบโตขึ้นมาก เราไม่กลัวความเหงา ความโดดเดี่ยวของการต้องอยู่คนเดียว เที่ยวคนเดียว ใช้ชีวิตคนเดียวอีกแล้ว
มันอาจจะดูน่ากลัวในตอนแรก แต่เมื่อเราผ่านมันไปได้ เราก็จะได้บทเรียนที่ดีในชีวิตเพิ่มอีกบทเรียนนึง ขอบคุณตัวเองที่ตัดสินใจไปเที่ยวคนเดียว ขอบคุณตัวเองที่มองด้านดีในความเหงาที่ต้องเจอ ขอบคุณตัวเองที่เป็นเพื่อนที่ดีให้ตัวเองตลอดมา และจะเป็นตลอดไป ขอบคุณลอนดอนและผู้คนทุกคนที่เราได้พบเจอ และสุดท้าย ขอบคุณทุกคนที่เข้ามาอ่านนะคะ 😊
ปล. ขอโทษคนที่เข้ามาอ่าน blog นี้ที่อาจมีรูปที่เที่ยวไม่มาก เพราะตอนที่ไปลอนดอน เรายังไม่เคยคิดจะเขียน blog ตอนถ่ายรูปเลยมีแต่รูป selfie ซะเป็นส่วนใหญ่ 555