มุมมองลูกตัวน้อย และแม่ที่เป็น HR Working Mom
…แล้วเดือนสิงหาคมก็มาถึง เรียกว่าเป็นเดือนของมนุษย์แม่เลยก็ว่าได้ และผู้เขียนเองก็เป็นคนหนึ่งที่ตอนนี้คิดว่าตัวเองเป็นมนุษย์แม่เต็มตัว
เมื่อก่อนตอนเด็กๆ ไม่เคยนึกภาพเลยว่าชีวิตของมนุษย์แม่นั้นเป็นอย่างไร …และไม่เคยคิดว่าชีวิตของตนเองจะเดินทางมาถึง ณ จุดนี้
การเป็นมนุษย์แม่ที่ต้องเลี้ยงลูกไปด้วย ทำงานไปด้วย บอกได้เลยว่าเวลาที่มีอยู่กับลูกมันน้อยเกินไป เกินกว่าที่เราเองคาดหวังไว้มาก ต้องขอขอบคุณช่วง COVID ที่ทำให้มนุษย์แม่ที่เป็น Working Mom ได้ Work from Home เลยทำให้เรามีโอกาสอยู่กับลูกมากขึ้น ได้ใกล้ชิด ได้เห็นพัฒนาการในช่วงสั้นๆ นี้ และได้มีโอกาสแลกเปลี่ยนความคิดเห็นกับลูกตัวน้อยของเราอย่างที่ไม่เคยคิดมาก่อน
เราเชื่อว่าเด็กน้อยทุกคนมีความช่างคิด ช่างสงสัย และเป็นวัยที่กำลังจดจำ ช่วงนี้แหละที่เค้าจะเลียนแบบสิ่งที่เค้าเห็น โดยเรียนรู้จากเราที่เป็นพ่อแม่ หรือคนใกล้ชิดรอบๆ ตัวเค้า เราเคยคิดหลายครั้งว่าอยากให้ลูกได้มีโอกาสมาเห็นในช่วงเวลาที่เราทำงานบ้าง อยากอธิบายว่าเราทำอะไร เค้าจะได้เข้าใจว่าช่วงเวลาที่เราไม่ได้อยู่ด้วยกันนั้น แม่กำลังทำอะไรอยู่ และเผื่อว่าในสิ่งที่เราทำจะเป็นแรงบันดาลใจอะไรบางอย่างให้กับชีวิตของเค้าได้ และในช่วง COVID ที่ผ่านมา เราก็ได้สิ่งนี้มาสมใจ
ตลอดเวลา 3 เดือน ตั้งแต่ มีนาคม ถึง มิถุนายน 2563 ที่เราหยุดเชื้อเพื่อชาติ การนั่งทำงานที่บ้านไปพร้อมๆ กับที่ลูกได้เรียนออนไลน์อยู่บ้านด้วยกันทำให้เราได้ใกล้ชิดกันอย่างมาก เราได้เห็นสิ่งที่ลูกได้เรียนและติดตามพัฒนาการด้านความคิดของเค้าในขณะที่เรานั่งทำงานอยู่ข้างๆ แต่ก็ไม่ใช่เราเพียงฝ่ายเดียวที่เฝ้าดูสิ่งที่เค้าทำนะ ตัวลูกเองก็สังเกตเรามาโดยตลอดว่าที่เรานั่งอยู่หน้าคอมพิวเตอร์ (ที่แม่บอกว่าแม่ทำงาน) เราทำอะไรบ้าง (สรุปแล้วลูกไม่ได้ตั้งใจเรียน แต่ตั้งใจดูแม่ทำงานมากกว่า 555)
ช่วงเวลานี้เอง…ลูกได้เริ่มเปิดโลกของเค้าและเข้ามาเรียนรู้โลกของแม่…
“แม่ครับ…ผมเห็นว่า วันๆแม่เอาแต่คุยกับคนนั้นคนนี้ แม่คุยอะไรนักหนา แม่ถามเค้าว่าเค้าทำอะไร รู้สึกยังไง มีความคิดยังไง ทำไมแม่ถึงต้องไปอยากรู้เรื่องของเค้าด้วย”
คำถามนี้ต้องตอบกันยาวหน่อยเลยแหละลูก…. แต่สิ่งที่เราตอบเค้าได้ก็คือ “งานของแม่คือ HR ถ้าให้ลงลึกไปอีกคือ HR Employee Experience Creation แม่มีหน้าที่ดูแลคนอื่นๆ ให้มีประสบการณ์ในการทำงานที่ดี มีความสุขในการทำงาน ซึ่งแม่ต้องเข้าไปใกล้ชิด สัมผัสถึงงานที่เค้าทำจริงๆ ให้ได้ว่าเป็นอย่างไร และการใกล้ชิดที่ดีที่สุดคือการเข้าไปพูดคุยกับเค้า ทำความเข้าใจในสิ่งที่เค้าทำ สอบถามถึงความรู้สึกเพื่อเช็คสภาพจิตใจของเค้า สอบถามความคิดเห็นของเค้าในสิ่งต่างๆ ที่เกิดขึ้นกับงาน ถ้าเราสัมผัสได้ว่าเค้ามีปัญหา สิ่งที่เราต้องทำคือรีบช่วยเหลือเค้า และคิดหาทางแก้ไขให้เค้าสามารถมีความสุขกับงาน กับคน และกับสถานที่ทำงานที่เค้าอยู่ให้ได้มากที่สุด”
และแน่นอน…ไม่แปลกใจว่าทำไมลูกถึงสงสัยว่าทำไมแม่พูดคุยกับคนเยอะแยะมากมายนัก เพราะวันๆ นึงนั้น HR อย่างเรามี Session ที่พูดคุยกับพนักงานมากมายนับไม่ถ้วนเลยทีเดียว ไม่ว่าจะเป็น Focus Group เพื่อเก็บข้อมูลกับพนักงาน ณ ปัจจุบัน หรือ HR Tea Talk เพื่อพูดคุยกับ New Joiner หรือจะเป็น Exit Interview กับพนักงานที่กำลังจะลาออก เราก็คุยเช่นเดียวกัน คุยกันเยอะแยะแบบนี้ ข้อมูลที่ได้มาเอาไปทำอะไร
ข้อมูลเราได้มาจากพนักงานนั้น ต้องมีการบันทึกผลเก็บเอาไว้ ทั้ง Record รายทีม หรือรายบุคคล เราเก็บไว้หมด และทุกๆ สัปดาห์ทีมงานเราก็จะนำข้อมูลที่ได้นั้นมาอัพเดตประเด็นสำคัญๆ กันในทีม จัดหมวดหมู่ของปัญหาที่เราได้รับมา หา Solution ร่วมกัน และเรียงลำดับ Priority ถึงสิ่งที่เป็น Action ต่อไป อะไรที่เราทำได้เป็น Short Term เราทำทันที และอะไรที่เป็น Long Term เราวาง Timeline เป็น Initiative Project เพื่อดำเนินการและติดตามต่อไป
จะเห็นได้ว่าส่วนที่เป็น Short Term นั้น งานจะหมุนเร็วมาก เพราะเราอยากให้พนักงานสัมผัสได้ว่าสิ่งที่เค้าฟีดแบ็คมานั้นได้รับการแก้ไข เราและองค์กรนั้นใส่ใจในสิ่งที่พวกเค้าแชร์มาให้เราจริงๆ และสำหรับส่วน Long Term เราก็ต้องมีการอัพเดตให้พวกเค้าทราบเป็นระยะๆ ด้วยเช่นกัน ว่าตอนนี้ความคืบหน้าไปถึงไหนแล้ว บางครั้งเราก็เปิดโอกาสให้เค้ามาเป็น Person in Charge ร่วมแก้ไขใน Project ที่เป็น Long Term ร่วมกันกับเราก็มี
…คำถามลูกสั้นนิดเดียว แต่แม่ตอบซะยาวเลย…
แล้วก็มีคำถามข้อต่อไปตามมา… “พวกเรารู้นะว่าช่วงนี้ที่แม่นั่งทำงานอยู่บ้าน แม่ไม่ได้เงินเดือนใช่มั้ย” และลงท้ายคำถามนี้ด้วยว่า… “พวกเราต้องช่วยกันประหยัดนะแม่!”
แน่นอน…ไม่ว่าสถานการณ์ไหนๆ เราก็ต้องช่วยกันประหยัดอยู่แล้ว แต่ทำไมถึงคิดว่าแม่ไม่ได้เงินเดือนล่ะ เรานิ่งไปซักพัก แล้วก็ขอการขยายความจากลูกตัวน้อยว่าทำไมถึงคิดแบบนี้???
ในความเข้าใจของเค้าคือเราจะมีรายได้ต่อเมื่อได้ออกไปทำงานนอกบ้าน ได้เข้าออฟฟิศ แต่ในเมื่อเรานั่งอยู่บ้านแบบนี้ เราก็ไม่ควรได้รับเงินเดือน (หารู้ไม่…ที่แม่นั่งอยู่บ้านนั้น แม่ก็ทำงานไปด้วยนะจ๊ะ) และยังเพิ่มเติมอีกว่า เค้าได้รับการบอกเล่าจากผู้ใหญ่คนอื่นๆ ว่าด้วยสถานการณ์เช่นนี้ พนักงานในบริษัทมีแต่จะโดนหักเงินเดือน ลดเงินเดือน หรือบางทีบริษัทปิด นั่นก็คือไม่ได้รับเงินเดือนเลย…
ลูกเอ๋ย…นั่นคือความโชคดีของแม่ที่แม่ได้ทำในองค์กรที่ดี มั่นคง และเป็นกำลังสำคัญในการขับเคลื่อนธนาคารที่ใหญ่ที่สุดในประเทศไทยให้ก้าวเดินพร้อมมุ่งไปข้างหน้า ที่สำคัญยิ่งกว่าคือเป็นองค์กรที่ไว้ใจและเชื่อมั่นในศักยภาพของพนักงานเป็นอย่างมาก แน่นอนว่าในช่วง COVID ที่เรา WFH นั้น รายได้พวกเราทุกคนยังคงเท่าเดิม สวัสดิการยังคงเดิม ดังนั้นสิ่งที่เราจะตอบแทนองค์กรได้ก็คือพวกเราทุกคนจะตั้งใจทำงานตามหน้าที่ของตนเองอย่างเต็มที่ ถึงแม้จะอยู่บ้าน สถานที่ก็ไม่ได้เป็นอุปสรรคในการทำงาน “อยู่ที่ไหน เราก็ทำงานได้” ไม่ใช่แค่ทีมเราเท่านั้น แต่พวกเราก็รับรู้ว่าเพื่อนๆ ทีมอื่นก็เช่นกัน เพราะเราเห็นชัดเจนว่าผ่านไปครึ่งปีแรก เราทุกคนสามารถรังสรรผลงานออกมาได้อย่างยิ่งใหญ่และงดงาม ไม่แพ้ตอนทำงานเต็มเวลาที่ออฟฟิศเลย
Chairman ผู้นำสูงสุดขององค์กรได้บอกกับพวกเราเสมอว่า “อย่าให้วิกฤตใดๆ สูญเปล่า” และวิกฤต COVID ในครั้งนี้ก็พิสูจน์ความแข็งแกร่งและความร่วมแรงร่วมใจของพวกเราในองค์กรทุกคน เชื่อไหมว่า ครึ่งปี 2020 ที่ผ่านมา เรามีถึง 45 Go-Live Project ทั้ง Project ที่เป็น Internal Improvement และ Project ที่สร้างความเปลี่ยนแปลงต่อสังคมและลูกค้าของเรา
มาถึงตรงนี้… แม่บอกลูกได้อย่างเต็มปากเต็มคำเลยว่า… “แม่ภูมิใจในองค์กร และการเป็นพนักงานของ KBTG & KBank อย่างมาก” แม่เชื่อว่าเพื่อนๆ ในองค์กรนี้ของแม่ก็รู้สึกเช่นเดียวกัน และเป็นสิ่งที่แม่อยากให้ลูกได้รับรู้เป็นตัวอย่างไปพร้อมกันด้วย
และนี่คือทั้งหมดของเราที่อยากเล่าสั้นๆ ในวันแม่ปีนี้ ความเป็นแม่ของทุกคนอาจจะแตกต่างกันไป แต่ความเป็นแม่สำหรับเรา นอกจากการเลี้ยงดูลูกแล้ว เราอยากเป็นส่วนหนึ่งในแรงบันดาลใจของเค้า ในการเติบโต และใช้ชีวิตในวันข้างหน้า และสิ่งที่ลูกมีโอกาสได้เห็นในช่วงสั้นๆ นี้ แม่ก็หวังว่าจะเป็นแรงบันดาลใจให้กับลูกเช่นกัน…
ติดตามผลงานดีๆ และรายละเอียดอื่นๆของ KBTG ได้ที่ www.kbtg.tech นะคะ