ตามไปฟัง Erin Meyer ผู้เขียนหนังสือดัง ‘No Rules Rules & The Culture Map’ ในงาน Techsauce ปีล่าสุด!
ถ้าพูดถึงงานประชุมด้านเทคโนโลยีที่ใหญ่ที่สุดในเอเชียตอนนี้ ทุกคนคิดว่างานนั้นจะจัดที่ประเทศไหนคะ… เกาหลี ญี่ปุ่น หรือ สิงคโปร์? แต่คำตอบคืองาน Techsauce Global Summit 2022 ที่จัดขึ้นวันที่ 26–27 สิงหาคม 2565 ที่ผ่านมา ณ ห้างสรรพสินค้า ICONSIAM ประเทศไทย นั่นเอง
ก่อนอื่นอาจจะต้องแนะนำกันซักเล็กน้อย สำหรับใครที่อาจจะยังไม่เคยได้ยินเกี่ยวกับงานนี้ Techsauce Global Summit 2022 คืองานประชุมด้านเทคโนโลยีที่โดยปกติแล้วจะจัดขึ้นเป็นประจำทุกปี แต่เนื่องจากสถานการณ์โควิดจึงทำให้ต้องงดไปเต็ม ๆ ถึง 2 ปี! การกลับมาในปี 2022 จึงเป็นการกลับมาอีกครั้งอย่างยิ่งใหญ่ แถมงานปีนี้ยังมี Sponser ใหญ่ระดับ Gold เป็น KBTG อีกด้วย!
งานปีนี้จัดขึ้นภายใต้ธีม “Opportunities Made Possible” หรือการสร้างโอกาสให้เป็นจริง โดยเนรมิตพื้นที่ ICONSIAM ชั้น 7 เกือบทั้งหมดให้กลายเป็นพื้นที่ในการสร้างโอกาส ที่ประกอบด้วยบูธจากบริษัทเทคชั้นนำ Startup รวมไปถึงอุตสหกรรมอื่นๆ อย่างเนืองแน่น ให้ผู้ร่วมงานได้มาพบปะพูดคุย แลกเปลี่ยนไอเดียตลอดทั้งวัน เรียกได้ว่าใครมีนวัตกรรมหรือ Product เจ๋งๆ อะไร ก็สามารถมา ‘ปล่อยของ’ ประชันกันอย่างเต็มที่ในพื้นที่แห่งนี้
นอกจากนี้ยังมีการจัด Workshop ที่น่าสนใจให้ผู้ร่วมงานได้ร่วมสนุกเป็นกลุ่มเล็กๆ ถามคำถามกันได้อย่างเต็มที่ ซึ่งแต่ละรอบจำเป็นต้องทำการจองที่นั่งมาล่วงหน้าเพราะเต็มไวมาก!
ถ้า Workshop ที่สนใจเต็มก็ไม่ต้องเศร้าไป เพราะภายในงานยังมีไฮไลท์อย่างเวทีสัมมนา ทั้งเวทีหลักอย่าง Main Stage ที่เปลี่ยนโรงภาพยนตร์ IMAX ของ ICONSIAM ทั้งโรงให้กลายมาเป็นเวทีสัมมนาขนาดใหญ่ และเวทีย่อยกว่า 10 เวทีที่มี Speakers มากหน้าหลายตากว่า 300 ท่านจากหลากหลายอุตสาหกรรมมาพูดคุยแบ่งปันประสบการณ์และองค์ความรู้อย่างต่อเนื่องทั้ง 2 วัน
โดยในครั้งนี้ Speaker ที่ขึ้นมาพูดบน Main Stage ทั้งสองวันก็น่าสนใจมากๆ หนึ่งในนั้นประกอบไปด้วย Erin Meyer นักเขียนชาวอเมริกัน ผู้เขียนหนังสือ No Rules Rules: Netflix and the Culture of Reinvention (New York Times best seller in October 2020) ร่วมกับ Reed Hastings ผู้ดำรงตำแหน่ง CEO ของ Netflix ในขณะนั้น
แต่ในครั้งนี้ Erin Meyer ได้มาพูดถึงในอีกหนึ่งผลงานที่สร้างชื่อเสียงให้กับเธอ นั่นคือ The Culture Map: Breaking Through the Invisible Boundaries of Global Business ที่เล่าว่าผู้คนหลากหลายเชื้อชาติ หลากหลายวัฒนธรรม มาทำงานร่วมกันนั้นจะส่งผลยังไงต่อธุรกิจ
หลังจากที่เราได้เห็นโปสเตอร์ประชาสัมพันธ์และหัวข้อที่คุณ Erin จะมาพูดในงานครั้งนี้ ก็รู้สึกสนใจขึ้นมาทันที เพราะปัจจุบันโลกถูกเชื่อมต่อเข้าด้วยกันอย่างง่ายดาย เราสามารถทำความรู้จักกับเพื่อนใหม่ได้โดยที่ไม่จำเป็นต้องเคยเจอตัวจริงกันด้วยซ้ำ ยิ่งโลกยุคหลังโควิด ยิ่งทำให้การทำงานเปลี่ยนไปอย่างเห็นได้ชัด เราสามารถทำงานที่ไหนก็ได้ หรือถ้าหากเป็นชาว KBTG ก็อาจจะคุ้นเคยกับคำว่า Work From Anywhere
สิ่งนี้เลยที่ทำให้เราคิดว่าปัจจุบันนี้การทำงานร่วมกันของคนหลากหลายเชื้อชาติเป็นสิ่งที่ไม่ยากอีกต่อไป บางครั้งในแต่ละประเทศอาจจะมีบริษัทที่มีความโดดเด่นแตกต่างกัน ทีมออกแบบอยู่ประเทศนึง ทีมพัฒนาอยู่อีกประเทศนึง ฐานการผลิตอยู่ประเทศนึงก็เป็นได้ หรือแม้แต่การที่ยุคนี้หลายคนเริ่มเปิดใจและเปิดโอกาสใหม่ๆ ให้กับตัวเองในการออกไปทำงานในประเทศที่ไม่ใช่บ้านเกิดกันมากขึ้น
ดังนั้นเราจำเป็นต้องอาศัย “ความเข้าใจในความแตกต่างของมนุษย์” เพื่อที่จะสามารถทำงานร่วมกันได้ แม้จะเป็นคนที่มี Background แตกต่างกันทั้งเชื้อชาติ ภาษา วัฒนธรรม หัวข้อการบรรยายเกี่ยวกับหนังสือ The Culture Map คราวนี้จึงเป็นสิ่งที่เราคิดว่าน่าสนใจและน่าจะมาแบ่งปันให้ผู้อ่านใน Medium ของเราได้รับชมเสมือนว่าได้ไปฟังในงาน Techsauce มาด้วยกัน!
แม้ว่าในครั้งนี้ Erin Meyer จะไม่ได้เดินทางมาพูดที่ประเทศไทยด้วยตัวเองแบบ Speaker ท่านอื่นๆ แต่เนื้อหาที่เตรียมมาพูดก็ยังอัดแน่นและเจาะลึก ถ่ายทอดผ่านวิธีการพูดที่น่าสนใจ ทำให้ฟังเพลินจนรู้สึกว่าเวลาผ่านไปอย่างรวดเร็วไม่แพ้ Session อื่น (แม้ว่าในใจก่อนเข้าฟังยังแอบลุ้นให้ได้เจอคุณ Erin ตัวเป็นๆ ก็ตาม 😂)
คราวนี้เธอมาพูดในหัวข้อ “The Culture Map: Decoding How People Communicate, Lead, and Get Things Done Around The World” ซึ่งใช้เวลาทั้งหมดประมาณครึ่งชั่วโมง คุณ Erin ได้เริ่มต้นจากการพูดถึงประเด็นสำคัญในการทำงานร่วมกัน นั่นคือวัฒนธรรมที่แตกต่างกันในแต่ละประเทศและในแง่มุมต่างๆ ที่เธอรวบรวมและจัดหมวดหมู่ขึ้นมาจากการศึกษาของเธอ
โดยในภาพที่เธอยกขึ้นมาเล่านั้น จะเห็นได้ว่าในแต่ละประเทศมีวัฒนธรรมและการสื่อสารที่แตกต่างกันออกไป โดยเธอได้นำวงกลมที่มีตัวย่อของประเทศมาวางเป็นเส้นตรงตามเกณฑ์ต่างๆ ที่เธอรวบรวมมาให้เราเข้าใจง่ายขึ้น เห็นได้ชัดว่าการสื่อสารในแต่ละประเทศมีความกระจัดกระจาย ทั้งสุดโต่งไปด้านใดด้านหนึ่งหรืออยู่ตรงกลางระหว่างขั้วทั้งสอง ซึ่งอาจจะ Grouping ได้จากชาติพันธุ์ตามภูมิประเทศ (สมชื่อหนังสือ The Culture ‘Map’) อาทิ ชาวเอเชียที่ไม่ค่อยพูด ไม่ค่อยกล้าแสดงออก หรือชาวยุโรปและอเมริกันที่มีความกล้าแสดงออกมากกว่า
คุณ Erin ยกตัวอย่างสถานการณ์ที่มีคนหลากหลายเชื้อชาติมาทำงานร่วมกันที่เธอเคยเจอ โดยเริ่มเล่าจากการที่เพื่อนร่วมงานคนฝรั่งเศสมาเล่าให้เธอฟังว่า “เพื่อนร่วมงานชาวอินเดียมีนิสัยยังไง” โดยแกนของตัวอย่างที่เธอยกคือเรื่องของ “เวลา” ชาวฝรั่งเศสคนนี้บ่นว่าเพื่อนร่วมงานของเขาไม่ตรงต่อเวลา ไม่ค่อย Active เลย ซึ่งทำให้เขาไม่ค่อยสบอารมณ์นัก
ในขณะเดียวกันคุณ Erin ได้ลองถามเพื่อนร่วมงานชาวอเมริกันในประเด็นเดียวกับที่เพื่อนชาวฝรั่งเศสมาบ่น แต่ปรากฏว่าเขาพูดเกี่ยวกับเพื่อนร่วมงานชาวฝรั่งเศสเหมือนที่ชาวฝรั่งเศสว่าเพื่อนอินเดียเลย! เขาบอกว่าเพื่อนชาวฝรั่งเศสก็ไม่ตรงต่อเวลาเช่นกัน
เรื่องนี้ยิ่งน่าสนุกยิ่งขึ้นเมื่อมีตัวละครเพิ่มขึ้นมาอย่างผู้มาจากประเทศญี่ปุ่น ถึงตรงนี้ทุกคนพอจะเดาได้ไหมคะว่าเพื่อนร่วมงานชาวญี่ปุ่นจะพูดถึงเพื่อนร่วมงานชาวอเมริกันคนด้านบนว่าอย่างไร? เดาไม่ยากเลยใช่ไหมคะ เพราะเขาก็พูดถึงชาวอเมริกันแบบเดียวกันกับที่ชาวอเมริกันพูดถึงฝรั่งเศส และชาวฝรั่งเศสพูดถึงเพื่อนชาวอินเดียของเขา
ซึ่งคุณ Erin ก็ได้สรุปว่าสิ่งเหล่านี้เป็นความแตกต่างกันในแต่ละวัฒนธรรม คำว่า “ไม่ตรงต่อเวลา” ของคนแต่ละชาตินั้นก็มีความแตกต่างกันตามบริบทที่แตกต่างกันในแต่ละประเทศ สำหรับเราแล้วสิ่งนี้เป็นการ Hook เพื่อเข้าเรื่องได้อย่างน่าสนใจเลยทีเดียว เพราะหัวข้อที่ตามมาหลังจากเรื่องเมื่อสักครู่นี้ จะมีแกนกลางในการพูดถึงเรื่อง “ความเข้าใจ/การรับรู้ ที่แตกต่างกัน” ในแต่ละชนชาติ ซึ่งสิ่งเหล่านี้ทำให้บางครั้งเราเกิดความไม่เข้าใจกัน เมื่อต้องทำงานกับคนที่เกิดและเติบโตในคนละสภาพแวดล้อมและวัฒนธรรม
ซึ่งภายใน Session นี้คุณ Erin ได้พูดถึงหัวข้อหลักๆ อยู่ประมาณ 3–4 เรื่อง เช่น บริบทของการสื่อสาร การให้ความเห็น (Feedback) ซึ่งกันและกัน และ ‘ความเงียบ’ ในแต่วัฒนธรรม
เธอจึงแนะนำ “กุญแจสู่ความเข้าใจและสื่อสารกับคนทุกชาติ” โดยใช้การถามและการพยายามทำความเข้าใจคู่สนทนาของเรา เพราะหลายครั้งที่เราอาจจะตีความหรือตัดสินเขาด้วย “ความเคยชิน” ของเราและวัฒนธรรมที่เราคุ้นเคย เช่น…
บริบทของการสื่อสาร
ในหลายครั้งการสื่อสารของมนุษย์ไม่ได้มีแค่การพูดออกมาตรงๆ แต่ยังต้องประกอบไปด้วยบริบท (Context) ในการสื่อสารร่วมกัน โดย Erin ได้จัดกลุ่มคนที่มีการให้ความสำคัญกับบริบทในการสื่อสารตั้งแต่มากไปน้อย ทำให้เราเห็นว่าชาวเอเชียจะให้ความสำคัญในบริบทการพูดที่มากกว่า เพราะการสื่อสารของชาวเอเชียมีความซับซ้อน ไม่พูดสิ่งที่คิดออกมาตรงๆ ต้องใช้บริบทมาประกอบในการตีความการสื่อสารนั้นๆ ซึ่งแตกต่างกับฝั่งของชาวยุโรปหรือผู้ใช้ภาษากลุ่มแองโกล-แซกซัน (ที่หลายคนติดปากเรียกอย่างลำลองว่า ‘คนขาว’) ที่มักจะสื่อสารออกมาอย่างชัดเจนและมีความหมายตายตัว
การให้ความเห็น (Feedback) ซึ่งกันและกัน
คุณ Erin ได้ยกตัวอย่างการให้ความเห็นที่น่ากระอักกระอ่วนใจสำหรับใครหลายๆ คน นั่นก็คือการให้ความเห็นในเชิงลบ (Negative Feedback) ว่าคนในแต่ละชาติจะมีวิธีการพูดในการให้ความเห็นผู้อื่นที่แตกต่างกันออกไป โดยเธอแบ่งการใช้ภาษาที่คนในแต่ละวัฒนธรรมนำมาเลือกใช้ออกเป็น 2 แบบ คือ Up-graders และ Down-graders Words
คราวนี้เราไม่ได้แบ่งได้ง่าย ๆ ตามทวีปของผู้คนอีกต่อไป เพราะแม้แต่ในคนขาวด้วยกัน ก็มีการให้ความคิดเห็นที่แตกต่าง คุณ Erin ได้ยกตัวอย่างถึงสถานการณ์ “การให้ความคิดเห็นเพื่อแก้ไขสัญญา” ของคนสามชาติ ได้แก่ เนเธอร์แลนด์ อังกฤษ และสหรัฐอเมริกา ซึ่งมีการให้ความเห็น หรือ Feedback ต่อการแก้ไขสัญญาที่ต่างกันออกไป สิ่งนี้ทำให้เราพอเข้าใจว่าบริบทของการสื่อสารของคนที่มีเป้าหมายเดียวกัน แต่สื่อสารด้วยวิธีการที่ต่างกัน ก็อาจทำให้ผลลัพธ์ต่างกันออกไปได้
‘ความเงียบ’ ในแต่วัฒนธรรม
คุณ Erin เข้าสู่หัวข้อสุดท้ายที่เกี่ยวกับความเงียบ เธอพูดในเรื่องของ “ความสบายใจกับความเงียบ” (Comfort With Silence) ที่ต่างกันของคนในแต่ละชาติ เพราะหากมานึกย้อนดูแล้ว เราปฏิเสธไม่ได้ว่าความเงียบก็เป็นอีกหนึ่งองค์ประกอบของการสื่อสารและการสนทนา
เธอสังเกตว่าชาวอเมริกันจะรู้สึกเริ่มไม่สบายใจหากคู่สนทนาของตนเงียบไปเพียงแค่ประมาณ 2 วินาที ซึ่งแตกต่างกับคนญี่ปุ่น ที่แม้คู่สนทนาของตนเงียบไปแล้วกว่า 12 วินาทีก็ยังรู้สึกสบายๆ
เธอจึงเปรียบเทียบการสนทนาของชาวอเมริกันเป็นเหมือน “การเล่นปิงปอง” เพราะเราต้องตีโต้กับคู่สนทนาอยู่เสมอ จึงทำให้หลายคน (แอบยกมือว่ารวมถึงเราเองด้วย) พอไปเที่ยวหรือไปอยู่ในแวดวงของชาวอเมริกันจะรู้สึกว่าพวกเขาคุยกันแทบไม่ได้หยุดพักเลย ทั้งที่สำหรับเขาอาจจะไม่ใช่เรื่องแปลกอะไร
หลังจากที่ได้ฟังที่คุณ Erin มาบรรยายในวันนั้นจนครบทั้งหมด เราพอจะเข้าใจหัวใจในการทำงานร่วมกันของคนที่มี “ความเข้าใจและการรับรู้ที่แตกต่างกันมากขึ้น” แม้ว่าเราจะมีความเข้าใจและการรับรู้ที่แตกต่างกันในหลายแง่มุม แต่เป้าหมายของการทำงานร่วมกันของทุกคนย่อมเป็นการที่เราสามารถทำงานร่วมกันได้อย่างราบรื่น หาทางออกและวิธีที่จะเข้าใจได้ตรงกันให้มากที่สุด
การ Empathize ผู้อื่นหรือ Put Yourself in Someone Else’s Shoes ก็อาจจะเป็นคีย์ของเรื่องนี้ เพื่อให้เราไม่ด่วนตัดสินใครไปง่ายๆ เพียงแค่เขาไม่ตรงกับความเคยชินของเรา การปรับตัวเข้าหากันคนละครึ่งทางย่อมส่งผลดีต่อการทำงานและความสัมพันธ์แทบทุกรูปแบบ
ก่อนจากกัน ต้องขอขอบคุณ KBTG สำหรับบัตรเข้างาน Techsauce Global Summit 2022 ในครั้งนี้ด้วย แอบกระซิบว่าคราวนี้บูธของ KBTG มีสิ่งที่น่าสนใจเยอะมาก ให้ลองเข้าไปเล่น เข้าไปพูดคุยแลกเปลี่ยนกัน แต่หากใครพลาดไปก็ไม่ต้องเสียดาย สามารถเข้าไปติดตามรายละเอียดและข่าวสารผ่านทาง KBTG Facebook Page อีกด้วย สามารถไปกด Like เพื่อไม่ให้พลาดเรื่องราวที่น่าสนใจแบบนี้กันได้เลย
และนี่ก็เป็นส่วนหนึ่งของประสบการณ์ที่เรานำมาแบ่งปันทุกคนค่ะ หวังว่าจะเกิดประโยชน์กับทุกคนที่อ่านมาถึงตรงนี้ไม่มากก็น้อยนะคะ คราวหน้าจะเป็นบทความเกี่ยวกับเรื่องอะไร ถ้าหากสนใจก็อย่าลืมติดตาม แล้วพบกันใหม่ค่ะ!
สำหรับชาวเทคคนไหนที่สนใจเรื่องราวดีๆ แบบนี้ หรืออยากเรียนรู้เกี่ยวกับ Product ใหม่ๆ ของ KBTG สามารถติดตามรายละเอียดกันได้ที่เว็บไซต์ www.kbtg.tech