New Home Experiences: บทบาทใหม่ของบ้าน

Ting Pradthana Jarusriboonchai
KBTG Life
Published in
2 min readJul 3, 2020

เมื่อบ้านกลายเป็นที่หลบภัย และพักจาก COVID-19 การเก็บตัวอยู่บ้าน Work from Home ตามนโยบายของรัฐบาล “อยู่บ้าน หยุดเชื้อ เพื่อชาติ” ได้เปลี่ยนมุมมองและประสบการณ์ที่เรามีต่อบ้าน ที่ถูกเปลี่ยนเป็นออฟฟิศ เป็นยิมออกกำลังกาย เป็นร้านอาหาร หรือที่แฮงค์เอ้าท์นั่งชิวชมวิวพร้อมกับแกล้ม ในบทความนี้เราอยากจะมาเล่าถึงสองบทบาทของบ้านที่เปลี่ยนไปในช่วง COVID-19 คือการเป็นที่ทำงาน และการเป็นสถานที่พักผ่อนหย่อนใจ

เมื่อบ้านโดนเปลี่ยนเป็นที่ทำงาน

ตอนแรกที่ได้รู้ข่าวว่าผู้บริหารตัดสินใจให้พนักงาน Work from Home ได้ เราก็คิดว่า โอเค ชิวเลย เพราะว่าเราคุ้นเคยกับการทำงานที่บ้านจากที่ทำงานเก่ามาแล้ว แต่ในความเป็นจริงแล้ว ไม่เลย การทำงานที่บ้านอาจจะฟังเหมือนชิว แต่การทำงานที่บ้านโดยที่ไม่สามารถออกไปไหนเพื่อพักผ่อนหรือเปลี่ยนบรรยากาศ ถือเป็นประสบการณ์ใหม่ มันไม่ใช่แค่การ Work from Home ธรรมดา แต่คือการที่เราติดอยู่ในบ้านไม่สามารถออกไปไหนได้ วันทำงานก็อยู่บ้าน วันเสาร์อาทิตย์ก็ยังอยู่บ้าน วนลูปไปเรื่อยๆ การที่ต้องอยู่แต่บ้านเท่านั้นสร้างความเครียดให้กับเราอย่างมาก

นั่งพักกายพักใจหลังจากทำงานที่บ้านวันแรก

การไม่ต้องฝ่ารถติดหรือคนแออัดแน่นหนาไปทำงานถือว่าเป็นเรื่องดี การทำงานที่บ้านช่วยให้เราไม่ต้องไปเครียดกับการเดินทาง ได้เอาเวลาไปทำงานอดิเรกอย่างอื่นที่เราอยากทำ

นี่คือสิ่งแรกที่ปรากฏในหัว เวลามีมากขึ้นอย่างที่นึกจริงๆแหละ แต่สุดท้ายเวลานั้นเราก็นำมาใช้ประชุมหรือว่าทำงานเพิ่ม ด้วยความที่เส้นแบ่งระหว่างช่วงที่ทำงานกับไม่ทำงานไม่ชัดเจน การเปลี่ยนอารมณ์จากการทำงานไปทำอย่างอื่นนั้นไม่ง่ายอย่างที่คิด สุดท้ายก็ไม่ได้ไปทำอย่างอื่นอย่างที่เราหวังไว้ตอนแรก

ในขณะที่ปัญหาหลักของเราเกิดจากการที่ไม่ได้ออกจากบ้าน เพื่อนๆ ของเรามีปัญหาที่แตกต่างออกไป หลักๆ คือบ้านไม่ได้ถูกเตรียมไว้เป็นที่ทำงานตั้งแต่แรก มุ่งให้เป็นเพียงที่พักอาศัย ตอนเด็กๆ เราโตขึ้นมากับการทำการบ้านบนโต๊ะกินข้าว ไม่เคยต้องมีโต๊ะทำการบ้านโดยเฉพาะ เพื่อนๆ ของเราหลายคนตอนนี้ระหว่างที่ Work from Home ก็ยังทำงานบนโต๊ะกินข้าว น้องสาวเราก็แปลงเตียงนอน เปลี่ยนโซฟาเป็นที่ทำงาน โดยบอกว่าที่ต้องใช้เตียงนอนเป็นที่คุย Video Call เพราะว่าแสงดีสุด Background สวยสุดแล้ว

การปรับเปลี่ยนพื้นที่ที่มีอยู่ให้กลายเป็นที่ทำงาน ถ้าเป็นแค่ 2–3 วัน ก็อาจจะพอรับไหว แต่มาถึงวันนี้ที่หลายคนทำงานจากบ้านมาสามเดือนได้แล้ว และยังไม่แน่ใจว่าจะได้กลับไปทำงานที่ออฟฟิศเต็มเวลาแบบก่อน COVID-19 ได้เมื่อไหร่ ก็เริ่มสนใจหันมาปรับปรุงบ้านให้เหมาะสมกับการเป็นที่ทำงานไปยาวๆ จะเห็นได้ว่าหลังจากที่รัฐบาลมีการผ่อนปรนล็อกดาวน์ให้เปิดห้างได้ เราก็อดคิดไม่ได้ว่าที่คนแห่กันไปช็อปปิ้ง IKEA เพราะว่าเขาจะไปซื้อโต๊ะเก้าอี้มาใช้นั่งทำงานให้เหมาะสมรึเปล่านะ

การต้องอยู่บ้านคนเดียวตลอดเวลาในช่วงโควิดว่าไม่ง่ายแล้ว การต้องอยู่ร่วมกับคนอื่นก็ยากไม่น้อยเหมือนกัน การทำงานที่บ้านทำให้เรารู้จักคนในครอบครัวของเรามากขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งเวลาใส่หมวกของการทำงาน ซึ่งดูแปลกและตลกไปในเวลาเดียวกัน เป็นหนึ่งเรื่องที่ต้องหาทางปรับตัวกันอยู่สักพัก เราอยู่ในคอนโดเล็กๆ กับสามีตอนช่วง COVID-19 เมื่อหลายคน Work from Home พร้อมกันก็เกิดเป็นความวุ่นวายเล็กๆ ที่ต้องหาวิธีจัดการให้ดี การใช้เวลาอยู่ด้วยกันตลอด 24 ชั่วโมง เราต้องรู้จักรักษาระยะห่าง ให้ทุกคนมีเวลาส่วนตัว ต้องปรับเปลี่ยนเวลาพักและเวลาทำงานให้สอดคล้องกับคนอื่นในบ้าน เช่น เวลาคนนึงยังพักเที่ยงอยู่ แต่อีกคนต้องประชุม เราจะจัดการยังไงไม่ให้รบกวนหรือทะเลาะกัน เพื่อนคนนึงเล่าให้ฟังว่า เขาก็ใช้วิธีคล้ายๆ กัน เมื่อทั้งพ่อแม่และตัวเขาเองต้องทำงานที่บ้าน ทุกคนจะกระจัดกระจายไปอยู่คนละมุมของบ้าน จะได้ไม่รบกวนซึ่งกันและกัน การใช้ชีวิตที่บ้านแบบนี้อาจจะเปลี่ยนรูปแบบวิถีชีวิตที่พวกเราคุ้นเคยจากที่ว่าเวลาอยู่บ้านทุกคนมานั่งรวมกันเพื่อทำกิจกรรมพักผ่อนด้วยกัน ตอนนี้สถานะของบ้านได้เปลี่ยนไปแล้ว เราก็อาจจะต้องปรับเปลี่ยนบ้านใหม่ให้เหมาะสมกับกิจกรรมที่เพิ่มขึ้นภายในบ้าน

ก่อนที่ผู้บริหารจะตัดสินใจให้พนักงานทำงานที่บ้านได้ เราเชื่อว่าผู้บริหารต้องมีความกังวลใจอยู่ไม่น้อยเลยทีเดียวว่าประสิทธิภาพในการทำงานจะลดลง แต่ดูเหมือนจะเป็นไปทางตรงกันข้าม พวกเราหลายคนกลับทำงานที่บ้านหนักกว่าและเยอะกว่าตอนทำงานที่ออฟฟิศอีก ไม่มีใครรู้ว่าในอนาคตการทำงานที่บ้านจะกลายเป็นสิ่งใหม่ที่บริษัทยึดถือปฎิบัติไปเลยรึเปล่า ทั้งนี้ทั้งนั้นอีกหนึ่งปัญหาที่เราคิดว่าจะเกิดจากการที่ทุกคนทำงานที่บ้านก็คือการรู้จักเพื่อนร่วมงาน เราเริ่มทำงาน 2 เดือนก่อนจะมีการระบาดในประเทศไทยและรัฐบาลขอความร่วมมือให้ทุกคนอยู่บ้าน เราเองคิดว่าเราโชคดี เพราะการที่เราได้ไปทำงานที่ออฟฟิศ ได้ไปเจอหน้าเพื่อนร่วมงานทุกวัน ทำให้เรารู้จักคุ้นเคยกับเพื่อนร่วมงานเร็วขึ้น เพื่อนเราเล่าให้ฟังว่าเขาเพิ่งจะเปลี่ยนงานและเริ่มงานที่ใหม่หลังจากปิด COVID ไปได้เพียง 1 เดือน เพื่อนบอกว่าการทำงานที่บ้านทำให้ไม่คุ้นเคยกับเพื่อนร่วมงาน ทำความรู้จักกันทำได้ยาก เพราะว่าเวลาจะคุยกันผ่าน Call หรือ Video Call ก็คุยกันแต่เรื่องงาน ถ้าการทำงานที่บ้านกลายเป็นสิ่งที่บริษัทถือปฏิบัติใหม่ ทีม HR อาจจะต้องทำงานหนักขึ้นเพื่อหาทางทำให้พนักงานใหม่รู้จักและคุ้นเคยกับเพื่อนร่วมงานได้ไม่ต่างกับการมาเจอหน้ากัน

การพักผ่อนหย่อนใจที่บ้าน

การที่ทุกอย่างปิดไม่ว่าจะเป็นห้าง ฟิตเนส สวนสาธารณะ หรือว่าร้านอาหารที่สั่งได้แต่แบบกลับบ้าน ได้สร้างปรากฎการณ์ที่น่าสนใจขึ้น คนถูกบังคับให้หากิจกรรมต่างๆ ทำเพื่อพักผ่อนที่บ้าน แพลตฟอร์ม Video Streaming อย่าง Netflix และ YouTube เป็นทางเลือกง่ายๆ เวลาคิดถึงอะไรสนุกๆ แก้เบื่อ ยอดผู้ใช้บริการเหล่านี้ทะลุจนทั้ง Netflix และ YouTube ต้องลดคุณภาพของวีดีโอลงเพื่อให้ทุกคนสามารถใช้บริการได้ถ้วนหน้า เครื่องเล่นเกมส์แบบ Nintendo Switch กลายเป็นของหายาก ราคาพุ่งทะยานเสียดฟ้า และขายหมดเกลี้ยง อย่างไรก็ตามไม่ใช่ว่าทุกคนใช้แค่ช่องทางเหล่านี้ในการหาความสุข บรรเทาความเครียด หลายคนก็สรรหางานอดิเรกหรือกิจกรรมอื่นๆ มาทำแก้เบื่อ

กินข้าวที่บ้านกลายเป็นวิถีชีวิตปกติแบบใหม่ ซึ่งนี่ก็เป็นโอกาสทองของบริการรับส่งอาหาร มีข่าวออกมาว่าพนักงานส่งอาหารทำงานมีรายได้กว่าครึ่งแสนในช่วงระบาดหนัก เราเองจากที่ไม่ค่อยได้สั่งอาหารจากพวก Grab food หรือ LINEMAN เท่าไหร่ ได้มีโอกาสทดลองใช้บริการในคราวนี้ ก็ดูตื่นตาตื่นใจ มีอาหารให้เลือกหลายหลาก พร้อมดีลอีกเพียบ แต่ด้วยความที่บ้านเราอยู่ชานเมือง ค่าส่งบางอย่างก็แสนแพง ราคาร้อยกว่าบาท เราก็สู้ไม่ไหว ตัวเลือกก็เริ่มลดน้อยลง พอกินไปเรื่อยๆ ก็ดูเหมือนจะมีแต่ร้านเดิมๆ เริ่มเบื่อ อยากกินอาหารใหม่ๆ จากเดิมที่ไปเดินเลือกในห้าง หรือไปตามร้าน หลายคนเลยตัดสินใจทำเองซะเลย จนกลายเป็นงานอดิเรกใหม่ทีเดียว หม้อทอด หม้อชาบู หรือเตาหมูกระทะกลายเป็นสิ่งที่ต้องมีติดบ้านไปซะแล้ว Penguin Eat Shabu เป็นหนึ่งในร้านอาหารที่เห็นโอกาสนี้และออกโปรโมชัน COVID สั่งเซ็ตชาบูแถมหม้อ ซึ่งชนะใจลูกค้าหลายคนและได้รับการตอบรับดีแบบไม่น่าเชื่อ หลายครัวเรือนเริ่มมีอุปกรณ์ครัวครบครันในบ้าน บวกกับบางคนที่ยังไม่กล้าออกไปกินข้าวนอกบ้าน ซุปเปอร์มาร์เก็ตหรือร้านสะดวกซื้อก็ได้มีการทำแคมเปญขายอาหารพร้อมปรุงเพิ่มขึ้น เป็นการเพิ่มอีกทางเลือกหนึ่งให้กับลูกค้านอกเหนือจากการขายอาหารพร้อมรับประทาน

การอยู่แต่บ้าน แปลว่าเราค่อยได้ขยับตัวเท่าไหร่ พวกเราหลายคนอาจจะรู้สึกอ้วนขึ้น ร่างกายไม่แข็งแรง แต่พอฟิตเนสก็ไม่เปิด สวนก็ปิด อย่างงี้จะทำยังไง เราก็ต้องหาวิธีออกกำลังกายที่บ้าน สำหรับตัวเราถือว่ายากมาก ไม่รู้จะออกกำลังกายยังไง ไปไม่เป็น อันนี้ต้องขอปรบมือให้กับ Fitness First Thailand ที่มีคลาสออกกำลังกายที่บ้านแบบต่างๆ ให้ชมออนไลน์ ทั้งแบบมีอุปกรณ์และไม่มี มาช่วยให้เรายังฟิตได้อยู่โดยไม่ต้องเสียค่าใช้จ่าย ขอบคุณมากเลยค่า

ออกกำลังกายที่บ้านผ่าน Facebook LIVE

อีกอันนึงที่เราคิดว่าเจ๋งพอกันก็คือแอปออกกำลังกายที่บ้านโดย Homecourt จริงอยู่ที่บน ​App Store มีแอปช่วยออกกำลังกายเยอะแยะมากมาย แต่ Homecourt อันนี้แตกต่างไปจากอันอื่น เพราะมีการใช้เทคโนโลยี AI เข้ามาช่วยปรับปรุงในส่วนของการใช้งาน ทำให้ราบรื่นและแอปทำงานได้ฉลาดขึ้น นอกจากนี้ Homecourt ยังได้คำนึงถึงประเด็นที่ว่าการออกกำลังกายและการเล่นกีฬามักจะเป็นสิ่งที่เราทำร่วมกับคนอื่นหรือทำเป็นทีม แอปจึงมีฟีเจอร์ที่ทำให้โค้ชช่วยนักกีฬาในการออกกำลังกายได้ต่อเนื่องแม้จะไม่ได้เจอหน้ากัน มีการแข่งขันเล็กๆ เกิดขึ้นระหว่างเพื่อนๆ ในทีมหรือเพื่อนฝูงโดยการนำผลงานมาเปรียบเทียบกัน ใครยังไม่เคยใช้ Homecourt อยากจะให้ไปลองโหลดมาเล่นกันดู ไม่ต้องเป็นนักกีฬาแบบเต็มตัวก็สามารถเล่นได้ค่ะ

Homecourt ออกกำลังกายกับเพื่อน

ส่งท้าย

COVID-19 สร้างข้อจำกัดให้กับชีวิตเราในหลายๆ ด้าน หนึ่งในนั้นคือการที่เราต้องอยู่บ้าน เราต้องรู้จักจัดการรักษาสมดุลในชีวิต ทั้งสภาพกายและสภาพใจ ต้องเปลี่ยนมุมมองที่มีต่อบ้าน และเปลี่ยนบทบาทของบ้านที่มีต่อตัวเรา ต้องมาคิดใหม่ว่าเราจะอยู่กับครอบครัวของเราในแบบนี้ได้อย่างไร ในบทความนี้เราก็ได้มาแบ่งปันความคิดเห็นถึงบทบาทของบ้านและการใช้ชีวิตที่เปลี่ยนไปจากคนรอบตัวเรา แล้วบ้านของพวกคุณล่ะ? คุณคิดว่าเปลี่ยนไปเหมือนกันรึเปล่า?

--

--