เดินเที่ยว Otaru เมืองคิกขุสุดน่ารัก

Chapter 67/3: The Unforgettable Otaru

Jint
jwanderlust

--

เช้านี้เราจะเดินทางออกจากโนโบริเบทสึเพื่อเข้าไปซัปโปโร (Sapporo) กันแล้ว และ highlight ของวันนี้ก็คือ “โอตารุ” (Otaru) ค่า คือถ้ามาฮอกไกโดแล้วไม่ได้มาโอตารุมันจะรู้สึกเหมือนขาดอะไรไปอ่ะ

ออกจากโรงแรมมาได้ซักพัก เรากะจะแวะจุดพักรถที่ชื่อ Meisui Plaza ซึ่งในนั้นจะมีสวนสาธารณะชื่อ ฟุกิดาชิ (Fukidashi Park) เป็นสวนที่เราจะสามารถเห็นใบไม้เปลี่ยนสีสวยมากๆ แต่พอถึงละพวกเราก็ต้องเจอกับเจ้าสิ่งนี้

ที่เห็นยุบยิบๆ นี่ไม่ใช่ฝุ่น PM นะ

มันคือฝูง “แมลงหิมะ” นับล้านตัวได้มั้ง 😱 ตัวมันจะเล็กๆ เหมือนแมลงหวี่แต่ตัวจะบางกว่ามาก แค่บินมาชนเรายังไม่ต้องทำอะไรมันก็ตายแหง๋แก๋แล้วอ่ะ มันจะบินกันเป็นฝูงๆ เต็มไปหมดเลย แต่จะอยู่กับที่ไม่ได้บินไปบินมาน่ารำคาญเหมือนแมลงหวี่ แต่ก็ไม่เข้าใกล้ดีกว่ากลัวมันจะบินเข้าปากเข้าตาเอา

ซูมเข้ามาใกล้ๆ

แต่ถึงจะดูน่ารำคาญยังไงเจ้าแมลงหิมะนี่ก็มีความสำคัญนะ เพราะมันจะโผล่มาในช่วงก่อนเข้าฤดูหนาว เมื่อไรที่เริ่มเห็นแมลงหิมะออกมาเป็นการบอกให้รู้ว่าเดี๋ยวอีกไม่กี่วันหลังจากนั้นจะได้เห็นหิมะแรกแน่นอน (ละก็จริงๆ ด้วย เพราะหลังจากเรากลับมาประมาณ 2 อาทิตย์ก็ได้ข่าวว่าที่ฮอกไกโดหิมะตกจริงๆ ช่างเป็นแมลงพยากรณ์อากาศที่แม่นยำยิ่งนัก)

เป็นเพราะเจ้าแมลงหิมะก็เลยไม่มีใครอยากลงไปถ่ายรูปเลย สุดท้ายมีหน่วยกล้าตายลงไป 3 คนเพื่อเข้าไปถ่ายรูปมาให้ดูกัน สวยมากๆ เลย แอบเสียดายเหมือนกันที่ไม่ได้ลงไป

สวนสาธารณะฟุกิดาชิ (Fukidashi Park)

จาก Meisui Plaza เราก็นั่งรถต่อมาที่ เมืองนิเซโกะ (Niseko) แต่ไม่ได้เข้าเมือง แค่โฉบๆ มาจุดพักรถ

นิเซโกะ (Niseko)

ถ้าใครมีโอกาสมาฮอกไกโดหน้าหนาวอย่าลืมมาเที่ยวเมืองนิเซโกะนะ เพราะเค้ามีชื่อเสียงมากเรื่องหิมะคุณภาพดี ทำให้นักท่องเที่ยวจำนวนมากนิยมมาที่นี่เพื่อมาเล่นสกีและสโนว์บอร์ดกัน เราก็เคยได้เล่นเปาะแปะๆ แบบเด็กน้อยกับเค้าด้วย (อ่านเรื่องเมืองนิเซโกะได้ที่ Blog นี้ค่ะ 😄)

ฮู้ววว…วิวเดียวกันแต่ต่างเวลา ตอนนั้นที่มามีแต่หิมะสีขาวโพลน มาตอนนี้ได้เห็นดอกไม้บานเต็มทุ่งสวยไปอีกแบบ

ชอบที่เค้าใส่ใจมาก เอาเก้าอี้เอารถไถมาตั้งให้นักท่องเที่ยวนั่งถ่ายรูปด้วย

ที่จุดพักรถนี้ก็มีร้านขายขนมให้นักท่องเที่ยวได้ช็อปกันอีกแล้ว

และก็เช่นเคยต้องจัดไอติมกันอีกซักรอบ

อาหย่อย

มื้อเที่ยงวันนี้ (ความจริงก็ไม่เที่ยงแล้วล่ะ ปาเข้าไปตั้งบ่ายสองแล้วเพราะมัวแต่แวะโน่นแวะนี่กันจนเพลิน) เราแวะกินซูชิที่ร้าน Shobobanya ที่เมืองโอตารุค่ะ

Shobobanya

เป็นร้านซูชิที่ขนาดไม่ได้ใหญ่มาก ใครจะมาอย่าลืมโทรมาจองก่อนนะ กันเหนียว

มีลายเซ็นคนดังการันตีความอร่อยเต็มเลย

เป็นซูชิที่อร่อยมากเพราะปลาเค้าสดเนื้อหวานไม่คาวเลย เราสั่งกันแบบ set เพราะอยากลองปลาหลายๆ แบบ สรุปอิ่มเกิ๊น นี่เดี๋ยวจะกินมื้อเย็นที่เป็นมื้อเด็ดไหวมั้ยเนี่ย

ตั้งหน้าตั้งตากินกันใหญ่

ก่อนกลับขอถ่ายรูปกับคุณลุงเจ้าของร้านซักหน่อย แกน่ารักมากๆ เพราะตอนนั้นทั้งร้านมีแต่พวกเรา ก็เลยคุยนั่นคุยนี่ (ผ่านไกด์) กับเจ้าของร้านกันอย่างสนุกสนาน

คุณลุงเจ้าของร้าน

จากร้านซูชิ ขับรถแค่ประมาณ 15 นาทีก็ถึงคลองโอตารุ (Otaru Canal) แล้วค่ะ

คลองโอตารุ (Otaru Canal) นี่เป็นแหล่งท่องเที่ยวที่มีชื่อเสียงของฮอกไกโดมากๆ

เราจะได้เห็นบรรยากาศความคลาสสิกของอาคารบ้านเรือนแบบดั้งเดิมที่เค้าอนุรักษ์ไว้

คลองโอตารุถูกสร้างขึ้นในปี ค.ศ. 1912 มีความยาวประมาณ 1,120 เมตร

คลองโอตารุที่ให้มากี่ทีก็ไม่เบื่อ 😊

โคมไฟที่ใช้ประดับบริเวณสะพานและถนนจะเป็นโคมไฟแก๊สแบบดั้งเดิม

โคมไฟโบราณสุดคลาสสิก

บริเวณรอบๆ สะพานจะเป็นโกดังเก่าที่ปัจจุบันก็ได้กลายเป็นร้านกาแฟ ร้านอาหาร และร้านค้าต่างๆ โดยที่ยังรักษาสภาพภายนอกไว้ให้เหมือนเดิม

กำแพงยังสวยเลย

ที่นี่เรามีเวลากันเหลือเฟือ ก็เลยเดินเล่นเรื่อยๆ เอื่อยๆ กันไป ที่มีเวลาเยอะก็เพราะเราตัดที่เที่ยวออกไปหลายที่เพราะขี้เกียจเดินกัน

ร้านขายของทั้งหลาย

มาโอตารุทีไรก็ประทับใจทุกที เพราะเมืองเค้าสวยน่ารักคิกขุจริงๆ

โอตารุ (Otaru)

มาช่วง Halloween นี่จะเจอของตกแต่งน่ารักๆ เต็มเลย

Halloween สุดคิ้วท์

ยังไม่หยุดถ่าย 555 ตึกที่นี่เค้าสวยจริงๆ

สีสันสดใสมาก

จากคลองโอตารุเราก็เข้าโรงแรมกันละค่ะ คราวนี้เราพักกันที่ Solaria Nishitetsu Hotel Sapporo ค่ะ

Solaria Nishitetsu Hotel Sapporo

ห้องกว้างขวางเลย ห้องน้ำก็ใหญ่มาก

นอน 2 คนดันได้ห้อง 3 เตียงถือเป็นความโชคดีละกันเพราะห้องกว้างเชีย (เรามีเคล็ดกันกุ๊กกู๋ 👻😖 ด้วยนะ ถ้าต้องอยู่ห้องที่มีเตียงเหลือว่าง เราจะเอาของไปวางกองๆ บนเตียงไว้ จะได้ไม่มีใครหรืออะไรมาขอนอนด้วย)

เก็บข้าวของเสร็จก็ได้เวลาไปกินข้าวเย็นอีกแล้ว เอาจริงชีสเค้กที่ LeTAO ยังย่อยไม่หมดเลยนะเนี่ย 😬

พร้อมกินอีกแล้ว

ร้านที่เราจะไปกินเย็นนี้ชื่อ Suyama เป็นร้านแบบโอมากาเสะ

หน้าร้านเหมือนมากินข้าวบ้านเพื่อนเลย

โดยเชฟที่เป็นทั้งผู้ปรุงอาหารและเจ้าของร้านชื่อคุณ ฮิเดโตะ ทาคาฮาชิ (Hideto Takahashi) ที่เดินทางไปสั่งสมทักษะในการปรุงอาหารญี่ปุ่นชั้นเลิศที่โตเกียวและเกียวโต แล้วก็กลับมาเปิดร้านที่บ้านเกิดในซัปโปโร

ป.ล. อาหารญี่ปุ่นแบบโอมากาเสะ (Omakase) คืออาหารที่เชฟจะเป็นผู้ตัดสินใจเพียงฝ่ายเดียวว่าจะปรุงอะไรระหว่าง course นั้น จะไม่มีเมนูและลูกค้าไม่มีสิทธิ์เลือก ถ้าแปลความหมายจริงๆ ของโอมากาเสะก็คือการกินแบบ “ตามใจเชฟ” นั่นเอง

ร้านดูเรียบง่ายแต่ซ่อนความแพงด้วยโต๊ะเคาน์เตอร์ที่ใช้ไม้แผ่นเดียวทั้งชิ้น สวยมาก

ร้านขนาดไม่ใหญ่มาก มีห้องที่เป็นเคาน์เตอร์ไม้จุได้ 8 คน (นั่งตรงนี้จะได้เห็นเชฟปรุงอาหารให้ดูกันสดๆ เลยหนุกดี) กับห้องส่วนตัวที่จุคนได้ 6 คนอีก 1 ห้อง เรามากันก็พอดีเต็มร้านเลย ไม่มีการ walk-in นะคะ ต้องจองอย่างเดียว

พวกเราก็ไม่เคยมาร้านแบบโอมากาเสะมาก่อนเลย (ยกเว้นเจ้าน้องชายที่เป็นนักชิมตัวยงและเป็นคนเลือกร้านนี้) แถมมากินถึงถิ่นที่ญี่ปุ่นซะด้วย แอบตื่นเต้นเหมือนกัน

ได้รับการบอกกล่าวล่วงหน้าว่าต้องแต่งตัวกันให้เรียบร้อยหน่อย (ประมาณ Smart Casual) เพื่อเป็นการให้เกียรติกับร้าน

ไม่วางมือถือบนโต๊ะทานอาหาร เพราะร้านโอมากาเสะเค้ามักจะใช้ไม้ราคาแพงมากมาทำโต๊ะ และก็ใช่เลย…พอเชฟเห็นเราวางโทรศัพท์กันบนโต๊ะ เค้านี่รีบเอาผ้าที่ทำไว้สำหรับให้วางมือถือส่งมาให้ทันที

ก่อนจะถ่ายรูปควรขออนุญาติทางร้านเค้าก่อน เพราะบางร้านเค้าก็ไม่ให้ถ่ายรูปด้วย

ที่สำคัญเมื่อเชฟเสิร์ฟอาหารแล้วควรรีบทานทันทีเพราะรสชาติของอาหารจะยังคงอยู่ครบ เราจะได้ลิ้มรสความอร่อยของอาหารได้เต็มที่ อย่ามัวแต่ถ่ายรูปล่ะ !!!

เริ่มต้น course แรกก็ดูเครียดๆ เลย เพราะในห้องเงียบมาก พวกเราไปกันตั้งหลายคนยังไม่ค่อยกล้าส่งเสียงเลย 🤣 แต่การได้นั่งดูเชฟและผู้ช่วยปรุงอาหารกันต่อหน้าถือเป็นความเพลิดเพลินอย่างมาก

โปรดอย่าถามว่าคืออะไรบ้าง เพราะจำไม่ได้แล้ว เมนูก็ไม่มี 😅 แต่ก่อนกินทุกเมนู เชฟจะอธิบายให้ฟังว่ามันคืออะไรบ้าง และปรุงยังไงเพื่อให้ได้รสชาติอะไรออกมา แขกที่มาจะได้ซึมซาบกับรสชาติได้อร่อยยิ่งขึ้น

แต่เมนูที่จำได้แม่นเลยคือจานนี้

ท่อเก็บน้ำอสุจิปลาชิราโกะ (Shirako)

เพราะมันคือ ท่อเก็บน้ำอสุจิปลาชิราโกะ (Shirako) 😱

ตอนได้ยินชื่อรู้สึก…อี๋ยมาก ยิ่งพอได้เห็นหน้าตา…โหยไม่น่ากินเอาซะเลย หยั่งกะสมองจะกินได้ป่าวเนี่ย แต่พอเอาเข้าปาก มันก็ไม่ได้แย่นะ คล้ายๆ กินชีสที่มีความครีมๆ มันๆ หน่อย ไม่มีกลิ่นคาวใดๆ อย่างที่กลัว บวกกับน้ำซุปปลาที่เชฟปรุงมาอย่างดีซดตามเข้าไป ทำให้เมนูนี้หอมอร่อยมากเลย

เครื่องดื่มที่เราลองวันนี้เป็นเบียร์ท้องถิ่นของที่นี่ชื่อ Rococo ขวดกะจึ๋งเดียวตั้ง 500 กว่าบาท แพงชะมัด คนอื่นๆ ก็กินสาเกกันไปตามเรื่อง

และเพิ่งรู้ว่าเวลาเปลี่ยนสาเกขวดใหม่ที (เพื่อให้เหมาะกับอาหารแต่ละประเภท) ก็ต้องเปลี่ยนแก้วทีเหมือนดื่มไวน์เลย

อีกเมนูเด็ดคืนนี้ ข้าวอบมันปู มีเครื่องเคียงและซุปด้วย บอกเลยอร่อยสุดๆ

หอม มัน อร่อย

และสุดท้ายของหวานเป็นผลไม้ราดด้วยเยลลี่ รสชาติเบาๆ แต่ตัวนี่จะแตกละ

สนุกมากๆ วันนี้ ได้เปิดประสบการณ์กินอาหารแบบโอมากาเสะถึงถิ่นกำเนิดเลย ประทับใจมากๆ ได้ลิ้มรสชาติของอาหารที่เค้าพิถีพิถันในการปรุง นี่เสียดายว่ามื้อเที่ยงดันกินซะบ่ายสองแถมไปตบขนมที่โอตารุมาอีก มื้อนี้เลยอิ่มจุกจนเราต้องขอเดินกลับโรงแรมแทนนั่งรถเลยแหละ

ถ่ายรูปกับเชฟเป็นที่ระลึก

ปิดท้ายวันนี้ด้วยวิวกลางคืนของซัปโปโรกันค่ะ เดินกลับโรงแรมท่ามกลางอากาศเย็นสบาย มีความสุขจัง

แล้วพบกันใหม่ Blog หน้าซึ่งจะเป็นตอนสุดท้ายของทริปฮอกไกโดกันแล้ว อย่าลืมตามมาอ่านกันน้า สำหรับ Blog นี้ขอบคุณที่เข้ามาอ่านนะคะ 😊

--

--

Jint
jwanderlust

หวัดดีค่ะ เราชื่อจิ๊น เราอยากให้ Blog นี้เป็นพื้นที่ที่เราได้แชร์เรื่องราวการเดินทางของเรา อยากให้ทุกคนที่เข้ามาอ่านได้มีความสุขกับ Blog นี้นะคะ