New Normal Lifestyle กับการใช้ชีวิตแบบใหม่ ให้คุ้นเคย

Tp Lyn
KBTG Life
Published in
2 min readJul 4, 2020

หลายคนน่าจะเริ่มเบื่อ และรู้สึกว่า คำว่า New Normal ดูจะไม่ใหม่อีกต่อไป เพราะหลายคนเริ่มปรับตัวได้ และดีขึ้นเรื่อยๆจนกลายเป็นความปกติใหม่ในการใช้ชีวิตไปแล้ว แต่ยังคงมีอีกหลายต่อหลายคนที่ยังไม่คุ้นชิน และยังรู้สึกว่า ต้องปรับตัวเองเยอะมากๆ ก็ไม่น่าแปลกใจค่ะ แต่เดี๋ยวพอเริ่มปรับตัวได้ หลายๆอย่างจะเริ่มดีขึ้นเอง เพราะเป็นเรื่องที่ทุกคนต้องปรับตัว รับมือ และปฎิบัติอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้

ที่มาของคำว่า New Normal

จากข้อมูลนั้นพบว่า New Normal ถูกนำมาใช้โดย Bill Gross ผู้ก่อตั้งบริษัทบริหารสินทรัพย์ชาวอเมริกัน โดยใช้อธิบายถึงสภาวะเศรษฐกิจโลก หลังจากเกิดวิกฤติเศรษฐกิจแฮมเบอเกอร์ ในสหรัฐอเมริกา ช่วงระหว่างปี 2007–2009 ค่ะ

สาเหตุที่เขาต้องใช้คำว่า New Normal นั่นก็เพราะแต่เดิม วิกฤติเศรษฐกิจจะมีรูปแบบค่อนข้างชัดเจน เมื่อเศรษฐกิจเติบโตไปได้ช่วงระยะหนึ่ง จะมีปัจจัยที่ทำให้เกิดฟองสบู่ แล้วก็เกิดเป็นวิกฤติทางเศรษฐกิจตามมา

แต่ความแตกต่างของ New Normal ในตอนนั้น กับตอนนี้ มันคือ การที่ทุกอย่างเกิดขึ้นเร็วมาก ไม่ว่าจะเป็นทางด้านการแพทย์ทั่วโลก รวมถึง WHO ก็ต้องออกมาช่วยกันรับมือ ทั้งที่หลายๆอย่างเราไม่พร้อม และไวรัสโควิด-19 ตัวนี้ ติดต่อกันง่ายมากๆ เพราะกว่า 80% ไม่แสดงอาการ ทางด้านเศรษฐกิจเอง รวมไปถึงเศรษฐกิจทั่วโลกหดตัวลง ของไทยเรานั้นการส่งออกในเดือนพฤษภาคม 2563 ที่ผ่านมา ติดลบต่ำที่สุดในรอบ 10 ปี ถึงร้อยละ 22.5 ส่วนการนำเข้านั้นติดลบเยอะกว่าแน่นอนค่ะ ถึงร้อยละ 34.41 คนก็ใช้จ่ายน้อยลง ไม่มีสภาพคล่องทางด้านการเงิน ทางด้านการท่องเที่ยวก็ประสบปัญหาหนักมากเช่นกันน่าจะต้องใช้เวลาในการฟื้นฟูอย่างน้อย 1–2 ปี และหลังจากที่ WHO ประกาศให้ Pandemic COVID-19 ผลกระทบที่ทั่วโลกได้รับ อีกอย่างนึงคือ รายได้ในครัวเรือนหายไป เนื่องจากเกิดสภาวะที่ต้องตกงานกระทันหันกันอย่างมาก ถ้าใครติดตามสถานการณ์มาตลอดก็จะทราบกันดีค่ะ ว่าตอนนี้จำนวนคนตกงาน และผู้ประกอบการรายย่อยประสบปัญหาหนักมากขนาดไหน โรงงานก็ปิดตัวตามๆกันไป เยอะกว่า 4,000 โรงงาน

ฉันปกติมั้ย?

เชื่อมั้ยค่ะว่า…ถามตัวเองแบบนี้ทุกวันที่ตื่นขึ้น ว่าฉันปกติมั้ย แล้วคนรอบตัวล่ะ ยังปกติกันอยู่ด้วยรึเปล่าน้า มีความระวังมากขึ้นในทุกๆการใช้ชีวิต โดยเฉพาะการออกไปนอกบ้าน อาทิ ไปซื้อของเข้าบ้าน ไปฉีดวัคซัน ไปทำธุระจำเป็นหลายๆอย่าง เป็นต้นและที่เห็นได้ชัดว่ามีการป้องกันและระมัดระวังมากเป็นพิเศษคือ คนที่เป็นแม่สายนอยด์ หรือมีลูกเล็ก และลูกอาจจะยังไม่มีภูมิต้านทานมากพอ มักจะระวังมากเป็นพิเศษ อันนี้มั่นใจค่ะว่า คนเป็นแม่เป็นเหมือนกันหมด ไม่ว่าจะเรื่องการไปโรงเรียน ออกไปเล่นข้างนอก ไปเดินห้างสรรพสินค้า ดังนั้นอุปกรณ์ต่างๆ ต้องพกเพิ่มเติมมากขึ้นเยอะ และยังต้องคอยสอนลูกให้เข้าใจถึงความอันตรายของเจ้าไวรัสโควิด-19 ให้ลูกสามารถเข้าใจและระมัดระวังตัวเองได้ในระดับนึงด้วยนั้น เข้าใจเลยค่ะว่าไม่ใช่แค่การปรับของตัวเองอย่างเดียว แต่ต้องเลือกวิธีการสอนให้ลูกสามารถเข้าใจและปรับตัวกับสถานการณ์ที่เกิดขึ้นให้ได้ด้วย ไม่ง่ายเลยจริงๆค่ะ -_-”

สำหรับตัวเองตอนนี้ได้มีคำใหม่อีกคำค่ะว่า “New Normal Lifestyle” เกิดขึ้นตามมาแบบไม่รู้ตัว (แอบขำ) เพราะดูเข้ากับตัวเองดีค่ะ

แต่ด้วยความโชคดีของตัวเองค่ะ ที่เป็นคนชอบเรื่องการป้องกันต่างๆไว้อยู่แล้ว ตั้งแต่เริ่มมี PM 2.5 เกิดขึ้น แบบจริงจังในประเทศไทยเมื่อปี 2018 ที่ผ่านมา ทำให้มีอุปกรณ์ต่างๆติดบ้านไว้ โดยที่ไม่รู้ตัว ซื้อเรื่อยๆแบบไม่ให้ของในตู้ขาด ขนาดไปต่างประเทศก็ยังจะซื้อของเหล่านี้กลับมา โดยเฉพาะหน้ากากทุกรูปแบบที่กันได้ทั้ง ไวรัส และ PM2.5 และใส่จนเป็นนิสัย จนทุกคนที่เจอมักจะถามว่าไม่สบายเหรอ เราก็จะตอบไปว่า สบายดีจ้า ใส่ป้องกันไว้ เลยไม่รู้สึกแปลกกับการที่ต้องใส่หน้ากากออกจากบ้าน หรือการที่ต้องใส่อยู่ตลอดเวลา รวมไปถึงแอลกอฮอล์แบบพกพา และแบบขวดปั้มไว้ใช้ที่บ้านก็จะซื้อติดมาตลอดทุกครั้งที่ไปเอาวิตามินที่โรงพยาบาลเลย^^ รวมไปถึงสเปรย์พ่นฆ่าเชื้อในอากาศ โดยเฉพาะเวลาอยู่ในห้องแอร์ หรือสถานที่ที่แออัด และก็เลือกแบบที่ฉีดใส่เสื้อตัวเองได้ด้วยสะดวกดี รวมไปถึงเครื่องฟอกพกพา ที่เมื่อปลายปี 2019 ที่ผ่านมาในประเทศไทยเรา ฮิตกันมาก เหมือนเป็นแฟชั่นก็ว่าได้ เนี่ยก็มีหลายแบบมาก เพราะเตรียมพร้อมตั้งแต่ PM 2.5 มาแล้วค่ะ จนสามารถบอกได้เลยว่ายี่ห้อไหนดีและต่างกันอย่างไร

หน้ากากส่วนนึงค่ะ ก็เลือกเอาตามการใช้งานในแต่ละวันเลย

แล้วในกระเป๋าล่ะ มีอะไรที่เปลี่ยนไปบ้าง…

สำหรับผู้หญิงเรา ของในกระเป๋าก็เยอะอยู่แล้ว มาเจอช่วง New Normal เข้ามาอีก กระเป๋าหนักขึ้นกันมั้ยค่ะ? ของตัวเองเนี่ยยยย เบาขึ้นเยอะเลยค่ะ lol เป็นคนที่ไม่พกเครื่องสำอาง แต่จะมีสิ่งเหล่านี้อยู่แล้ว โดยเฉพาะแอลกอฮอล์และสเปรย์ฆ่าเชื้อในอากาศ

อุปกรณ์ต่างๆที่เปลี่ยนไป ตาม New Normal Lifestyle

สิ่งที่เพิ่มเติมมาก็คือ ทิชชูเปียกแบบมีแอลกอฮอล์ 75% ที่เช็ดได้ทุกสิ่งอย่าง ถุงมือแบบใช้แล้วทิ้ง ปลอกสวมนิ้ว!!! หลายคนงง ว่าเอาไว้ทำอะไร? ก็เวลากดลิฟท์ หรือจับลูกบิดประตูก็ได้เช่นกันค่ะ ที่รองนั่งในห้องน้ำ และที่ชอบมากค่ะ คือ การใช้ Zip Lock แทนกระเป๋าเงิน ถูกและดีค่ะอันนี้ เพราะว่าโควิด-19 สามารถอยู่บนเงินสดได้ถึง 9 วันเลยทีเดียว เวลาจะจ่ายอะไรด้วยเงินสด ก็ให้คนขายหยิบในถุง และใส่เงินทอนกลับเข้ามาเลย เป็น Contactless อย่างนึง ที่ไม่ต้องสัมผัสเงินสด แบบเก่ๆ

นอกจากอุปกรณ์ต่างๆนี้…มีอะไรบ้างที่การใช้ชีวิตประจำวันจะเปลี่ยนไป คือการเข้าสู่ยุค Digital Transformation แบบจริงจัง

  1. การปรับตัวเรื่องของการ Work from Home อาจจะรู้สึกว่าประชุมเยอะจัง สำหรับคนที่ยังไม่ชิน ประชุมออนไลน์ก็แปลกๆ แต่หลายๆบริษัทโดยเฉพาะบริษัททางด้าน Digital ต่างๆนั้น ใช้วิธีการประชุมแบบนี้กันมานานมากแล้วค่ะ เพราะว่าประหยัดเวลาการเดินทาง ทั้งในจังหวัดเดียวกัน หรือการนั่งเครื่องบินไปประชุมที่ต่างประเทศ แถมยังช่วยลดค่าใช้จ่ายให้บริษัทอีกด้วยนะคะ แนะนำว่าค่อยๆปรับค่ะ ถ้าประชุมนานๆ แล้วไม่ต้องเปิดหน้า ก็ยืนประชุมไป ออกกำลังกาย ผ่อนคลายความเครียดที่ต้องทำงานอยู่แต่ในบ้านกันได้เรื่อยๆเลยค่ะ แล้วเดี๋ยวก็จะชิวไปเอง
  2. Contactless หรือการลดการสัมผัสต่างๆให้น้อยที่สุด แน่นอนว่า อย่างแรกที่ทุกคนใช้มากขึ้นและปรับตัวอย่างเห็นได้ชัดคือ Cashless Society หรือที่เราเรียกว่าสังคมไร้เงินสด ได้รับความนิยมมากขึ้น จนรุ่นคุณพ่อคุณแม่ก็ต้องลดความดื้อและหันมาใช้กันอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ไม่ว่าจะเป็นการจ่ายเงินผ่าน QR Code ต่างๆ การโอนเงินผ่าน Mobile Banking การจ่ายบิลต่างๆ ค่าน้ำ ค่าไฟ ค่าโทรศัพท์ ค่าบัตรเครดิต ค่าอินเทอร์เน็ต รวมไปถึงการเติมเงินใน Easy Pass ก็ทำได้หมดแล้วค่ะในปัจจุบัน และร้านค้าทั่วๆไปก็รองรับในการจ่ายเงินผ่านการสแกน QR Code กันมากขึ้นด้วย
  3. Social Distancing การเว้นระยะห่างทางสัมคม ที่ดูเหมือนว่าจะจัดการได้ยากอยู่เหมือนกันค่ะ แต่ไม่อยากให้ทุกคนการ์ดตกนะคะ แม้ว่าเราจะคลาย Lock Down มาถึงเฟส 5 แล้วนั้น แต่ยังบอกไม่ได้ค่ะว่า เราอยู่ในระยะที่ปลอดภัย เพราะยังไม่มีวัคซีนสำหรับไวรัสตัวนี้ออกมา ดังนั้นทุกคนที่ใช้ชีวิตนอกบ้านก็มีความเสี่ยงด้วยกันหมดค่ะ
  4. Online Learning ตั้งแต่เด็กเล็กไปจนถึงเด็กโต อันนี้ต้องปรับตัวทั้งตัวลูกและคุณพ่อ คุณแม่เลยค่ะ เพราะการส่งงาน/การบ้านต่างๆของลูก ก็ต้องส่งแบบออนไลน์เช่นกัน รวมถึงการที่ต้องนั่งเรียนไปกับลุกด้วยในบางวิชา หรือถ้าเด็กเล็กที่เรียนครั้งละ 15 นาที คุณพ่อคุณแม่ที่ต้องทำงานไปด้วยดูลูกไปด้วย ก็ต้องจัดเวลากันดีดีเลยทีเดียว ส่วนตัวอยากแนะนำให้ใช้ Google Class Room นะคะ สะดวกทั้งสำหรับครูผู้สอน และทั้งนักเรียนเลยค่ะ เอาใจช่วยคุณพ่อคุณแม่ทุกคนนะคะ สู้ๆ
  5. Always Wear Mask คนจะใส่หน้ากากตลอดเวลาที่ออกจากบ้าน หรืออยู่ในที่ที่แออัด เพราะตอนนี้เข้าหน้าฝนแล้ว โรคอื่นๆที่มากับฝนก็เยอะเพิ่มมาด้วย ดังนั้นรักตัวเองและรักคนรอบข้างเราไว้ค่ะ ใส่หน้ากากไว้ อย่างน้อยก็สบายใจกว่าไปครึ่งนึงนะคะ
  6. Food Delivery ที่คนส่วนใหญ่หันมาใช้กันเพิ่มมาขึ้น เพราะหลายคนยังรู้สึกไม่ปลอดภัยกับการไปนั่งทานอาหารที่ร้าน แต่การรับอาหารจากคนส่ง Food Delivery นั้นกด็อย่าลืม Contactless Delivery กันด้วยนะคะ
  7. Stay More at Home คนส่วนใหญ่จะเลือกที่อยู่บ้านมากขึ้น และจะออกจากบ้านเท่าที่จำเป็นจริงๆเท่านั้น ดังนั้นส่วนนี้ หาอะไรทำที่บ้านเพลินไปค่ะ อย่างตัวเองก็มีเวลาออกกำลังกายเยอะขึ้น (น้ำหนักลงไป 4 KG. แล้วค่า) ปลูกต้นไม้ ทำอาหาร จัดบ้าน ตกแต่งห้องใหม่ ทำอาหาร หรือหาซีรีย์ดีดีดู Netflix เลือกกันเอาเลยค่ะ

สุดท้ายนี้อยากให้ทุกคนคิดบวก (Positive Thinking) และปรับตัวให้ได้กับสถานการณ์รอบตัวที่เกิดขึ้น การ์ดห้ามตก ย้ำค่ะว่า การ์ดห้ามตก!!! ดูแลตัวเองและนึกถึงคนรอบข้างให้มากๆ #เราจะผ่านไปด้วยกันค่ะ เจอกันใหม่บทความหน้านะคะ #NewNormalLifeStyleWithTP

--

--