เพราะทุกอย่างเป็นไปได้เสมอ: จากคนสายศิลป์ สู่ Software Engineer
ไม่ว่าคุณเป็นใคร เรียนจบอะไรมา กำลังทำอะไรอยู่ หากกำลังคิดเปลี่ยนเส้นทางสายงาน ชีวิตกำลังอยู่ในช่วงเปลี่ยนผ่าน อย่าเพิ่งท้อ ทุกอย่างเป็นไปได้
เดี๋ยวนี้การทำงานไม่ตรงสายที่เรียนจบมาถือเป็นเรื่องปกติมากเมื่อเทียบกับเมื่อก่อน บางคนคิดว่าไม่จำเป็นต้องทำงานตรงตามที่เรียน จึงเลือกทำงานที่อยากทำจริงๆ บ้างก็ไม่มีทางเลือกเพราะสภาพเศรษฐกิจสังคมในยุคเงินเฟ้อพ่วงโรคระบาดบีบบังคับให้ต้องสมัครงานอะไรก็ได้เพื่อเลี้ยงชีพ บ้างต้องการค้นหาตัวเอง เลยลองทำงานด้านต่างๆ ที่หลากหลายไปก่อน และบ้างจบมาจากคณะที่ไม่ได้มีอาชีพในตลาดงานรองรับเฉพาะเจาะจงอย่างคณะสายศิลป์ เช่นเดียวกับตัวเรา
ไม่ว่าเป็นแบบไหน เราเข้าใจดีว่าไม่ง่ายเลยสักแบบ ทุกคนต่างพยายาม อดทนและใช้แรงกายแรงใจมหาศาลเพื่อพาตัวเองผ่านช่วงเวลาแห่งการเติบโตที่ต้องลองผิดลองถูก ผิดหวังซ้ำแล้วซ้ำเล่า
ทุกคนคงอุ่นใจหรือมีแรงมากขึ้น หากระหว่างทางเรามองไปเห็นคนที่เชื่อมั่นในตัวเรา หรือมองเห็นองค์กรที่พร้อมยอมรับและเห็นศักยภาพของเรา
เราเองเป็นหนึ่งในอักษรศาสตร์บัณฑิตที่จบมาแล้วทำงานไม่ตรงสาย ส่วนหนึ่งเพราะเป็นคณะที่ไม่ได้มีอาชีพในตลาดงานรองรับเฉพาะเจาะจงอย่างวิศวกร นักบัญชีหรือหมอ อีกส่วนหนึ่งเพราะนอกจากจะสอนทักษะภาษาและการสื่อสารแล้ว คณะยังสอนกระบวนการคิดวิเคราะห์เชิงตรรกะเหตุผล ให้มองเรื่องราวต่างๆ แบบเปิดกว้าง ซึ่งทักษะเหล่านี้เป็นวัตถุดิบที่นำไปประยุกต์ใช้กับอาชีพใดก็ได้ จึงทำให้เรามองเห็นว่าจริงๆ แล้วเราจะเป็นใครหรือทำอาชีพอะไรก็ได้ เราสามารถเป็นได้มากกว่าอาชีพที่สังคมเคยจำกัดไว้ให้ เช่น ครู เลขานุการ นักเขียน นักแปล ล่าม เป็นต้น
ด้วยเหตุนี้เราจึงพบเจอคนสายศิลป์ได้ในหลากสายหลายแขนง ไม่ว่าจะเป็น Marketer, Sales, Sales Assistant, Project Manager, Product Owner, Customer Service, Content Creator, Creative, Graphic, UX/UI Designer, Editor, Production House, Script Writer และยังมีอีกมากที่ไม่ได้กล่าวถึง
หลังเรียนจบ เราตัดสินใจทำร้านขนมออนไลน์ควบคู่กับการรับงานแปล งานสอนภาษาจีน และงานการตลาดให้กับบริษัทสัญชาติญี่ปุ่นแห่งหนึ่งเป็นเวลาเกือบปีกว่า ได้ล้มลุกคลุกคลานและเรียนรู้หลายอย่าง แต่แล้วราคาวัตถุดิบที่ใช้ทำขนมสูงขึ้นเรื่อยๆ ร้านค้าที่เคยส่งขนมไปวางขายก็สถานการณ์ไม่สู้ดีอันเนื่องจากโรคระบาด จังหวะนั้นก็มีบริษัทเทคโนโลยีและโทรคมนาคมสัญชาติจีนแห่งหนึ่งติดต่อเสนอตำแหน่ง Channel Sales Assistant มาพอดี เป็นงานที่ใช้ทักษะภาษาและการวางแผนประสานงาน ก็เชื่อว่าตัวเองทำได้จึงตัดสินใจรับบทเป็นพนักงานประจำครั้งแรก
การตัดสินใจครั้งนี้ทำให้ได้รู้จักเรื่องราวทางธุรกิจมากขึ้น เรียกว่าได้รู้ภาพรวมธุรกิจเลย เพราะเป็นตำแหน่งที่ต้องประสานงานกับทุกฝ่าย วิเคราะห์ยอดขายและรับรู้กิจกรรมที่เกี่ยวข้องกับการซื้อขายทั้งหมด แต่ที่สำคัญกว่านั้น เราได้รู้จักตัวเองมากขึ้นเรื่อยๆ อย่างเห็นได้ชัด พบว่าเราสนใจงานที่ได้ใช้ความคิดวิเคราะห์ วางแผน และมีความไม่ Extrovert เท่างานนี้ ทำให้เราเริ่มสมัครงานประเภทนี้มาเรื่อยๆ เช่น Content Creator, Finance รวมถึงงาน Software Engineer ที่ใช้เวลาว่างงานสองเดือนกว่าในการเรียนรู้และลองเขียนโปรแกรมดู
ระยะเวลาสองเดือนกว่าที่ว่า ใช่ว่าเราจะเรียนรู้ได้ครบถ้วนหรือเขียนโปรแกรมได้เก่งกาจ แท้จริงแล้วความไม่มั่นใจและความกลัวเรามีมากมายเชียวในเวลานั้น แต่ลึกๆ ก็คิดแค่ว่าเราเรียนภาษาคนมาทั้งชีวิต อยากลองเรียนภาษาคอมบ้าง ซึ่งภาษาคอมก็ถูกสร้างขึ้นมาด้วยคนนี่แหละ เลยอยากรู้ว่าจะออกมาเป็นยังไง อยากรู้ว่าตัวเองจะไปกับสิ่งนี้ได้มั้ย ไหนๆ ก็ว่างงานแล้ว ลองใช้เวลากับมันดู จนเข้าสู่เดือนที่สอง เห็นว่าตัวเองพอทำได้ จึงเริ่มสมัครงานด้วยความรู้สึกที่ว่า “ลองดูละกัน” ถ้ามีที่ไหนเห็นถึงศักยภาพและอยากให้เราเติบโตไปด้วยกันก็นับว่าโชคดี แต่ถ้ายังไม่ถึงจังหวะเวลาก็ไม่เป็นไร ทำใจให้สบายและค่อยๆ ไปต่อ ค่อยๆ เรียนรู้อย่างใจเย็น
ไม่มีใครตอบได้ว่าจังหวะเวลาที่ว่าจะมาช้าหรือเร็ว สองเดือนกว่าๆ ผ่านไป เราได้โอกาสสอบข้อเขียนกับ KBTG โดยเขียนโปรแกรมตามโจทย์ปัญหาเชิงคณิตศาสตร์ด้วยภาษา Java ที่จริงก่อนหน้าการสอบทาง HR จะมีการสอบถามถึงภาษาที่ถนัด แจ้งกำหนดการสอบ และระยะเวลาการสอบที่มีให้สองชั่วโมง ตอนนั้นตื่นเต้นมาก เรามีเวลาเตรียมตัวก่อนสอบแค่หนึ่งสัปดาห์ครึ่ง เลยฝึกคิดฝึกเขียนตามโจทย์ต่างๆ บนเว็บไซต์ Codewars ทุกวันอย่างจริงจังจนถึงวันสอบ เราใช้วิธีอ่านโจทย์แล้วดูว่าเข้าใจไหม ถ้าเข้าใจให้ลองคิดคร่าวๆ ว่าน่าจะเขียนออกมาประมาณไหน แล้วเปิดเฉลยดูเลย เพื่อให้กระบวนการเรียนรู้ไปได้ไวขึ้นภายในเวลาที่มีจำกัด หลังสอบข้อเขียนเสร็จก็รอผลว่าจะได้สัมภาษณ์ต่อหรือไม่
“สวัสดีค่าติดต่อจาก KBTG นะคะ จะโทรมา Offer งานค่า”
ไม่น่าเชื่อว่าสองวันหลังสัมภาษณ์งาน จะได้รับโทรศัพท์เสนอตำแหน่งงานกลับมา…
นับจากวันที่เริ่มงานจนถึงตอนนี้ที่กำลังนั่งเขียนบทความอยู่ รวมเป็นเวลาเกือบสามเดือนที่ได้เข้ามาทำงานที่ KBTG ส่วนตัวรู้สึกประทับใจ รู้สึกว่าเป็นองค์กรที่น่าทำงานด้วยมากจริงๆ จนไม่แปลกใจว่าทำไมถึงได้รับรางวัลองค์กรที่น่าทำงานมากที่สุดในเอเชียจาก HR Asia ที่นี่มีนโยบายการทำงาน WFA เหมาะกับยุคสมัยและตอบโจทย์พนักงานทุกคนไม่ว่าจะอยู่ที่ใดก็ตามบนโลกใบนี้ เราประทับใจที่ KBTG ตระหนักว่าการเดินทางมาทำงานและกลับบ้านในแต่ละวันนั้นทำให้เสียพลังงานไปมหาศาล เห็นความสำคัญของพนักงานเรื่องโรคระบาด แต่ก็เข้าใจในธรรมชาติของมนุษย์ที่เป็นสัตว์สังคม จึงจัดกิจกรรมให้ร่วมสนุกทั้งแบบออนไลน์และออฟไลน์เป็นประจำ ทำให้เกิดความสมดุลและได้มีช่วงเวลาที่สนุกสนานนอกเหนือจากการทำงาน ทั้งยังมีคอร์สเรียนออนไลน์จำนวนมากให้เลือกลงทะเบียนเรียนได้เสรี ไม่ว่าจะเป็นคอร์สความรู้ด้านธนาคาร ภาษาต่างประเทศ เทคโนโลยี หรือแม้แต่ ความรู้ฮวงจุ้ย!
ส่วนภาพย่อยอย่างทีมที่เราอยู่ก็มีเรื่องประทับใจและสิ่งที่ได้เรียนรู้หลายอย่างแม้จะเป็นเวลาแค่สองเดือนกว่า ทุกคนยินดีสอนงาน เต็มใจตอบคำถามเรื่องต่างๆ แบบเปิดกว้างมาก ใจเย็น สุภาพและให้เกียรติกันเสมอ สนับสนุนและโอบรับกันทุกเมื่อ สิ่งแวดล้อมเอื้อต่อการเรียนรู้เติบโตมากเชียว ที่นี่ไม่มีใครทำให้เราไม่มั่นใจเลยว่าการจบไม่ตรงสายจะเป็นอุปสรรคต่อการทำงาน (มีแต่เราที่กังวลและกลัวไปเอง ทั้งที่เพื่อนๆ พี่ๆ ในทีมต่างเชื่อมั่นในตัวเรา) นอกจากนี้เพื่อไม่ให้การสื่อสารในทีมเป็นเพียงการได้ยินแต่เสียงผ่านสายหูฟังหรือคุยกันผ่านข้อความแห้งๆ ทางทีมจึงตกลงกันว่าจะมาเจอกันสองสัปดาห์ครั้ง สัปดาห์ละหนึ่งวัน ซึ่งถือว่าเป็นอัตราการทำงานออฟไลน์ที่กำลังดีเลย
พูดถึงความรู้สึกที่มีต่อตัวเนื้องาน Software Engineering กันบ้าง พอเริ่มทำมาเรื่อยๆ ก็พบว่ามีเรื่องใหม่เยอะแยะให้เรียนรู้ตามคาด แต่ก็มีบางเรื่องที่ลองทำแล้วได้เจอจุดร่วมกับสมัยที่คลุกคลีกับสายภาษา ใครว่างาน Developer มีความวิทย์สุดๆ เราพร้อมเห็นต่าง เพราะงานมันมีความศิลป์และนามธรรมผสมผสานอยู่พอสมควร เช่น เราจับไวยากรณ์ของภาษาที่ใช้เขียนโปรแกรมได้มากขึ้น จนสามารถอ่านและพูดออกมาเป็นรูปประโยคภาษามนุษย์ ความรู้สึกนี้ไม่ต่างจากตอนที่เราทำงานแปลเลย งานซัพพอร์ตประสานกับทีม Tester ก็ใช้ทักษะการสื่อสารพอสมควร หรือการดีไซน์โครงสร้างระบบก็ต้องอาศัยการคิดภาพแล้ววาดออกมา กระบวนการคิดที่เป็นเหตุและผลก็เป็นกระบวนการเดียวกันกับที่เราได้ฝึกฝนมาสมัยเรียนอักษรฯ เดิมที่รู้สึกว่าการเขียนโปรแกรมเป็นงานที่สนใจและพอทำได้ ก็เริ่มพัฒนาเป็นความรู้สึกชอบมากขึ้นแล้ว
จริงอยู่ที่ตอนนี้เรายังไม่ได้มีความชำนาญในงานมากนัก แต่ก็คุ้นเคยกับงานมากขึ้นเมื่อเทียบกับช่วงวันเวลาที่ผ่านมา เราทุกคนต่างโตขึ้นและได้เรียนรู้อะไรบางอย่างในทุกวัน ยิ่งอยู่ในองค์กรและทีมที่ให้โอกาส พื้นที่ และเวลาในการเรียนรู้แล้ว เชื่อว่าในอนาคตเราจะเป็นคนหนึ่งที่ช่วยสนับสนุนทีมได้มากขึ้นแน่
คุณเองก็เช่นกัน ไม่ว่าจะเป็นใคร เรียนจบอะไรมา กำลังทำอะไรอยู่ หากกำลังคิดปรับเปลี่ยนเส้นทางสายงาน อย่าเพิ่งท้อ อย่าเพิ่งหมดหวัง เราเชื่อว่าหากอยู่ในสิ่งแวดล้อมดีๆ อย่าง KBTG ที่ให้พื้นที่ทุกคนเติบโต ที่เห็นศักยภาพและยอมรับในตัวบุคลากร คุณจะงอกงามและเติบโตได้อย่างดีแน่นอน
มาเติบโตด้วยกันนะ! https://www.kbtg.tech/career