The Standard Economic Forum 2022: Generation Hope จากเกมส์ Monopoly สู่ Lego

Bukku
KBTG Life
Published in
2 min readDec 13, 2022

ในโลกที่ขับเคลื่อนด้วยความหวังและความฝัน…

สำหรับ Session สุดท้ายในงาน The Standard Economic Forum 2022 คือ Session ว่าด้วยเรื่อง “Generation Hope อนาคตประเทศไทยในมือคนรุ่นใหม่”ที่ได้รับเกียรติจากกลุ่มคนรุ่นใหม่ที่จะมาช่วยขับเคลื่อนประเทศทั้ง 4 ท่าน อย่างคุณศานนท์ หวังสร้างบุญ คุณพริษฐ์ วัชรสินธุ คุณคมสันต์ ลี และคุณแอนนา เสืองามเอี่ยม

จากช่วงการแพร่ระบาดของโควิดที่ผ่านมา มี 2 ปรากฏการณ์สำคัญที่เกิดขึ้นสำหรับ New Generation บ้านเรา คือ

การย้ายประเทศ

วัยแรงงานหนุ่มสาวบ้านเราที่จะเป็นกำลังหลักในการขับเคลื่อนประเทศ หมดหวังกับประเทศบ้านเกิดตัวเองแล้วหรือ? นี่เป็นคำถามใหญ่ในช่วงที่ผ่านมา ซึ่งในช่วงโควิด นอกจากจะเป็นยุคเฟื่องฟูของ Marketplace บน Facebook แบ่งย่อยตามสถาบันการศึกษาแล้ว ยังมีอีก 1 กลุ่มออนไลน์ที่มาแรงและมีจำนวนสมาชิกเติบโตขึ้นอย่างรวดเร็ว นั่นคือ ‘กลุ่มย้ายประเทศ’

วัยแรงงานบ้านเรารู้สึกหมดหวังกับประเทศ ประกอบกับความเหลื่อมล้ำต่างๆ ที่พบเจอ ทำให้รู้สึกว่าทั้งค่าแรงและคุณภาพชีวิตประเทศนี้ไม่สมกับ Effort ที่พวกเขาต้องแลกไปรึป่าว? จากผลสำรวจของ World Economic Forum ถ้าเปรียบเทียบเยาวชนในอาเซียนที่ต้องการไปทำงานในต่างประเทศในระยะเวลา 3 ปีข้างหน้า ประเทศไทยอยู่อันดับ 2 รองจากฟิลิปปินส์ที่มีประมาณ 52% (ถือว่าเกินครึ่ง) ซึ่งประเด็นนี้จะส่งผลให้ประเทศเราขาดแคลนแรงงานคุณภาพในอนาคต ถ้าเทียบกับประเทศสิงคโปร์แล้ว แม้ว่าเขาจะเป็นเพียงประเทศเล็กๆ ที่ไม่มีทรัพยากรทางธรรมชาติของตัวเองเลย ทุกอย่างในประเทศถูกสร้างขึ้นมาโดยมนุษย์แม้กระทั่งพื้นดิน แต่เขากลับมีทรัพยากรที่มีค่ามากที่สุด คือ “มนุษย์” จากผลสำรวจระบุว่าเยาวชนในประเทศสิงคโปร์ต้องการทำงานที่บ้านเกิดถึงร้อยละ 66% นี่เป็นสิ่งที่ชวนคิดว่าปัจจัยอะไรทำให้เยาวชนสิงคโปร์อยากทำงานที่บ้านเกิดแทนการย้ายไปทำงานในต่างประเทศ

เด็กเกิดใหม่มีจำนวนน้อยลงอย่างมาก

ในช่วงหลายปีที่ผ่านมา วัยแรงงานปัจจุบันมีความกังวลว่าลูกที่เกิดมาจะมีคุณภาพชีวิตอย่างไรในประเทศนี้ พูดง่ายๆ คือเขารู้สึกไม่มั่นใจกับประเทศนั่นเอง จึงไม่อยากให้ลูกต้องมาเผชิญในสิ่งเดียวกัน รวมถึงสถาวะเศรษฐกิจในปัจจุบันที่มีความไม่แน่นอนสูงมาก ยิ่งเพิ่มปัจจัยสนับสนุนในการไม่อยากมีบุตร เพราะแค่เลี้ยงตัวเองคนเดียวในฐานะชนชั้นกลางในกรุงเทพก็ยากแล้ว ถ้ามีลูกขึ้นมาอีก ก็จะมีค่าใช้จ่ายเกี่ยวกับลูกที่ตามมาอีกมากมาย หากครอบครัวไหนที่ไปต่อไม่ไหว เด็กๆ เหล่านั้นอาจจะต้องถูกส่งมอบให้กับเจ้าหน้าที่ภาครัฐหรือกลุ่มอาสาสมัครในการดูแลต่อไป

ทั้ง 2 ปรากฏการณ์ที่กล่าวมานี้จะส่งผลเสีย 2 ข้อ ได้แก่

  1. ความหลากหลายในการพัฒนาประเทศ เนื่องจากแรงงานไทยเองยังต้องการที่จะย้ายออก แรงงานจากต่างประเทศที่มีคุณภาพก็ไม่ได้ต้องการย้ายเข้ามาทำงานในประเทศไทย ทำให้เราไม่มีความหลากหลายทางนวัตกรรมและไม่เกิด Innovation ใหม่ๆ หรือไอเดียจากคนรุ่นใหม่
  2. สังคมสูงวัย สัดส่วนคนในวัยทำงานกำลังลดลงเรื่อยๆ เมื่อกลุ่มคนที่เป็นผู้เสียภาษีซึ่งเป็นรายได้ให้กับประเทศลดลง สวนทางกับจำนวนประชากรผู้สูงอายุที่มากขึ้น นอกจากจะขาดแรงงานในการพัฒนาประเทศแล้ว ยังมีค่าใช้จ่ายทางด้านสาธารณสุขที่เพิ่มขึ้นด้วย รวมถึงสวัสดิการขั้นพื้นฐานต่างๆ เช่น กองทุนประกันสังคมในอนาคตที่ไม่แน่ใจว่ายังจะสามารถแบกรับต้นทุนที่เพิ่มมากขึ้นนี้ได้ไปอีกนานแค่ไหน…

ซึ่งในระหว่าง Session นี้ก็มีข้อคิดจากคนรุ่นเก่าและคนรุ่นใหม่ฝากถึงกัน

บันได 4 ขั้น ฝากถึงคนรุ่นเก่า

  1. รับฟังคนรุ่นใหม่ มีเวทีให้เปิดรับการแสดงออกทางความคิดได้โดยเสรีภาพ
  2. ฟังแล้วต้องได้ยิน คือการฟังอย่างตั้งใจเสมือนว่าเราเป็นตัวเขาที่กำลังเผชิญกับเหตุการณ์นั้นๆ เปิดพื้นที่ให้คนรุ่นใหม่ร่วมขับเคลื่อนในสิ่งที่พวกเขาเสนอ
  3. ปฏิบัติกับคนในฐานะเท่าเทียม จากความเหลื่อมล้ำในสังคมไทยที่มีอภิสิทธิ์ชน ทำให้ทุกคนไม่ได้รับการดูแลที่เท่าเทียมกัน ยกตัวอย่างเช่น ระบบสาธารณสุขการรักษาพยาบาลที่เห็นได้อย่างชัดเจน เมื่อเทียบระหว่างโรงพยาบาลรัฐกับโรงพยาบาลเอกชน
  4. สร้างสังคมที่ดีกับเขาไม่ใช่สร้างให้เขา เพราะเขาอาจจะไม่ได้ต้องการสิ่งที่เราสร้างให้

5 คำแนะนำถึงคนรุ่นใหม่

  1. ใจเย็นลงนิดนึง ถ้าเราไม่อยากเติบโตเป็นผู้ใหญ่แบบไหน ก็อย่าทำแบบผู้ใหญ่คนนั้น
  2. ปรับความเข้าใจระหว่างกัน ระหว่างมุมมองของเขาและมุมมองของเรา ถ้าเราอธิบายมุมมองของเราให้เขาเห็นและเข้าใจ เชื่อว่าเขาจะเปิดใจรับมุมมองของเราได้ง่ายขึ้น
  3. ไม่เป็นน้ำเต็มแก้ว อย่าคิดว่าตัวเองเก่งแล้ว ตัวเองแน่แล้ว เพราะคนแต่ละยุคก็มีความเชี่ยวชาญที่ต่างกันไป เราอาจจะเก่งในยุคเรา และเขาอาจจะเก่งในยุคเขาก็ไม่ผิด
  4. พิสูจน์ตัวเองจากจุดเริ่มต้นเล็กๆ
  5. ไม่ชะล่าใจ แต่ต้องลงมือทำด้วย

จากนั้นก็จะมาถึงบทสรุปส่งท้ายจากทั้งหมดที่กล่าวมา จะเห็นได้ว่ายุคปัจจุบันเปรียบเสมือนเกมส์ Monopoly ที่บีบให้มีผู้ชนะเพียงไม่กี่คน เป็นระบบผูกขาดปลาใหญ่กินปลาเล็ก ยิ่งมั่งคั่งเยอะ ยิ่งมีโอกาสชนะง่าย เปลี่ยนผ่านสู่ยุคตัวต่อ Lego ที่ทุกคนสามารถเข้าถึงทรัพยากรพื้นฐานที่เท่าเทียมกัน สามารถออกแบบความฝันหรือเส้นทางของตัวเองได้ ซึ่งระหว่างทางเมื่อเราเดินทางตามความฝันของเราไป แล้วรู้สึกว่ามันไม่ใช่เรา ก็ยังสามารถแกะ Lego ออกมาต่อในรูปแบบใหม่ได้เสมอโดยไม่มีการจำกัดขอบเขตว่าต้องมีทรัพยากรมากสุดถึงจะชนะอย่างเกมส์ Monopoly นี่คืออิสระที่แต่ละคนจะสามารถออกแบบเป้าหมายความฝันของตัวเองได้โดยไม่มีบรรทัดฐานของสังคมแบบเดิมจำกัดไว้ดังเช่นปัจจุบัน

“คนรุ่นใหม่ไม่ได้หมดหวังกับประเทศไทยเสียทีเดียว แต่กำลังเปลี่ยนที่ของปลายทางความหวังมากกว่า… รึเปล่า?”

สำหรับชาวเทคคนไหนที่สนใจเรื่องราวดีๆแบบนี้ หรืออยากเรียนรู้เกี่ยวกับ Product ใหม่ๆ ของ KBTG สามารถติดตามรายละเอียดกันได้ที่เว็บไซต์ www.kbtg.tech

--

--