รีวิวประสบการณ์ Work (From Anywhere) and Travel หนึ่งสัปดาห์เต็มที่ญี่ปุ่น

Kris B
KBTG Life
Published in
4 min readNov 22, 2023
อันนี้คือรูปที่ได้จากการไปเที่ยวนะ หาได้ไป WFA จากป่าเขาแต่อย่างใด

ถึงผู้อ่านทุกคน สวัสดีค่ะ 👋 ห่างหายจากการเขียน Medium ไปพอสมควร มือแอบแข็งๆ บ้าง ยิ่งครั้งนี้ไม่ใช่การสัมภาษณ์พี่ๆ ใน KBTG แต่เป็นการนำประสบการณ์ของตัวเองมาแบ่งปัน ก็จะเขินๆ หน่อย แต่เชื่อว่าเป็นท็อปปิคที่โดนใจใครหลายคนแน่นอน เพราะเราจะมาว่ากันด้วยเรื่อง Work From Anywhere ที่ KBTG กันค่ะ

ที่ผ่านมาเคยมีนักเขียน KBTG Life เล่าเกี่ยวกับการ WFA มาแล้ว ทั้งการทำงานจากบ้านในกรุงเทพ จังหวัดอื่นๆ ไปจนถึงต่างประเทศ อย่างปีนี้ก็มีน้องเม ทีม Beacon Interface และพี่แบงค์ ทีม MAKE by KBank มาแชร์ประสบการณ์ที่พวกเขาได้ไปทำงานที่อเมริกาให้ฟังกัน

ในช่วงสัปดาห์คาบเกี่ยวกับวันหยุดยาวปิยมหาราชที่ผ่านมา (22–29 ต.ค.) ทางผู้เขียนเองก็ได้มีโอกาสไป WFA ที่ต่างประเทศมาเหมือนกัน แต่เป็นที่ประเทศญี่ปุ่น จึงอยากจะนำประสบการณ์ รวมถึง Takeaway ที่ได้มาฝากกันค่ะ

Disclaimer: ต้องบอกก่อนว่านี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่ผู้เขียนเคย WFA ในต่างแดน จริงๆ ผู้เขียนเคย Work From USA มาแล้วช่วงเดือนก.ย. ปี 2021 โดยได้ไปพักอาศัยกับญาติและทำงานจากแถว San Francisco เป็นเวลาหนึ่งเดือนกว่า ทำงานอาทิตย์ - พฤหัสบดี ตั้งแต่ 6pm - 3am ตามเวลาอเมริกา ซึ่งเทียบเท่ากับจันทร์ - ศุกร์ เวลา 8am - 5pm ของบ้านเรา เลยมองว่าถ้าเราผ่านตารางหฤโหดนั้นมาได้ ญี่ปุ่นที่เวลาห่างกันแค่ 2 ชั่วโมงก็ไม่น่ายาก (รึเปล่านะ)

Set the Scene

สถานที่ที่เราจะไป WFA ในครั้งนี้จะเป็นที่เมืองเซนได จังหวัดมิยากิ ประเทศญี่ปุ่น

CR: https://en.wikipedia.org/wiki/Sendai

แอบดูเป็นช้อยส์ที่แปลกอยู่ใช่มั้ยคะ เพราะปกติเวลาคนไทยไปเที่ยวญี่ปุ่น Destination ยอดฮิตก็จะเป็นพวกโตเกียว โอซาก้า เกียวโต ฟุกุโอกะ ฯลฯ แต่เซนไดอาจจะไม่ค่อยเห็นใครพูดถึงมากนัก ผู้เขียนก็เคยได้ยินเกี่ยวกับเมืองนี้มาจากช่องทางเดียว คือคุณแม่ที่เคยมาเรียนป.เอก ด้านเคมีที่นี่ ซึ่งคุณแม่ตั้งใจที่จะมาเที่ยวเซนไดเพื่อระลึกความหลังครั้งนั้นนั่นเอง เราจึงสบโอกาส ขอติดสอยห้อยตามมาด้วย โดยอยากลองทดสอบการ WFA ควบคู่กับการไปเที่ยว เพื่อดูว่าเวลาหนึ่งสัปดาห์ที่เรามี ถ้าเราแบ่งครึ่งนึงทำงาน อีกครึ่งนึงลาพักร้อนจะเวิร์คมั้ย เผื่อจะ Apply ได้กับทริปของเราในอนาคต

Work From Japan: The Routine

การจัดตารางทำงาน/เที่ยวของเราในหนึ่งสัปดาห์จะเป็นตามนี้ค่ะ

  • เที่ยว: อาทิตย์, จันทร์, ศุกร์, เสาร์
  • ทำงาน: อังคาร, พุธ, พฤหัสบดี

อย่างที่บอกว่าช่วงที่ไปเป็นสัปดาห์ที่ติดกับหยุดยาววันปิยมหาราชพอดี ทำให้ได้วันจันทร์เป็นวันหยุดมาฟรีๆ แล้วหนึ่งวัน ดังนั้นเราแค่ต้องลาพักร้อนวันศุกร์ที่ 27 ต.ค. เพิ่มเท่านั้น ส่วนตารางการทำงานในแต่ละวัน เราจะยึดตามเวลาประเทศไทยค่ะ โดยทีม Branding & Communication ที่ผู้เขียนสังกัดอยู่ เวลาทำงานจะเป็นช่วงประมาณ 9am - 6pm เทียบเท่ากับเวลา 11am - 8pm ที่ญี่ปุ่น และเนื้องานของเราจะไม่มีการเข้าถึงระบบใดๆ ของธนาคาร

กิจวัตรตลอดทั้งสามวันแห่งการทำงาน ผู้เขียนจะตื่นนอนประมาณเก้าโมงเช้า จัดการธุระให้เสร็จสิ้น ก่อนจะลงไปทานบุฟเฟ่ต์อาหารเช้าโรงแรมกับคุณแม่จนถึงประมาณ 10 โมง จากนั้นก็จะแยกย้ายกัน คุณแม่ออกไปเที่ยว ส่วนเราก็ออกไปเดินเล่นรอบๆ รอเวลาเริ่มงาน กิจกรรมช่วงเช้าแต่ละวันจะวางแตกต่างกันออกไป วันอังคารเดินสำรวจรอบๆ วันพุธแวะไปร้านหนังสือดูมังงะ และวันพฤหัสบดีก็ตะลุยร้านแคปซูลตามล่ากาชาปอง พอใกล้เวลาก็จะเดินกลับโรงแรมเพื่อเข้าสู่โหมดทำงานเต็มตัว จะออกมาอีกทีตอนพักเที่ยงบ่ายสองเพื่อทานข้าวเที่ยง ก่อนจะกลับไปทำงานต่อจนได้เวลาเลิกงาน

บรรยากาศในเมืองช่วงสายที่ไม่ค่อยมีคน // แล็ปท็อปออฟฟิศจะ Fixed เวลาตามที่ไทยเสมอ ไม่ว่าจะทำอยู่ประเทศไหน

เนื่องจากห้องโรงแรมที่เราอยู่นั้นค่อนข้างเล็ก ไม่ได้มีโต๊ะทำงานจัดสรรให้ เราจึงต้องนั่งทำงานตรงโต๊ะกาแฟแทน อุปกรณ์ไม่ได้มีพกอะไรมามากมาย เน้นหลักๆ แค่แล็ปท็อปกับเมาส์

จบจากการ Work From Japan วันแรก เราพบว่าการนั่งทำงานกระจุกอยู่กับโต๊ะเล็กๆ ทั้งวันนั้นค่อนข้างจะอึดอัด วันรุ่งขึ้นตอนเดินกลับจากร้านหนังสือ สายตาพลันเหลือบไปเห็นร้าน Starbucks ใกล้ๆ งั้นขอเปลี่ยนบรรยากาศมาทำงานช่วงเช้าที่นี่ดีกว่า รีบจ้ำอ้าวกลับไปหยิบอุปกรณ์ มอบไปรอบๆ ร้าน มีคนนั่งทำงานอยู่ไม่น้อยเหมือนกัน

Starbucks กับเมนู Seasonal ที่ดูแล้วรู้ทันทีว่าเทศกาลอะไร แต่รสชาติหวานเกินเลเวลไปหน่อย

วันสุดท้ายของวีคการทำงาน ลองเปลี่ยนมาทำงานที่ Tully บ้าง

ยังคีพธีมสั่งเมนู Seasonal เป็นชานมแคมเปญ Harry Potter มี Pop Rocks หรือลูกอมเปาะแปะโรยข้างบน

ทั้งสองวันนี้ เราจะนั่งทำที่ร้านกาแฟจนถึงเวลาพักเที่ยงหรือใกล้แบตหมด (ที่ชาร์ตแบทมันหนักกระเป๋าอ่ะ ขี้เกียจพกไปด้วย) จากนั้นเราจะเอาของไปเก็บที่ห้อง แล้วก็ออกมาหาของกิน โดยขอตั้งชื่อซีรีย์ภาพนี้ว่า “ร้านนี้ก็มีที่ไทย จะไปกินที่ญี่ปุ่นทำไมคะ??”

เรียงลำดับตามวันที่ไปกิน แต่ถ้าเรียงตามความอร่อย Ippudo ยืนหนึ่ง อร่อยกว่าที่ไทยเยอะเลย

หลังพักเที่ยง เราจะกลับไปทำงานที่โรงแรมเหมือนเดิม เป็นอันจบการทำงานที่เซนได

Takeaways: the Good and the Bad

พาร์ทนี้ขออ้างอิง Checklist ที่ใช้ในการตัดสินใจสำหรับคนที่ต้องการ WFA จากบทความน้องเม เพื่อสรุปข้อดีและข้อเสียที่เจอจากการ WFA ครั้งนี้ค่ะ

1. ทำไมถึงต้องไป Work From Anywhere?

2. งานที่รับผิดชอบอยู่ตอนนี้ สามารถไปด้วยกันได้กับการ Work From Anywhere ไหม?

3. ไปนานเท่าไหร่?

4. ไปที่ไหน?

ข้อแรก ผู้เขียนอาจจะไม่ได้มีคำตอบที่สวยหรูสำหรับข้อนี้ นอกเสียจาก “ก็อยากไปอ่ะ” 😂 อยากถือโอกาสไปเยือนในที่ที่ไม่เคยไปด้วย ซึ่งนี่แสดงให้เห็นว่าตัวเลือกของการ WFA ทำให้เราไม่จำเป็นต้องจำกัดตัวเองว่าจะต้องนั่งอยู่ที่ออฟฟิศหรือที่ใดที่หนึ่งเท่านั้น ถ้าเราอยากเปลี่ยนบรรยากาศไปทำงานตามสถานที่หรือประเทศอื่นๆ แค่เพราะใจอยาก นโยบายนี้ของ KBTG ก็ช่วยเปิดโอกาสให้เราสามารถทำได้

ข้อที่สอง งานของทีม Branding โดยส่วนใหญ่จะทำแบบ WFA อยู่แล้ว ปกติสมาชิกทีมจะทำงานจากบ้านตัวเองกัน เข้าออฟฟิศน้อยครั้งมาก เว้นแต่จะมีถ่ายทำวิดีโอ จัดอีเว้นต์ หรือไปออกงานใดๆ ในทางกลับกัน นั่นหมายความว่าตารางประชุมจะค่อนข้างหนักหน่วงใช่เล่น แต่ต้องบอกว่าสัปดาห์นั้นแอบโชคดีที่ประชุมไม่เยอะมาก จะมีบ้างก็ช่วงบ่าย ทำให้ช่วงเช้าเราสามารถออกไปทำงานตามร้านกาแฟได้ ไม่ต้องกังวลว่าจะต้องพูดคุยส่งเสียงดังในร้านรบกวนคนอื่น ถ้ามีคนคอลหา ก็อาจจะขอเปลี่ยนเป็นคุยทางแมสเสจแทน ถ้าสั้นๆ อาจจะรับสายพูดได้เบาๆ แต่ถ้ายาวและไม่ใช่ Agenda ที่รีบมาก ก็ขอคุยช่วงบ่ายที่เรากลับเข้าโรงแรมแทน ก่อนไปก็ได้มีการแจ้งหัวหน้าทีมและสมาชิกทีมเรียบร้อย ทุกคนจะได้รับทราบทั่วกัน หากต้องติดต่ออะไรก็ใช้ช่องทางคอลออนไลน์อย่าง MS Teams หรือ LINE ไม่ต้องคอลมือถือ

ข้อที่สาม อันนี้แหละที่เรามองว่าเป็นข้อเสียของทริปนี้ เพราะช่วงสัปดาห์แรกมักจะเป็นการปรับตัวให้เข้ากับ Routine ใหม่ วันแรกกับวันที่สองการทำงานยังรวนๆ ไม่เข้าที่ดี ยังจัดตารางการทำงานของตัวเองไม่ค่อยโอเคเท่าไหร่ กว่าจะปรับให้ลงตัวได้ก็วันสุดท้ายซะแล้ว เทียบกับตอนที่ Work From USA ที่แม้ตารางเวลาจะกลับหัวกลับหาง แต่พอผ่านวีคแรกไป ทุกอย่างจะเริ่มลงร่อง เรารู้แล้วว่า Routine แบบไหนเวิร์คสำหรับเรา การทำงานต่อจากนั้นก็จะสมูธขึ้น เพราะฉะนั้นระยะเวลาหนึ่งสัปดาห์อาจจะสั้นเกินกว่าที่จะ WFA ได้อย่างมีประสิทธิภาพ ทั้งนี้ถ้ามองในมุมกลับกัน เป็นไปได้ว่าถ้าเรา Work From Japan นานกว่านั้น ก็อาจจะมาเจอช่วงที่เราต้องประชุมรัวๆ ทำให้เราออกไปนั่งทำงานร้านกาแฟข้างนอกแบบนี้ไม่ได้ทุกวัน อันนี้เราต้องชั่งน้ำหนักให้ดี

ข้อที่สี่ ถ้าถามว่าจากที่เคยไปเที่ยวต่างประเทศมา ชอบประเทศไหนมากสุด ญี่ปุ่นคงติดอยู่อันดับต้นๆ ซึ่งการ WFA ครั้งนี้ นอกจากจะได้มาเยือนประเทศที่ชอบอีกครั้ง ยังได้มาท้าทายสกิลการเอาตัวรอดของตัวเองประมาณนึง เนื่องจากเซนไดเป็นเมืองที่นักท่องเที่ยวต่างชาติไม่เยอะมาก การสื่อสารหรือสื่อต่างๆ เป็นภาษาญี่ปุ่นไปแล้ว 80% ส่วนใหญ่จึงต้องพึ่งพา Google ไม่ว่าจะเป็น Google Map เสิร์ชหาตารางรถ รีวิวร้านอาหารอร่อยๆ วางแพลนทริป (ส่วนตัวอยากแนะนำ Google My Maps เครื่องมือคู่ใจใช้สร้าง Custom Map เหมาะสำหรับวางแผนทริป) หรือ Google Translate พิมพ์แปลภาษา ไปจนถึงฟีเจอร์ Translate Images ที่ใช้แปลคำบนป้ายผ่านกล้อง (แต่บางพื้นที่เน็ตอับ พี่ไม่แปลให้อีก อันนี้ต้องทำใจ) แทบไม่เจอปัญหาใดๆ แถมยังได้ทดลองเปลี่ยน Routine การทำงานแบบเดิมๆ ของตัวเองอีกด้วย

และไฮไลท์สำคัญที่สุดก็คงเป็นความดีงามเหล่านี้ ที่ได้จากอีกสี่วันเที่ยวที่เหลือ

ขอบคุณทุกคนที่แวะเข้ามาอ่านบทความนี้กันนะคะ พาร์ท Travel อาจจะไม่ได้ลงรายละเอียดมาก เพราะแพลนเราเน้นเรื่องกินซะส่วนใหญ่ 555 เอาเป็นว่าสิบปากว่าไม่เท่าตาเห็น ถ้าใครอยากรู้ว่า Work From Abroad เวิร์คจริงมั้ย บอกได้แค่ว่าต้องลองกับตัวค่ะ โดยเริ่มต้นจากเลือกองค์กรที่มีนโยบาย WFA อย่าง KBTG

สำหรับใครที่สนใจ ลองเข้าไปส่องๆ เว็บและดูว่ามีตำแหน่งไหนที่เหมาะกับตัวเรา จากนั้นก็กดสมัครได้เลย

สำหรับใครที่ชื่นชอบบทความนี้ อย่าลืมกดติดตาม Medium: KBTG Life เรามีสาระความรู้และเรื่องราวดีๆ จากชาว KBTG พร้อมเสิร์ฟให้ที่นี่ที่แรก

--

--