“เค้าเล่าว่า” เรื่องลือเรื่องเล่าขานของ Agile (Agile Myths vs Reality)
เดี๋ยวนี้ใครๆ ก็หันมาสนใจการทำ Agile กันเยอะมากเลยครับ หลายๆ องค์กรถึงกับตั้งเป็นเป้าหมายกันเลยทีเดียวว่าเราต้อง “เป็น Agile”
แต่หลายๆ ครั้งเหมือนกันที่ผมพบว่าการเป็น Agile หรือการทำ Agile นั้นมีความเรื่องลือ ความเชื่อ ที่อาจจะไม่ตรงความเป็นจริงมากนัก “เค้าเล่าว่า” กับ “ความเป็นจริง” นั้นกลับต่างกัน
เค้าเล่าว่า Agile คือ ความเร็ว
จริงๆ แล้ว Agile ไม่ได้หมายถึงความเร็ว แต่หมายถึงความคล่องตัว เป้าหมายของการปรับใช้ Agile คือสร้างความคล่องตัวในกระบวนการที่จะสามารถมองเห็นภาพรวมได้ทั้งหมด ถ้าจะมีปัญหาก็จะเห็นปัญหาได้เร็วขึ้นพร้อมแก้ไขได้ และสามารถรับ Feedback ได้ในระยะเวลาที่ไม่ยาวเกินไปจนกลับตัวไม่ทัน ถ้าต้องมีการปรับก็สามารถปรับได้ทันท่วงที และเมื่อเราสามารถคล่องตัวได้อย่างดีแล้ว เราก็จะเร็วขึ้นเอง
เค้าเล่าว่า การทำ Agile คือการสร้างเลนพิเศษ
ไม่มีเลนพิเศษที่ใช้ได้ถาวรครับ ถ้าเลนพิเศษดี แต่เลนที่เหลือยังมีรถติดอยู่ ก็เป็นไปได้ว่าไม่ได้มีอะไรดีขึ้นและมีโอกาสที่คนที่อยู่เลนธรรมดาก็อยากได้เลนพิเศษ สุดท้ายทุกเลนเป็นเลนด่วนก็ติดหมดทุกเลนอยู่ดี ดังนั้นต้องมองเลนพิเศษเป็นเลนทดลองที่ทำให้เราเห็นว่าถ้าเป้าหมายเราคือความคล่องตัว อะไรบ้างในเลนปกติที่ทำให้เราไม่คล่องตัว เราจะสามารถปรับปรุง แก้ไข และเปลี่ยนแปลงมันได้อย่างไรบ้าง เพื่อให้เลนธรรมดาของเรานั้นคล่องตัวได้ทุกเลน
ไม่ว่าเพิ่มเลนเท่าไหร่ ถ้ายังมีรถเพิ่มเข้ามาเรื่อยๆ ยังไงรถก็ติด
เค้าเล่าว่าทำ Agile คือ Scrum
Scrum เป็นเครื่องมือหนึ่งที่เอามาปรับใช้เพื่อให้เกิด Agility หรือให้เราเข้าใกล้ของการเป็น Agile เป็นการสร้างการทำงานเป็นรอบสั้นๆ คงที่เพื่อให้สามารถเห็น Feedback Loop ของการทำงานอย่างชัดเจน
ทั้งนี้ไม่ใช่ว่าทุกงาน ทุกทีมเหมาะกับ Scrum เราต้องดูว่างานของเรามีลักษณะอย่างไร เราทำงานเป็นรอบมีของที่ส่งมอบออกมาได้ไหม หรือจริงๆ เราเป็นงานแบบไหน สำคัญไปกว่านั้นคือเรามีปัญหาอะไร ทำไมเราถึงจะทำ Agile ทำไมเราถึงจะนำ Tool มาใช้ เราต้องการแก้ปัญหาอะไร เพื่อให้ได้ผลอะไร
มีเครื่องมือมากมายที่สามารถนำมาปรับใช้เพื่อให้ใกล้เคียงกับคำว่า Agile
แต่อย่าเริ่มจากเครื่องมือที่จะใช้ ให้เริ่มจากปัญหาที่ต้องการจะแก้
เค้าเล่าว่า Agile คือ Mindset
จะบอกว่ามันก็ไม่ผิดหรอก ส่วนหนึ่งของการทำ Agile คือ Mindset การที่มีความเข้าใจ มองเห็นถึงประโยชน์ และมีความต้องการที่จะปรับใช้เป็นจุดเริ่มต้นที่ดี เพียงแต่ว่าการมีแค่ Mindset นั้นยังไม่พอ มันต้องประสานไปกับการทดลองทำด้วย
Mindset → Toolset → Playset
- Mindset: มีความเข้าใจ มีความสนใจ มีความอยากทำ
- Toolset: มีความรู้ รู้ว่าจะปรับใช้ด้วยเครื่องมืออะไร ทำอย่างไร ต้องใช้เครื่องมืออะไรบ้าง มีใครเกี่ยวข้องบ้าง
- Playset: มีพื้นที่ปลอดภัยที่ทุกคนสามารถทดลองกระบวนการใหม่ๆ ทำพลาดแล้วไม่โดนด่า ไม่โดนไล่ออก มีการสนับสนุนจากทุกระดับ พื้นที่ทุกทุกคนร่วมใจกันมีเป้าหมายเดียวกัน หรือเจอปัญหาแล้วร่วมใจกันแก้ไขได้เพื่อสร้างผลกระทบไปในระดับใหญ่
เค้าเล่าว่า Agile for IT
Agile เกิดมาจากกลุ่มคนทำซอฟต์แวร์ 17 คน และเป็นที่นิยมในหมู่นักทำซอฟต์แวร์ในช่วงแรกๆ แต่ด้วยนิยาม Manifesto and Principles ของ Agile ทำให้เกิดการนำมาปรับใช้ในหลายๆ อุตสาหกรรม หลายๆ Tools หรือในการปรับใช้ Agile เป็น Tools สำหรับการผลิตซอฟต์แวร์ จึงไม่น่าแปลกใจที่การทำ Agile ส่วนใหญ่เริ่มที่แผนกไอทีหรือเทคโนโลยี
เพียงแต่ว่า Agile ไม่ได้พูดถึงการผลิตอย่างเดียว ในมุมมองของ Agile นั้นมีสองฝั่ง คือ Discovery และ Delivery ซึ่งทั้งสองฝั่งทำประสานกับเป็น Infinity เริ่มจากการทำ Discovery หาว่าเราต้องการสร้าง Outcome อะไร เพื่อออกมาเป็น Product Roadmap Requirement แล้ว ทางฝั่ง Delivery ก็มองเห็นภาพ Outcome ร่วมมือสร้าง Output ที่ตอบโจทย์ Outcome นั้น
ดังนั้นมันคือการที่มี Goal ร่วมกัน และร่วมมือกันสร้าง Impact ออกมา ซึ่งในระหว่างนั้นไม่ใช่แค่การทำ Product แต่คือการปรับ Process ระหว่างทาง ดูว่าเราเจอปัญหาอะไร ทั้งการประสานงานกับส่วนที่เกี่ยวข้อง ทั้งการเจอกับ Process ที่มีต่างๆ ที่อาจจะเป็นปัญหาในการทำงาน สิ่งเหล่านี้คือสิ่งที่เราต้องร่วมมือปรับปรุง เพื่อสร้างให้เกิดการทำงานรูปแบบใหม่ที่เข้าใกล้คำว่า Agile ให้มากที่สุด
อาหารที่อร่อยของแต่ละคนต่างกัน คนหนี่งบอกว่าอร่อย อีกคนอาจบอกว่าไม่ ทั้งหมดนั้นขึ้นอยู่กับเราเข้าใจว่าใครเป็นคนกินอาหาร เค้าชอบแบบไหน วัตถุดิบต้องใช้อะไร ต้องปรุงอย่างไร และเสิร์ฟอย่างไร สุดท้ายคนชิมนั่นแหละจะบอกว่ามันอร่อย ไม่ใช่ฟังจากคนอื่น
สำหรับชาวเทคคนไหนที่สนใจเรื่องราวดีๆแบบนี้ หรืออยากเรียนรู้เกี่ยวกับ Product ใหม่ๆ ของ KBTG สามารถติดตามรายละเอียดกันได้ที่เว็บไซต์ www.kbtg.tech
