The Next Chapter of KBTG สู่ธุรกิจใหม่ในโลก DeFi กับ KX & Coral

Kris B
KBTG Life
Published in
3 min readOct 23, 2021

หากยังจำกันได้ เมื่อช่วงปลายเดือนก.ค. ที่ผ่านมา ผู้เขียนได้มีโอกาสสัมภาษณ์พี่พอล ธนะเมศฐ์ อาริยวัฒน์ Head of Venture Builder ของ KX โดยพี่พอลเล่าถึงตอนที่รับโจทย์ยักษ์จากสองแม่ทัพใหญ่ คือพี่เปิ้ล ขัตติยา อินทรวิชัย CEO ของ KBank และพี่กระทิง เรืองโรจน์ พูนผล ประธานกลุ่มบริษัท KBTG จนได้แนวทางออกมาชัดเจนว่า KX จะมาลงสนามเป็น Autonomous Venture Builder สร้างสรรค์ธุรกิจใหม่ๆ ในโลกของ DeFi and Beyond ด้วยการยึด Pain Point ของลูกค้าเป็นแกนกลาง และใช้เทคโนโลยีเป็นตัวขับเคลื่อน

ตัดภาพมาเมื่อวันที่ 18 ต.ค. 2021 ทาง KBTG ได้มีการจัดงานแถลงข่าว The Next Chapter of KBTG… KX & Coral หลายคนเห็นชื่องานแล้วอาจจะเอ๊ะๆ ชื่อ KX ยังพอผ่านตาอยู่บ้าง แต่ Coral คืออะไรนะ? สำหรับใครที่อยากอ่านสรุปเนื้อหาจากงานโดยย่อ ติดตามกันได้ในบทความนี้ค่ะ

Before the Next Chapter

ก่อนจะถึงประวัติศาสตร์บทใหม่ ต้องย้อนรอยเส้นทางกว่าจะมาเป็น KBTG ในวันนี้เสียก่อน ซึ่งคนที่จะมาเล่าได้ดีที่สุดย่อมหนีไม่พ้นพี่กระทิงของเราเอง นับตั้งแต่ที่ Spin off จาก KBank ในปี 2016 ทาง KBTG ได้พิสูจน์ให้เห็นครั้งแล้วครั้งเล่าว่าเราคือผู้นำทางด้านเทคโนโลยีในไทยผ่านผลงานสารพัด นอกจากหน้าที่หลักในการซัพพอร์ตโครงสร้างไอทีและดูแลระบบหลังบ้านให้กับ KBank แล้ว เรายังมีส่วนรับผิดชอบในบริการดิจิทัลต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นการพัฒนาบริการทางการเงินอย่าง K PLUS แอป Mobile Banking ที่มียอดผู้ใช้งานอันดับหนึ่งของไทย, LINE BK บริการ Social Banking บนไลน์ หรือขุนทอง แชตบอทเหรัญญิกที่เกิดขึ้นจากชาว KBTG ของเรา รวมถึงการสร้างท่อต่อสำหรับพาร์ทเนอร์ ทั้งระบบสินเชื่อดิจิทัลอย่างของ Dolfin, Shopee, Lazada และระบบการชำระเงินอย่างของ GrabPay Wallet และ PTT Blue CONNECT นอกจากนี้ยังโปรเจค Co-Innovation ที่เราไปจับมือกับบริษัทในหลากหลาย Ecosystem เช่น ดีแทค, ซัมซุง, บุญเติม, ธนบุรี เฮลท์แคร์ กรุ๊ป เป็นต้น

ขึ้นชื่อว่าเป็นองค์กรเทคฯ ไม่ใช่แค่ต้องตามโลกให้ทัน แต่ต้องวิ่งนำหน้าคู่แข่งด้วย ที่ KBTG เรามีการวิจัยและทดลอง Deep Tech ในสาขา AI, Quantum Computing และ Blockchain แน่นอนว่านี่ไม่ใช่ทั้งหมด เพราะด้วยกระแสสินทรัพย์ดิจิทัลและ Metaverse ที่กำลังมาแรงสุดๆ ในเวลานี้ ใช่เรื่องที่ KBTG จะตกขบวน ขอส่งบริษัทน้องใหม่ในเครืออย่าง KASIKORN X หรือ KX ลงมาเสาะหาไอเดียธุรกิจและพัฒนาขึ้นมาเป็น The New S-Curve ให้กับ KBank และ KBTG บางคนเห็นตัว X ในชื่ออาจจะแอบเหล่ๆ เลยขอดักล่วงหน้าว่าจริงๆ แล้ว KX ได้มีการจดทะเบียนชื่อบริษัทตั้งแต่ปี 2018 แล้วนะ ซึ่งโมเดลธุรกิจของทาง KX จะเป็นการ Incubate, Scale, Spin off กล่าวคือเริ่มตั้งแต่การคิดไอเดียธุรกิจ จากนั้นเฝ้าฟูมฟักทะนุถนอม ดูแลจนเติบใหญ่ แล้วก็ย้ายออกจากบ้าน ไปตั้งเป็นบริษัทใหม่ ยกตัวอย่างง่ายๆ ก็เช่น Kubix ผู้ให้บริการ ICO Portal ที่เป็น Spin off แรกของ KX นั่นเอง

Coral: NFT Platform With Limitless Opportunities

เมื่อพูดถึงเรื่อง KX ก็ต้องยกเวทีให้พี่พอล Head of Venture Builder ของเรา พี่พอลประเดิมด้วยประเด็นง่ายๆ แต่น่าสนใจมากๆ ว่าในปัจจุบันมีคนแค่ 1% เท่านั้นที่ได้ประโยชน์จาก Decentralized Finance ทาง KX จึงต้องการที่จะหาวิธีที่จะทำให้ประโยชน์ของ DeFi ไปถึงคนอีก 99% ที่เหลือให้ได้ ทั้งนี้ปัจจัยนึงทำให้หลายคนยังลังเลที่จะก้าวเข้าสู่โลกของ DeFi คือการขาดความน่าเชื่อถือ ดังนั้นพันธกิจหลักของ KX จึงเป็นการ “Build Trust in the Trustless World” หรือการทำให้ DeFi ทั้งในมุมของบริการทางการเงินและที่ไม่เกี่ยวข้องทางการเงินนั้นง่ายและปลอดภัย คนหมู่มากสามารถไว้ใจและเข้าถึงได้ นำมาซึ่งตัวเอกที่สองของวัน คือ “Coral” นั่นเอง

Coral เป็นแพลตฟอร์ม NFT Marketplace ที่พร้อมเปิดประตู Metaverse สู่โอกาสอันไม่สิ้นสุด (Limitless Opportunities) ให้กับทั้งนักสร้างสรรค์ผลงานในทวีปเอเชียและนักสะสมทั่วโลก

  • ง่าย แม้จะเป็นนักสะสมมือใหม่ที่ไม่เคยแตะ NFT มาก่อนก็สามารถซื้อได้ภายใน 10 คลิก ในขณะเดียวกันศิลปินก็สามารถขายผลงานดิจิทัลตัวเองได้ง่ายๆ เพียงแค่อัพโหลดไฟล์ ตั้งราคา และอนุมัติให้ Coral สร้าง (Mint) NFT ขึ้น
  • ปลอดภัย Coral จะมีการ Validate ตัวศิลปินและแบรนด์ทั้งหมดที่ขึ้นบนแพลตฟอร์ม เพื่อให้นักสะสมสามารถวางใจได้ว่าผลงานที่ซื้อมานั้นมาจากเจ้าของจริงๆ ไม่ใช่คนที่แอบอ้างนำผลงานคนอื่นมาหากำไรให้ตัวเอง

จุดเด่นของ Coral คือกระบวนการซื้อขาย NFT ที่ง่ายดายสุดๆ (Super Simple) หากศิลปินไม่กล้าที่จะทำ NFT ขาย เพราะต้องจ่าย Upfront Cost ทั้งๆ ที่ยังขายผลงานไม่ได้หรือไม่รู้ด้วยซ้ำว่าจะขายออกมั้ย เพื่อไม่ให้ศิลปินต้องแบกภาระต้นทุนสูงโดยไม่จำเป็น Coral เลือกใช้หลักการ Lazy Minting โดยจะแปลงผลงานเป็น NFT ต่อเมื่อการซื้อขายจบลงแล้วเท่านั้น นอกจากนี้เพื่อให้กระบวนการซื้อง่ายที่สุดเท่าที่จะเป็นได้ ก็เปลี่ยนวิธีการชำระเงินมาเป็นการใช้บัตรเครดิต เดบิต หรือแอป Mobile Banking จ่ายง่ายเหมือนช็อปออนไลน์เลย ไม่ต้องไปแลกเป็นเหรียญคริปโตมาซื้อให้วุ่นวาย ทั้งยังวางใจได้ว่า NFT บน Coral เป็นไปตามมาตรฐานสากลบนเชน Ethereum

Collaboration & Engagement

เพื่อให้ศิลปินและแฟนๆ ได้ใกล้ชิดกันมากยิ่งขึ้น รวมถึงเป็นการประชาสัมพันธ์งานศิลปะ NFT ในวงกว้าง ทาง KX ได้มีการเปิดตัวพาร์ทเนอร์เจ้าแรกของ Coral คือ สยามพิวรรธน์ โดยได้รับเกียรติจากคุณ Axel Winter, Chief Digital Officer มาเล่าให้ฟังถึง Vision ที่ทั้งสยามพิวรรธน์ และ KX แชร์ร่วมกัน จากความเชื่อที่ว่าเทคโนโลยี NFT จะเป็นตัวเปิดโอกาสใหม่ๆ ให้แก่วงการนักสร้างสรรค์ผลงานศิลปิน ทั้งสองฝ่ายได้ระดมสมองหาทางสร้างสะพานเชื่อมต่อโลกออนไลน์และออฟไลน์ให้กับเหล่าศิลปินเป็นเวลาถึง 6 เดือน จนได้ออกมาเป็นโปรเจค NFT Walls ให้แฟนๆ และคนทั่วไปได้ชมงานศิลปะ NFT บน Coral แบบจับต้องได้ที่ไอคอนสยามและสยามพารากอน

นอกจากพาร์ทเนอร์เจ้าแรก Coral ยังได้มีการเปิดตัวศิลปินไทยที่เข้าร่วมแพลตฟอร์มแล้วเรียบร้อยทั้งหมด 9 คน ได้แก่ คุณไป Lactobacillus, Tikkywow, ทรงศีล ทิวสมบุญ, เอกชัย มิลินทะภาส, ปัณฑิตา มีบุญสบาย, Benzilla, Pomme Chan, IllustraTU, และ Jiggy Bug ซึ่งล้วนแล้วแต่เป็นที่รู้จัก ในงานเราได้ฟังจากศิลปิน 8 ท่าน (ยกเว้นคุณ Jiggy Bug ที่ไม่สามารถมาร่วมงานได้) พูดคุยถึงเส้นทางการเป็นศิลปินของพวกเขา ไปจนถึงโอกาสที่พวกเขามองเห็นจากการขาย NFT โดยบทสัมภาษณ์ได้แบ่งออกเป็น 2 ช่วง คือสัมภาษณ์เป็นภาษาไทยและภาษาอังกฤษ เพื่อเป็นการตอกย้ำความตั้งใจของ Coral ในการผลักดันศิลปินไทยและเอเชียสู่ระดับโลก

ท้ายสุดนี้ สำหรับศิลปินคนไหนที่สนใจขาย NFT ทั้งที่เป็นมืออาชีพ มือสมัครเล่น หรือแม้กระทั่งบางคนที่กำลังแอบมองหาช่องทางเริ่มต้นอยู่ รวมถึงแบรนด์และพาร์ทเนอร์ที่สนใจมาร่วมสร้างสรรค์ Ecosystem ของ Coral ไปด้วยกัน สามารถเข้าไปดูรายละเอียดและสมัครได้ที่ https://coralworld.co ส่วนนักสะสมที่กำลังกำเงินในมือแน่นอยู่ขณะนี้ ขอให้อดใจรออีกสักนิด รอ Coral เปิดให้บริการภายในช่วงเดือนธ.ค. 2021 นะคะ และใครที่อยากดูวิดีโอย้อนหลังงานแถลงข่าวนี้ สามารถเข้าไปดูแบบเต็มๆ ได้ที่ เพจ KBTG เลยค่ะ

--

--