จะเป็นอย่างไร ถ้าฉันต้องไป Work From Anywhere ที่สหรัฐอเมริกา 1 เดือน 3 Time Zones!

Sascha May
KBTG Life
Published in
5 min readJul 5, 2023

คุณคิดว่าตอนนี้โลกของเราสามารถเรียกว่า “ยุคหลังโควิด” ได้หรือยังคะ? คำตอบนี้อาจจะยังเป็นที่ไม่แน่ชัด ไม่ได้มีคำตอบตายตัวว่าใช่ หรือ ไม่ แต่สิ่งที่ยุคโควิดทิ้งไว้ให้เราอย่างหนึ่ง ซึ่งวันนี้อยากจะมาแนะนำให้ทุกคนรู้จัก นั่นคือวิธีการทำงานอันมีชื่อเรียกว่า “Work From Anywhere” ที่พอหลังโควิดก็กลายเป็นคำที่หลายๆ คนคุ้นหน้าคุ้นตา โดยเฉพาะผู้ที่ทำงานในวงการสายเทคโนโลยีว่า “ต่อไปนี้ เราคงไม่ต้องกลับไปทำงานที่ออฟฟิศอีกแล้ว” จนกลายมาเป็นหนึ่งในการปรับตัวครั้งยิ่งใหญ่ของหลายบริษัท ไม่ใช่แค่ในประเทศไทย แต่เกิดขึ้นพร้อมๆ กันทั่วโลก

Work From Anywhere มันต่างกับ Work From Home ยังไงนะ?

เกริ่นแบบไวๆ ถ้าแปลแบบตรงตัวก็คงจะได้ความหมายว่า “ทำงานที่ไหนก็ได้” ซึ่งเป็นวิธีการทำงานรูปแบบใหม่ที่เกิดขึ้นหลังการแพร่ระบาดของโควิด (COVID-19) ในปี 2020 ที่เราต่างคนต่างต้องห่างไกลกัน พักการมาพบปะพูดคุยทำงานกันแบบเห็นหน้า เปลี่ยนไปเป็นยกเครื่องระบบใหม่เพื่อรองรับให้ใครๆ สามารถทำงานจากที่บ้านได้ จนเรียกกันติดปากว่า Work From Home กลายเป็นปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นพร้อมกันทั่วโลก ทุกสายงาน แบบไม่มีใครคาดคิด

แม้แต่ผู้ประกาศข่าวของ BBC News ก็ยังจำเป็นต้องปรับเปลี่ยนรูปแบบการทำงานใหม่ให้เป็นในรูปแบบของ Work From Home จนเกิดเป็นมีมโด่งดัง (ที่มา BBC News)

หลังจากที่ประเทศต่างๆ เริ่มสามารถกลับมาเดินทางไปมาหาสู่กันได้เป็นปกติในปี 2021 แต่ที่ทำงานยังไม่กลับมาเปิดให้ทำงานได้หนึ่งร้อยเปอร์เซ็น (หรือบางบริษัทก็ออกนโยบายว่า เราจะไม่บังคับให้พนักงานกลับมาทำงานที่ออฟฟิศอีกแล้ว) ก็เริ่มเกิดคำถามขึ้นว่า “แล้วทำไมเราไม่ลองไปทำงานที่อื่นที่ไม่ใช่ที่บ้านดูบ้างล่ะ?”

Work From Anywhere จึงเป็นสิ่งใหม่ที่เริ่มถูกพูดถึงมากขึ้น แม้แต่ KBTG เอง พอมีการเปลี่ยนแปลงรูปแบบการทำงานในยุคโควิด Work From Anywhere ก็ถูกบรรจุเป็นนโยบายใหม่ ที่เปิดกว้างให้พนักงานของ KBTG สามารถทำงานจากที่ไหนก็ได้ ตามความยืดหยุ่นของทีมและงานที่ทำ เรียกได้ว่าตั้งแต่พนักงานธรรมดาอย่างเรา จนไปถึงระดับผู้บริหาร เช่น พี่ตะวัน Chief Technology Officer (CTO) ของ KBTG เองก็ Work From Los Angeles, USA เช่นกัน (ขอแอบบอกว่านี่ถือเป็นหนึ่งในแรงบันดาลใจที่ทำให้เรามีความกล้าที่จะออกไป Work From Anywhere ตามอยู่เหมือนกัน หลังจากกล้าๆ กลัวๆ อยู่นาน)

ชมคลิป: ตามไปดูผู้บริหาร KBTG Work From Los Angeles (THE STANDARD)

อยากจะ Work From Anywhere ต้องทำยังไงบ้าง?

การ Work From Anywhere นั้นมีข้อดีข้อเสียและข้อจำกัดที่แตกต่างกันไป ขึ้นอยู่กับชีวิตและไลฟ์สไตล์ของแต่ละคน แต่หากจะให้ลองแนะนำ เราอาจจะแนะนำให้ทุกคนลองตั้งคำถามเหล่านี้มาเป็น Checklist ของตัวเองก่อนตัดสินใจ ประกอบไปด้วย 4 คำถามหลัก ๆ ได้แก่

  1. ทำไมถึงต้องไป Work From Anywhere?
  2. งานที่รับผิดชอบอยู่ตอนนี้ สามารถไปด้วยกันได้กับการ Work From Anywhere ไหม? เช่น ถ้าช่วงนี้งานที่เราดูแลอยู่ไม่ต้องพบเจอใครแบบตัวต่อตัว และยังสามารถทำงานประสานกับทีมได้เหมือนปกติที่เราอยู่บ้าน แตกต่างกันแค่สถานที่ทำงานแบบนี้โอเค
  3. ไปนานเท่าไหร่? สิ่งนี้ก็เป็นคำถามสำคัญที่เราอาจจะต้องวางแผนก่อนที่จะตัดสินใจ เพราะเป็นสิ่งที่ต้องไปด้วยกันกับโปรเจคที่เราทำอยู่เหมือนข้อด้านบน
  4. ไปที่ไหน? คำถามนี้ก็สำคัญ เนื่องจากการที่เราจะไปที่ไหนบนโลกใบนี้ก็ได้นั้นมีสิ่งหนึ่งที่เราควบคุมไม่ได้คือ Time Zone หรือช่วงเวลาในการทำงานในแต่ละวัน ยกตัวอย่างเช่น ถ้าเราเลือกไปประเทศที่ไม่ไกลจากไทยมากอย่างสิงคโปร์ เวลาก็อาจจะต่างกันแค่ 1 ชั่วโมง จากเดิมเริ่มงาน 9:30 น. ก็อาจจะเขยิบมาเป็น 8:30 น. เร็วขึ้นนิดหน่อย แต่ยังพอชิลๆ ได้อยู่

แต่ถ้าจะไปให้ไกลกว่านี้ ก็ต้องเริ่มวางแผนการทำงาน เทียบกับความ “ไหว” ของแต่ละคน เช่น ถ้าหากเราจะไปทำงานที่สหรัฐอเมริกาฝั่ง West Coast ซึ่งมีเวลาแตกต่างกับที่ไทย 14 ชั่วโมง เรียกได้ว่าสลับพระอาทิตย์กันขึ้นเลยทีเดียว ช่วงเวลาในการทำงานของเราจะเปลี่ยนจากการเริ่มงาน 9:30–17:30 น. ก็จะถูกปรับเป็น 19:30–3:30 น. นั่นเอง

ซึ่งในบทความนี้เราจะขอแชร์ประสบการณ์การไป Work From Anywhere เป็นระยะเวลาหนึ่งเดือนที่สหรัฐอเมริกา โดยเล่าผ่านคำถามทั้ง 4 ข้อใหญ่ที่ได้อธิบายไปด้านบน มาเริ่มกันเลย!

ทำไมถึงต้องไป Work From Anywhere?

บรรยากาศของฤดูใบไม้ร่วงที่ Med Campus, Stanford University // การทำงานที่โลกเดี๋ยวนี้และงานบางประเภท มีแค่คอมพิวเตอร์หนึ่งครึ่งและ WiFi ก็สามารถทำงานได้ทุกที่

ก่อนอื่นต้องบอกว่า Work From Anywhere ไม่เหมือนกับการไปเที่ยวเสียทีเดียว เพราะตามชื่อก็ยังคงชัดเจนว่าเป็นการไป Work หรือการไปทำงานนั่นเอง และ Work From Anywhere ก็สามารถมีระยะเวลาตั้งแต่หนึ่งสัปดาห์ ครึ่งเดือน หนึ่งเดือน จนไปถึงมากกว่านั้น เพราะมันคือการทำงานตามเวลาการทำงานปกติ โดยที่เราไม่ได้ใช้วันลาพักร้อนเพื่อพักผ่อนเหมือนเวลาเราไปต่างประเทศทั่วไป ซึ่งการไปทำงานก็ต้องคิดถึงการไปกินอยู่ใช้ชีวิตที่นู่นด้วยเช่นกัน เช่น ถ้าเราไปนานๆ สักครึ่งเดือนหรือหนึ่งเดือน การไปพักโรงแรมทุกวันก็อาจจะไม่ไหว

แต่โชคดีที่การไป Work From Anywhere ของเราเป็นการเยี่ยมเยียนเพื่อนและครอบครัวที่สหรัฐอเมริกา ซึ่งปกติต้องไปเป็นประจำทุกปีอยู่แล้ว จึงไม่มีปัญหาเรื่องที่พัก ถือเป็นโอกาสที่ค่อนข้างดีในการออกไปเปลี่ยนสถานที่ทำงานบ้าง เปิดโลกทัศน์ รับแรงบันดาลใจใหม่ๆ และเก็บเกี่ยวประสบการณ์ต่างแดนครั้งนี้

งานที่รับผิดชอบอยู่ตอนนี้ สามารถไปด้วยกันได้กับการ Work From Anywhere ไหม?

ซ้ายภาพจากตึก K+ Building, Samyan // ขวาภาพจาก Palo Alto, California // การพูดคุยกับทีมเป็นสิ่งที่สำคัญเป็นลำดับต้นๆ ในการ Work From Anywhere เพราะในหลายๆ งานเราไม่สามารถทำได้ด้วยตัวคนเดียว แต่ด้วยความที่ทุกวันนี้ระบบการทำงานของเราเป็นแบบ Hybrid ก็ทำให้เทคโนโลยีมาเป็นส่วนช่วยให้ทำได้มากขึ้น

อย่างที่เรารู้กันว่า KBTG เป็น Tech Company หรือบริษัททางด้านเทคโนโลยี จึงทำให้ลักษณะการทำงานค่อนข้างยืดหยุ่น และด้วยในตำแหน่งของเราคือการเป็น Designer ภายใต้ทีม Beacon Interface ผู้อยู่เบื้องหลังในการออกแบบ User Experience ให้กับผลิตภัณฑ์ต่างๆ ของ KBTG หลังลองคิดทบทวน เก็บ Requirements ต่างๆ ภายในโปรเจค รวมถึงพูดคุยกับเพื่อนร่วมงาน หัวหน้า หรือคนที่ต้องทำงานร่วมกับเราแล้วไม่มีปัญหา สิ่งนี้ก็เป็นจุดสำคัญจุดนึงที่ทำให้เราตัดสินใจกล้าที่จะลุย เพื่อทำงานแบบ Work From Anywhere แบบมั่นใจว่าไม่กระทบกับงานที่รับผิดชอบอยู่ปัจจุบัน

ไปนานเท่าไหร่?

สำหรับระยะเวลาประมาณ 1 เดือนที่เราไปทำงานที่สหรัฐอเมริกานั้น เรียกได้ว่าจะสั้นก็ไม่สั้น จะยาวก็ไม่ยาว เพราะถ้าเทียบกับการบินไปต่างประเทศที่ต้องใช้ระยะเวลาในการนั่งเครื่องบินเป็นวันๆ ก็อาจจะดูไม่ได้ยาวมาก ซึ่งการที่ไปในครั้งนี้ก็ได้มีการควบรวมการลาพักร้อนช่วงปลายปีไปด้วย

แต่จากประสบการณ์ที่ผ่านมานั้น การไปประมาณ 1 เดือนกำลังดีเลย เพราะถ้าหากแบ่งระยะเวลา 1 เดือนออกเป็น 4 สัปดาห์ สัปดาห์แรกคือการปรับตัวเข้ากับการทำงานรูปแบบใหม่ที่เรายังไม่คุ้นเคย สัปดาห์ที่สองและสามคือการที่เริ่มปรับตัวได้และสามารถทำงานได้อย่างปกติ และสัปดาห์สุดท้ายเป็นสัปดาห์เก็บตกที่กล่าวไป คือไหนๆ มาแล้ว เปลี่ยนสถานที่ทำงานแล้ว ก็คงต้องออกไปดูโลก เก็บเกี่ยวประสบการณ์ ไปใช้ชีวิตบ้าง ให้สมกับการลงทุนลงแรง เพื่อมา Work From Anywhere

ไปที่ไหน?

คำถามข้อนี้ อาจจะเป็นข้อที่ทุกคนรู้ตั้งแต่หัวข้อของบทความแล้วว่าเราไปที่ไหน และนั่นก็คือ “ประเทศสหรัฐอเมริกา” นั่นเอง แต่การที่ไปสหรัฐอเมริกาครั้งนี้ เราไม่ได้ไปเพียงเมืองเดียว Time Zone เดียวอีกด้วย!

เริ่มต้นภารกิจครั้งนี้ที่ San Francisco, California

ซ้าย ภาพสนามบิน San Francisco International Airport (SFO) จุดหมายแรกที่เราเหยียบแผ่นดินสหรัฐอเมริกา // ขวา ภาพสะพาน Golden Gate หนึ่งในสถานที่สำคัญที่นับเป็น Landmark ของเมือง San Francisco

เราเดินทางจากประเทศไทยมาลงที่สนามบิน SFO เมือง San Francisco รัฐ California ซึ่งเป็นเมืองที่หลายคนมองว่าเป็นเมืองของสายเทคโนโลยีและมี Tech Company เกิดขึ้นจำนวนมาก บริเวณพื้นที่แห่งนี้ที่เรียกว่า San Francisco Bay Area และมีมหาวิทยาลัยชื่อดังหลายแห่ง ยกตัวอย่างเช่น University of California, Berkeley และ Stanford University

แต่การใช้ชีวิตของเราส่วนมาก เอาเข้าจริงแล้วไม่ได้อยู่ที่ San Francisco หรอก เพราะที่พักที่เราต้องไปอยู่อาศัยนั้นอยู่ที่เมืองเล็กๆ ที่ชื่อว่า Palo Alto ซึ่งอยู่ห่างออกไปจาก San Francisco ประมาณ 1 ชั่วโมง ซึ่งเมืองนี้มีสถานที่ที่น่าสนใจคือเป็นที่ตั้งของ Stanford University ที่ได้กล่าวถึงด้านบน

ภาพบรรยากาศของ Stanford University และโชคดีที่ตอนเราไป ได้มีโอกาสชมบาสเก็ตบอลนัดสำคัญที่จัดขึ้นในมหาวิทยาลัย คือ NCAA Division (Women’s Basketball) ระหว่าง Stanford vs South Carolina แถมยังได้แอบไปแวะฉีดวัคซีน Booster Shot for COVID-19 ฟรีอีกด้วย

ซึ่งการได้มาอยู่ในเมืองนี้ก็ถือว่าเป็นโชคดีสำหรับเราเหมือนกัน แม้ว่ามันจะเป็นเมืองเงียบๆ ไม่ได้มีแสงสีอะไร แต่ก็น่าตื่นตาตื่นใจไม่น้อยที่จะได้มาเยี่ยมชม ดูการใช้ชีวิตของนักเรียนที่นี่ ที่เขาว่ากันว่าเป็นมหาวิทยาลัยที่เข้ายากมากๆ แห่งหนึ่งของโลก และก็เป็นมหาวิทยาลัยที่ขึ้นชื่อด้านเทคโนโลยี เพราะอยู่ใกล้กับ Silicon Valley หุบเขาเม็ดทราย อันเป็นบ่อเกิดของบริษัทต่างๆ ที่พูดชื่อไปแล้วทุกคนน่าจะรู้จักกัน เช่น Facebook (Meta), Apple, Netflix และ Google เรียกได้ว่าสำหรับคนทำงานสายเทคแล้ว เหมือนได้มาเยือนสถานที่สำคัญเชิงประวัติศาสตร์เหมือนกันนะ

นอกจากนี้ยังมี Fun Fact เล็กๆ น้อยๆ ว่าพี่กระทิง เรืองโรจน์ พูนผล Group Chairman ของ KBTG ก็จบมาจาก Graduate School of Business ซึ่งเป็นหลักสูตร MBA ของ Stanford

ภาพบรรยากาศบางส่วนของ Silicon Valley (Apple Infinite Loop, Cupertino และ Google Visitors Center, Mountain View) // ไปเยี่ยมชม Computer History Museum ที่อยู่ใกล้ๆ กัน ส่วนตัวรู้สึกว่าถ้าทำงายสายเทคแล้วมาเดินน่าจะสนุก มีอะไรที่น่าสนใจเพียบ!

โดยสิ่งที่ช่วยให้การ Work From Anywhere ครั้งนี้เป็นไปได้อย่างราบรื่นและไม่ทรมานสังขารจนเกิดไป นอกจากการมีที่พักให้อิงแอบแบบกระเป๋าตังค์ไม่ฟีบ มีครัวให้ทำอาหารแบบกระเป๋าตังค์ไม่ฉีกแล้ว เรายังมี “Daylight Saving” ซึ่งเป็นระบบการทดเวลาแบบอเมริกา ที่จะนับเวลาช้าลงอีกหนึ่งชั่วโมง (พอถึง 1:00 น. ของวันที่กำลังจะเปลี่ยนผ่านสู่ Daylight Saving เวลาจะนับถอยหลัง กลับมาเป็น 1:00 น. อีกครั้ง)

ถ้าอ่านแล้วยังไม่เข้าใจเรามีตัวอย่างเป็นการนับเวลาการทำงานให้ เช่น ถ้าสมมติเวลาทำงานปกติ เวลาอยู่อเมริกาที่ต้องเข้างานตามเวลาไทยคือ 19:30–3:30 น. เมื่อมี Daylight Saving เวลาที่ไทยยังเหมือนเดิม แต่เราจะได้นอนไวขึ้นจากการทำงานเวลาใหม่ 18:30–2:30 น. (เร็วขึ้น 1 ชั่วโมง)

แพ็คกระเป๋า ย้ายไปทำงานบนเขา ช่วง Thanksgiving!

ช่วง Thanksgiving ไม่ได้มีแค่การกินไก่งวง เพราะเพื่อนๆ ก็จะต่างคนต่างทำ traditional Thanksgiving dinner มาแชร์กันก่อนที่จะถึงวันหยุดยาว (แต่ชาวไทยอย่างเรา บอกเลยว่าข้าวบ้านแซ่บกว่าเสมอ)

พอมาอยู่ที่ Palo Alto ได้สักพัก ก็ถึงช่วงเวลาวันหยุดยาวของชาวอเมริกันอย่างเทศกาล Thanksgiving หรือวันขอบคุณพระเจ้า ถ้าเปรียบเทียบอาจจะให้ความรู้สึกเดียวกันกับเทศกาลสงกรานต์ของไทยอยู่เหมือนกัน ที่มหาวิทยาลัยจะเริ่มหยุดยาว ให้นักศึกษาได้เดินทางกลับบ้านไปหาครอบครัวหรือไปเที่ยวพักผ่อน พวกเราจึงวางแผนกันว่าจะขับรถไปเที่ยวกันที่เมือง South Lake Tahoe แหล่งท่องเที่ยวที่ขึ้นชื่อเรื่องทะเลสาบติดกับรัฐ Nevada แต่ยังคงอยู่ในรัฐ California ซึ่งถัดออกไปจาก Palo Alto ประมาณ 4 ชั่วโมง (ไม่นับรถติด อย่างที่บอกว่ามันมีความคล้ายสงกรานต์ฝรั่งอยู่เหมือนกัน แหะๆ)

นี่คงเป็นการทำงาน KBTG ครั้งแรกในอุณหภูมิติดลบ หิมะตก กลางคืนทำงาน กลางวันไปเดินป่า

South Lake Tahoe เป็นแหล่งท่องเที่ยวที่ชาว California นิยมขับรถไป มีกิจกรรมให้ทำหลายอย่าง ทั้งการเดินเขา Hiking ไปชมวิวที่ Emerald Bay นั่งกระเช้า Gondola ขึ้นไปเล่นสกี รวมถึงเป็นการเห็นหิมะครั้งแรกของเรา แม้ว่าจะไม่ได้เห็นตอนกำลังตก แต่ก็ได้ลองทำท่า Snow Angel แบบที่ตอนเด็กๆ เคยอยากทำ ฮ่าๆ

เราพักอยู่ที่ Tahoe สามวันสองคืน ซึ่งช่วงที่ไปกำลังเข้าสู่ช่วงฤดูกาลที่มีหิมะตก (ไปก่อนวันที่จะมีประกาศให้ใส่ Snow Chain ที่ล้อรถยนต์ก่อนขึ้นเขาประมาณสัปดาห์นึง) ทำให้ได้ประสบการณ์การไปสัมผัสหิมะครั้งแรกในชีวิตจากทริปนี้นี่เอง นอกจากนี้ Tahoe ยังเป็นสถานที่เที่ยวยอดฮิตของคนที่นี่ การใช้ชีวิตที่นี่จึงไม่ได้ลำบากอะไรมาก มีร้านอาหาร ซุปเปอร์มาร์เก็ต ไม่ต่างกับแหล่งท่องเที่ยวอื่นๆ เลยทีเดียว พอถึงเวลาก็เตรียมตัวโบกมือลาวันหยุดและเดินทางกลับไปทำงานต่อ (ในสภาพอากาศปกติ)

บินลัดฟ้าข้าม Time zone มาเลิกงานตอนตีสี่ที่ New York City

หลังจากกลับมาจาก South Lake Tahoe มาอยู่ที่ Palo Alto สักพัก เรามีเวลาหายใจอยู่ไม่กี่เฮือก ทำงานก้มๆ เงยๆ อีกที ก็ถึงเวลาที่มหาลัยเริ่มปิดเทอม Winter Break กันแล้ว ซึ่งจุดหมายที่เราจะไปกันในปิดเทอมนี้ก็คือเมืองมหานครที่ใครๆ ก็น่าจะรู้จักอย่าง New York City ซึ่งครั้งนี้ก็เป็นการไปเยือนครั้งแรกของเราเช่นกัน

สภาพสีหน้าตอนท่องเที่ยว New York ในช่วงกลางวัน และตอนกลับมาทำงานช่วงกลางคืน คอมพิวเตอร์ขึ้นมาฟ้องว่าแบตหมดแล้วชาร์จด้วย (แบตเจ้าของคอมก็เช่นกัน)

ซึ่งการบินข้ามทวีปจากฝั่งตะวันตก (West Coast) ที่เป็นที่ตั้งของเมือง San Francisco มาสู่ฝั่งตะวันออก (East Coast) ที่เป็นจุดหมายปลายทางของเราอย่าง New York City ก็ทำให้มีผลต่อเรื่อง Time Zone เช่นกัน เพราะถึงจะเป็นประเทศเดียวกัน แต่ประเทศสหรัฐอเมริกาก็มีขนาดใหญ่มาก จนทำให้เกิดความต่างกันของเวลา ซึ่งเวลาใหม่ที่เราต้องเริ่มทำงานที่นี่จะเร็วขึ้น 2 ชั่วโมง หรือเท่ากับต้องทำงานตั้งแต่ 20:30–4:30 น. ใช่แล้วทุกคน คราวนี้ต้องสู้กันหน่อย!

ตามกำหนดการคือเราจะอยู่ที่นี่ประมาณ 4 คืน และอย่างที่รู้กันว่า New York City เป็นมหานครที่ไม่หลับไหล ซึ่งการที่ Time Zone ก็ใช่ว่าจะไม่มีเรื่องดีเลย เพราะอย่างน้อยก็ถือว่าเป็นการเปิดโอกาสให้เราได้สัมผัสบรรยากาศของย่าน Times Square ยามค่ำคืนที่ประดับประดาไปด้วยไฟช่วงใกล้เทศกาลคริสต์มาส หรือการดู Broadway Musical ครั้งแรกในชีวิต

New York มีกิจกรรมให้ทำหลากหลายตั้งแต่เช้าจรดเย็น และข้อดีคือเดินทางง่าย มีรถไฟใต้ดินเชื่อมสถานที่แต่ละที่เข้าด้วยกัน แม้ไม่มีรถยนต์ส่วนตัวก็เที่ยวได้ค่อนข้างทั่วเกาะ Manhattan

พอมาอยู่ในสถานที่แห่งนี้ ก็ต้องยอมรับว่าที่นี่เป็นเมืองที่เต็มไปด้วยกิจกรรมให้ทำและสถานที่สำคัญต่างๆ ให้ไป เลยคิดว่าหากมาครั้งหน้า ก็อาจจะเลือกมาด้วยการลาพักร้อนน่าจะเต็มที่กว่านี้มาก (ฮ่าๆ) การมา New York สำหรับเราแล้วเป็นการใช้พลังงานมากกว่าการไป South Lake Tahoe ค่อนข้างมาก เพราะอย่างที่บอกไปว่ากลางวันค่อนข้างมีตารางที่แน่นในการไปกิน ไปเที่ยวสถานที่สำคัญต่างๆ อย่าง 9/11 Memorial Museum, Columbia University, Central Park, etc. ทำให้การนับก้าวแต่ละวันพุ่งกระฉูดแตะ 20,000 ก้าวต่อวันจากการบ้าพลังพยายามเก็บให้หมด กว่าจะถึงที่พักก็แทบหมดแรง แต่ต้องปลุกตัวเองฮึดสู้ ฮุยเลฮุย! ลุยงานกันต่อถึงตีสี่ ดังนั้นครั้งนี้น่าจะเป็นการค้นพบว่าสำหรับการ Work From Anywhere จากฝั่งอเมริกา West Coast หน้าจะเป็น Time Zone ที่เหมาะสมกว่าสำหรับคนนอนดึกอย่างเราที่พอจะสู้ไหว พร้อมตื่นมาสู้ชีวิตต่อตอน 10:00 น.

ปิดท้ายทริปด้วย First Snow ติดลบที่ Boston ก่อนกลับไทย

Boston เป็นเมืองหนาวๆ ที่มีอาหารจีนที่อร่อยแห่งนึงเท่าที่ไปอเมริกามา ใครมาแล้วอย่าพลาด มาลองเดินหาของกินใน Chinatown ที่รสชาติค่อนข้างคุ้นเคยหรือลองไปชิมอาหารทะเลของที่นี่

หลังจากฟันฝ่าการใช้ชีวิตประดุจใช้ Unlimited Package ที่ New York City แล้ว หลายคนอาจจะคิดว่าเราจะเข็ดหลาบ แต่ความจริงคือมีที่สถานที่สุดท้ายก่อนกลับที่จะไม่แวะไปก็ไม่ได้กำลังรอเราอยู่ นั่นคือเมือง Boston, Massachusetts ที่ต้องนั่งรถบัสออกไปจาก New York City อีกประมาณ 4 ชั่วโมงเพื่อไปเยี่ยมเพื่อนที่อาศัยอยู่ที่นั่นอีกเช่นเคย ซึ่งสำหรับเราแล้วการไปบอสตัน Boston ถือว่าเป็นการไปพัก ลดสปีดความเร็วชีวิตลงมา หลังจากเร่งเต็มสปีดไปแล้วที่ New York

Boston เป็นเมืองที่ค่อนข้างสงบ ไม่ได้มีกิจกรรมหวือหวาแบบที่ New York และหลายคนมองว่าเป็นเมืองประวัติศาสตร์ที่เป็นที่ตั้งของมหาวิทยาลัยที่มีชื่อเสียงระดับโลก ดังนั้นก่อนกลับนอกจากแวะเยี่ยมเยียนมิตรสหายแล้ว ก็คงไม่พลาดที่จะขอไปเที่ยวชมว่ามหา’ลัยที่ว่าของจริงนั้นเป็นอย่างไร

MIT Museum มีการจัดแสดงงานวิจัยและสิ่งประดิษฐ์ต่างๆ ที่มาจาก MIT ตอนแรกกลัวว่าจะเข้าใจยากไหม แต่พอเข้าไปเดินดูแล้ว ทำออกมาได้ค่อนข้างน่าสนใจเลย // ทางเดินลอดใต้ดินของ MIT ทำให้เข้าใจว่าที่เราเห็นตึกๆ ด้านบนนั้นเป็นแค่ส่วนหนึ่ง เพราะห้องเรียนต่างๆ ลงไปอยู่ใต้ดิน!

เราอยู่ที่ Boston ไม่นานมาก ใช้ระยะเวลาประมาณเพียงแค่สองคืนก่อนบินกลับ จึงตามเก็บสถานที่ต่างๆ ตามที่ไหว เดินทางมาวันแรก ก็เจอกับ First Snow ตกใส่หัวครั้งแรกในชีวิต (ไม่เหมือนที่ Tahoe ที่เป็นน้ำแข็งอยู่ที่พื้นแล้ว) ตื่นเช้ามาทั้งเมืองก็ขาวโพลน ทริปนี้จึงเน้นสบายๆ กินติ่มซำที่ China Town ให้เจ้าถิ่นพาเที่ยว ซึ่งโชคดีที่ได้ไกด์กิติมศักดิ์จากรุ่นน้องจาก MIT (Massachusetts Institute of Technology) ที่เปิดโอกาสพิเศษให้ได้เข้าไปชม MIT Museum ที่รวมงานเจ๋งๆ ของ MIT (รวมไปถึง MIT Media Lab ที่ KBTG ได้มีโอกาสร่วมเป็นสมาชิก Consortium ด้วยนะ!)

ได้ลองไปเดินลอดใต้ทางเดินใต้ดินที่นักเรียนใช้เดินกันจริงๆ ไปเรียนตามห้องต่างๆ เพราะที่ Boston มีอากาศค่อนข้างเย็น ซึ่งถ้ามาเองคงไม่มีโอกาสได้เข้ามาเจอประสบการณ์แบบนักเรียนของที่นี่แบบนี้

และแน่นอนว่าเมื่อมา MIT แล้ว ก็ต้องไม่พลาดที่จะนั่งรถไฟต่อไปอีกไม่กี่ป้าย เพื่อไปเยือนมหาวิทยาลัยชื่อดังอีกแห่งอย่าง Harvard University (แต่คราวนี้ไม่มีไกด์แล้วนะ ไปได้แค่ไปเดินแบบไวๆ และแอบไปลูบรองเท้าของรูปปั้น John Harvard ให้รู้ว่ามาถึงแล้วนะ!) ก่อนจะปิดท้ายด้วยการไปเดินชมสถานที่สำคัญทางประวัติศาสตร์ชาติอเมริกันอย่าง Freedom Trail ที่เดินไปก็แอบรู้สึกว่า Boston นี่เป็นเมืองที่เก่าแก่และขลังอีกเมืองนึงเลย ซึ่งพอตกดึกเมืองจะค่อนข้างเงียบๆ กลับที่พักมาทำงานได้อย่างไม่ต้องรีบร้อนมาก และก็ยังทำงานเวลาเดียวกันกับตอนอยู่ New York นั่นคือ 20:30–4:30 น. เหมือนเดิม

ภาพบรรยากาศ Harvard University ในคืนหลังหิมะตก ได้เดินดูข้างนอกแบบไวๆ (เพราะหนาว!) // รูปปั้น John Harvard ที่รูปปั้นเป็น Bronze ดำ แต่ปลายรองเท้าเป็นสีทองเพราะใครไปใครมาก็ต้องมาถู!

สรุปส่งท้าย แล้วมัน ‘เวิร์ค’ ไหมกับการไป ‘Work’ From Anywhere

สำหรับเรา นี่เป็นประสบการณ์ที่ดีที่สุดประสบการณ์หนึ่ง เพราะถ้าไม่ได้มีนโยบายการ Work From Anywhere และ ระบบการทำงานที่ถูก Set up มาเพื่อให้พวกเราสามารถทำงานแบบ Hybrid ได้ ก็คงไม่รู้ว่าจะได้มาทำอะไรแบบนี้ได้ยังไง รวมไปถึงเพื่อนๆ ในทีมที่สนับสนุนเต็มที่ เพราะเอาจริง สิ่งนี้ก็ยังเป็นเรื่องที่ใหม่มากสำหรับเราหลายๆ คน ว่าพนักงานธรรมดาๆ จะไปได้จริงๆ เหรอ? แต่วันนี้พิสูจน์แล้วว่า ทำได้! ถ้าเราวางแผนให้ดี เตรียมตัวให้ดี และรับผิดชอบตัวเองได้ให้ สิ่งนี้ไม่กระทบกับสิ่งที่เราทำอยู่ การทำงานที่ไหนก็ไม่ต่างกับการที่เรานั่งทำงานอยู่หน้าคอมพิวเตอร์ที่บ้านเช่นกัน

ทริป 1 เดือนนี้สำหรับเรา เป็นทริปที่ได้เจอผู้คนเยอะมาก หลายคนไม่ได้เจอกันมานานเป็นปีๆ ตั้งแต่ก่อนยุค COVID-19 ก็ได้ไปเยี่ยมเยียนไปเจอกัน รวมไปถึงเป็นทริปที่ได้สัมผัสประสบการณ์ครั้งแรกเยอะมาก อะไรที่ไม่เคยทำ อะไรที่ไม่เคยเห็น อะไรที่ไม่เคยได้สัมผัส เราก็ได้ให้เวลาตัวเองในการเปิดโลกเก็บอะไรใหม่ๆ ที่ถ้าเราไม่เดินทางออกมาเจอ ก็อาจจะไม่เข้าใจ

ท้ายนี้ขอบคุณทุกคนที่ยังอ่านมาถึงตรงนี้ ถ้าใครประเมินตามที่แนะนำด้านบนๆ แล้วโอเค สังขารเรายังพร้อมลุย ก็แนะนำค่ะ แต่ก็มี Tips เล็กๆ น้อยๆ คือ อย่าลืมเซฟวันลาพักร้อนมาจัดแพลนควบคู่กันไปด้วยนะ เพราะมีโอกาสได้มาทั้งที การได้พักผ่อนจากงานสักพักใช้วันลาเที่ยวได้อย่างเต็มที่ช่วงสั้นๆ ก็เป็นสิ่งที่ดีต่อจิตใจ

และนี่ก็เป็นส่วนหนึ่งของประสบการณ์ที่เรานำมาแบ่งปันทุกคนค่ะ หวังว่าจะเกิดประโยชน์กับทุกคนที่อ่านมาถึงตรงนี้ไม่มากก็น้อยนะคะ คราวหน้าจะเป็นบทความเกี่ยวกับเรื่องอะไร ถ้าหากสนใจก็อย่าลืมติดตาม แล้วพบกันใหม่ค่ะ!

maysasi.com

สำหรับใครที่ชื่นชอบบทความนี้ อย่าลืมกดติดตาม Medium: KBTG Life เรามีสาระความรู้และเรื่องราวดีๆ จากชาว KBTG พร้อมเสิร์ฟให้ที่นี่ที่แรก

--

--

Sascha May
KBTG Life

UX Designer | Researcher - A former architectural student who believes that design can improve the quality of humans lives