ต้องยอมรับว่าฟังก์ชันการใช้งานและหน้าตาของ UI เป็นสิ่งที่สำคัญสุดๆ สำหรับการ Launch Product ใหม่ แต่สิ่งที่สำคัญไม่แพ้กันอีกอย่างก็คือ Brand Identity ว่าแต่เจ้าสิ่งนี้คืออะไร? ถ้าให้แปลสวยๆ ก็คือ สิ่งที่สะท้อนภาพลักษณ์ของแบรนด์ แต่ถ้าแปลแบบบ้านๆ คือการตั้งชื่อแบรนด์และการออกแบบโลโก้เพื่อบอกเล่าเรื่องราวต่างๆ ให้คนสามารถจดจำสินค้าหรือบริการได้ คนส่วนใหญ่อาจคิดว่าการออกแบบแบรนด์เป็นเรื่องง่าย ไม่มีอะไรซับซ้อน แต่ในความเป็นจริงแล้วต้องผ่านกระบวนการกลั่นกรองแนวคิดมามากมายกว่าจะออกมาเป็นชื่อแบรนด์ โลโก้ สี Font ตลอดจน Key Visual ต่างๆ
ในบทความนี้เรามีเรื่องการออกแบบ Branding มาแชร์ให้ฟังกัน ย้อนกลับไปเมื่อช่วงต้นปี 2563 ที่ผ่านมา เราได้รับบรีฟงานจากฝั่ง Business มางานนึง เนื้อหาหลักๆ คือทางบริษัทกำลังทำแพลตฟอร์มสำหรับการสั่งอาหาร โดย Target เป็นลูกค้าที่นั่งทานที่ร้าน ที่พบเจอปัญหาเวลาไปทานอาหารแล้วพนักงานไม่สนใจ บริษัทจึงได้คิดค้นวิธีการแก้ Pain Point นี้โดยการสร้างบริการให้ลูกค้าสามารถสแกน QR Code จากบนโต๊ะเพื่อกดสั่งอาหารได้เลยแบบไม่ต้องง้อพนักงานอีกต่อไป ฟังแล้วก็น่าสนใจอยู่นะ เพราะการโดนพนักงานเมินก็ถือเป็น Pain Point ของเราด้วยเช่นกัน
ฟังบรีฟไปแบบเคลิ้มๆ ดูน่าสนุกดี แต่สักพักก็ชะงัก เพราะ PM บอกเราว่าตอนนี้โปรเจคนี้ยังไม่มีชื่อ ไม่มีโลโก้ใดๆ ทั้งสิ้น แต่ตัวระบบบริการ Dev กันไปพักใหญ่แล้ว โจทย์ที่เราได้รับมาวันนั้นคือให้ช่วยคิดชื่อแบรนด์และออกแบบโลโก้ โดยมีเวลาให้ทำประมาณ 2 อาทิตย์ (อุทานไปว่า WFH!!)
จะเริ่มยังไงดี?
Step แรกเลยคือการตั้งชื่อแบรนด์ ตอนนั้นนึกถึงพวกหนังสือคู่มือการตั้งชื่อลูก ถ้าชื่อแบรนด์มีคู่มือให้เลือกแบบนั้นก็ดีเนอะ กลับมานั่งลิสต์ชื่อเองก็ได้ เปิดพจนานุกรมราชบัณฑิตยสถาน ยัน Thesaurus ได้ชื่อที่เข้ารอบมาประมาณ 50 ชื่อ ค่อยๆ คัดทิ้งเหมือนประกวดนางงาม หลังจาก Brainstorm กันอยู่หลายหัว ก็มาลงกันที่ชื่อ “Eatable”
“Eatable”
Eat + Able (ทำให้การทานอาหารง่ายขึ้น)
Eat + Table (เน้นประสบการณ์การนั่งโต๊ะและทานที่ร้าน)
เอ้ย ดูมีเนื้อเรื่อง มีคอนเซ็ปต์ เอาไปขายผู้ใหญ่เลยแล้วกัน ผลสรุปก็คือ…ผ่านนน
ได้ชื่อแล้ว งาน Visual ก็ต้องมา
กลับไปนึกถึงสิ่งที่ได้รับบรีฟมาในตอนแรก แพลตฟอร์มนี้คือบริการสั่งอาหาร ซึ่งก็คือ “การสื่อสาร” นั่งทานในร้านก็ต้องมี “โต๊ะ” วิธีการสั่งคือ “Scan QR Code” แล้วสามอย่างนี้จะมาเป็นโลโก้ได้ยังไง ก็นั่ง Sketch ไป
ปั้นไปเรื่อยจนออกมาเป็น Logo Symbol ที่มี Bubble Talk ผสมตัว E ด้านใน พร้อมกรอบ QR Code และมีขอบที่โค้งมนเหมือนโต๊ะอาหารอันแสนอบอุ่น อื้อหือ เขียนเองยังขนลุกเอง (ไปขายคอนเซ็ปต์มาแบบนี้จริงๆ นะ)
ใส่ Typo ต่อเลย
อยากได้ Font ที่อ่านง่าย มีความโค้งมนรับกับตัว Symbol เลยเลือก Font เรียบๆ และมา Custom อีกนิดหน่อย
มาหยอดสีกันดีกว่า…
จะให้เป็นสีเขียวเหมือนสีองค์กรก็รู้สึกแปลกๆ อาหารจะดูน่ากินมั้ย เลยพยายามนึกว่าสีอะไรสามารถกระตุ้นให้เราอยากกินอาหารนะ? ตอบ ทุกสี (ไม่ใช่ละ อันนี้ส่วนตัว) จากผลการทดสอบทางจิตวิทยาพบว่า สีโทนร้อนจะทำให้เราอยากทานอาหารเป็นพิเศษ เลยตัดสินใจจัดสีโทนร้อนให้สุดไปเลย โลโก้นี้จะต้องเป็นสีแดงเท่านั้น
เอา Branding Identity ไปใช้งานกัน
เนื่องจากเจ้า Product ตัวนี้ถูกพัฒนาไปก่อนหน้าจะมี Branding ทีนี้การจะเอา Mood and Tone รวมถึงโลโก้ไปใส่ อาจจะเดือนร้อน UI Designer / Developer พอสมควร เพราะอาจจะกระทบกับบางส่วนที่ถูกออกแบบไว้แล้วบ้าง ก็มีการขอโทษขอโพยกันเล็กน้อยก่อนส่งไฟล์
Finally
เวลาอาจจะกระชั้นไปนิดแต่ดีใจที่ทุกอย่างออกมาดูดีและเสร็จทันเวลา ได้เห็นทีม Eatable ทุกคนตั้งใจทำงานกันมากๆ เพื่อให้ได้แพลตฟอร์มที่ช่วยให้คนทานที่ร้านได้รับความสะดวก รวดเร็ว ไม่ต้องรอเรียกพนักงาน ไม่ต้องรอเมนู สั่งอาหารได้ง่ายๆ จากมือถือตัวเองเลย แถมยังเหมาะมากกับสถานการณ์โควิดตอนนี้ที่ยังเอาแน่เอานอนไม่ได้ สั่งด้วย Eatable ก็เลี่ยงการสัมผัสเมนูได้ ของเขาดีจริงๆ นะ
เจ้าของร้านท่านใดที่สนใจเข้าร่วมโครงการ Beta Launch ของ Eatable สามารถลงทะเบียนได้ที่ https://eatable.kasikornbank.com