รีวิวการฝึกงานที่ Sunday | QA Engineer Internship

NATTAPON KHAJORNKASIRAT
Life at Sunday
Published in
3 min readAug 1, 2022

ในระหว่างสถานกาณ์การแพร่ระบาดของ COVID–19ใครจะคิดว่าจากนักศึกษาที่ได้เรียนออนไลน์ที่บ้านมาตลอด 1 ปีครึ่งจะได้มีโอกาสมาฝึกงาน การฝึกงานจะออกมาในรูปแบบไหน? และวันนี้ก็จะมาแชร์ประสบการณ์ตรงที่ได้รับจากการมาฝึกงานที่ Sunday

สวัสดีครับ 🙏🏼 ก่อนอื่นขอแนะนำตัวเองก่อน ผมชื่อพน ตอนนี้กำลังจะขึ้นปี 4 ภาควิชาวิศวกรรมซอฟต์แวร์ คณะวิศวกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ วันนี้จะมาเล่าประสบการณ์ฝึกงานตลอดระยะเวลา 2 เดือนที่ Sunday ในตำแหน่ง QA Engineer

🤔 ทำไมต้องมาฝึกงานตำแหน่ง QA ที่บริษัท Sunday

เริ่มต้นจากในช่วงระหว่างที่เรียน ผมได้มีโอกาสทำ project โดยจะมีการแบ่งกลุ่มทำงานกัน ซึ่งต้องมีการแบ่งหน้าที่กันว่าแต่ละคนอยากทำงานแบบไหนซึ่งส่วนตัวผมก็เคยได้ลองทำหน้าที่มาหลายตำแหน่งไม่ว่าจะเป็น Front-end Developer, Back-end Developer และ QA(Quality Assurance) ซึ่งจากการที่ได้ลองได้ทำงานในหน้าที่ต่าง ๆ ที่ผ่านมาส่วนตัวคิดว่าชื่นชอบการทำงานในตำแหน่ง QA ที่สุดนั่นก็เพราะว่าการทำงานในตำแหน่งนี้ไม่ได้มีเพียงแค่การเขียนโค้ดเพียงอย่างเดียว แต่จะต้องคอยวางแผนและเลือกเครื่องมือที่จะใช้ในการทดสอบให้เหมาะสมเพื่อที่จะสามารถตรวจสอบให้ project ของเราสมบูรณ์แบบมากที่สุด และนี่ก็เป็นเหตุผลที่ทำให้ผมรู้สึกว่างานตำแหน่งนี้มีความท้าทายและเป็นหน้าที่ที่สำคัญเป็นอย่างมาก

Sunday เป็นบริษัท Insurtech นั่นก็คือบริษัทประกันภัยที่ได้นำเทคโนโลยีเข้ามาช่วยเพื่อเกิดประโยชน์มากที่สุดแก่ลูกค้า โดยทำให้การทำประกันสะดวกมากขึ้น และเข้าใจง่ายเพื่อให้ใคร ๆ ก็สามารถเข้าถึงได้ เพราะว่าทุกคนสามารถเลือกซื้อประกันในราคาที่เหมาะสมได้ด้วยตนเองผ่านทาง Application และ Website ของ Sunday

ลักษณะการทำงานของ QA ที่ Sunday จะไม่มีการแบ่งตำแหน่งให้ test ในลักษณะ manual หรือ automate จึงทำให้ผมได้ลองทำงานหลายรูปแบบตั้งแต่การเขียน testcase ของฟังก์ชันต่างๆ ที่ frontend, ตรวจสอบ API ที่ frontend , ทดสอบการยิง API โดยการใช้ automation testing tool อย่าง postman ,ตรวจสอบและใช้งานข้อมูลจาก database โดยการใช้ SQL query รวมถึงการเตรียมชุดข้อมูลเพื่อนำไป test เป็นต้น พออ่านแบบนี้แล้วอาจ ฟังจะดูเยอะแต่ผมรับรองเลยว่าการหากได้มาลองทำดูแล้วทุกคนจะได้รับประสบการณ์ที่ดีไปอย่างแน่นอน

🧑🏻‍💻 บรรยากาศการฝึกงานที่ Sunday

ก่อนจะพูดถึงการทำงานผมก็อยากเริ่มต้นจากแนะนำการเดินทางมาทำงานที่บริษัท Sunday กันก่อนเลยนะครับ ในการเดินทางมาทำงานของผมก็ไม่ได้ยุ่งยากอะไรเลยครับเพราะว่าเพียงแค่นั่ง BTS มาลงที่สถานีช่องนนทรีจากนั้นก็เดินออกมาจากทางออกที่ 5 ก็จะพบกับอาคารสาธรนครทาวเวอร์ที่อยู่ติดกับสถานีเลยจากนั้นให้ขึ้นไปยังชั้นที่ 16 ก็จะพบกับบริษัท Sunday ทันที

อาคารสาธรนครทาวเวอร์

ในวันแรกที่ผมได้เริ่มเข้าไปทำงาน🌅 ทางบริษัทก็จะนัด On Boarding เพื่อเป็นการทำความรู้จักความเป็นมาและวัฒนธรรมการทำงานของบริษัท พร้อมกับการทำความรู้จักกับเพื่อนร่วมงานที่เข้ามาเริ่มงานในวันเดียวกัน หรือจะเรียกว่าเป็นการละลายพฤติกรรมเพื่อที่จะทำให้รู้จักกันง่ายขึ้นนั่นเอง หลังจากนั้นพี่ HR ก็จะแจกอุปกรณ์ที่ใช้ในการทำงาน (แอบสปอยว่าฝึกงานที่นี่ได้ลองใช้ MacBook ด้วยนะ555) รวมถึงบัตรสำหรับใช้สแกนเข้าประตูและของที่ระลึกที่มีทั้งหน้ากากอนามัย และสเปรย์แอลกอฮอล์ หลังจากจบการ On boarding ผมก็ได้ไปพบกับพี่ๆในทีม

ในช่วงที่ผมได้เข้าไปฝึกงานสถานการณ์การแพร่ระบาดของ COVID–19 ยังคงมีอยู่บ้างรูปแบบของการทำงานก็จะเป็นแบบ Hybrid อย่างเช่นผมที่ได้อยู่ทีม Sunday care ซึ่งจะมีกำหนดการให้เข้ามาทำงานในบริษัทแค่ 2 วันต่อสัปดาห์อีก 3 วันที่ก็เหลือสามารถทำงานจากที่บ้านหรือจากที่ไหนก็ได้ หรือถ้าหากไม่สะดวกที่จะมาทำงานที่บริษัทจริงๆก็สามารถทำงานที่บ้านได้ตลอดสัปดาห์ได้เหมือนกัน

บรรยากาศการทำงานภายในบริษัท
โซนขนมฟรี (ที่จริงมันจะมีมากกว่านี้55)
บรรยากาศจากมุมที่นั่งทำงาน

จากที่เกริ่นมาว่าทีมที่ผมได้เข้าไปทำงานนั่นก็คือทีม Sunday care ซึ่งในช่วงที่ผมได้เข้ามาร่วมทีม ทีม Sunday care ก็กำลังทำ project ที่เกี่ยวข้องกับ WEB SERVICE TPA โดย TPA นั้นย่อมาจาก Third Party Administration หรือสรุปง่ายๆก็คือเป็นบริการสำหรับทำหน้าที่เป็นตัวกลางระหว่าโรงพยาบาลกับบริษัทประกันในเรื่องของการเบิกจ่ายค่าบริการรักษาพยาบาลของลูกค้าประกันให้กับทางโรงพยาบาล
โดยในทีมก็จะมีสมาชิกทั้งหมด 6 คนนั่นก็คือ

  1. พี่หยี😇 (Squad Lead) เป็นพี่ที่เปรียบเสมือนเป็นศูนย์รวมของสมาชิกในทีมนอกเหนือจากการประสานงานระหว่าง partner กับสมาชิกในทีม ยังเป็นที่ปรึกษาให้กับสมาชิกในทีมเมื่อเกิดปัญหาต่าง ๆ ได้ทุกเรื่อง และที่สำคัญพี่หยีเป็นพี่ที่น่ารักที่จะคอยเป็นห่วงและดูแลสมาชิกทุกคนอยู่สม่ำเสมอ
  2. พี่มด 😃(QA Lead) เป็นพี่ที่สามารถเป็นปรึกษาในทุก ๆ เรื่องไม่ว่าผมจะถามเรื่องหรือสงสัยเรื่องอะไรก็สามารถให้คำปรึกษาและให้คำแนะนำได้หมด อีกทั้งยังคอยเป็นห่วงติดตามการทำงานของผมอยู่เสมอ
  3. พี่อาย😊️ (QA Engineer) เป็นพี่เลี้ยงที่ใจดีมาโดยตลอดเพราะนอกจากการสอนสิ่งต่างๆที่เกี่ยวข้องกับงานตำแหน่ง QA นอกจากพี่อายจะสอนเรื่องบางเรื่องที่ผมไม่เคยทำมาก่อนจนทำได้ และยังสามารถให้คำปรึกษาเรื่องอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้องกับการใช้ชีวิตในการทำงานพี่อายจะคอยแชร์ประสบการณ์ให้กับผมอยู่เสมอ
  4. พี่เอ็ม😁 (Software Engineer) เป็นพี่ที่ใจกว้างมากเพราะว่าถึงแม้ว่าผมจะเป็นแค่เด็กฝึกงานที่พึ่งได้เริ่มทำงานมาใหม่ ๆ แต่เมื่อผมได้มีโอกาสได้ตรวจสอบงานที่พี่ทำพี่ก็พร้อมที่จะรับฟังความคิดเห็นของผมอยู่เสมอ
  5. พี่ต้นไม้😉 (Software Engineer) เป็นพี่ที่ใจเย็นมากเพราะว่าในการทำงานผมอาจจะทำช้าหรือว่าทำแล้วตกหล่นบางอย่างแต่เมื่อได้ไปบอกกับพี่ต้นไม้แล้ว พี่ก็ไม่มีการปฎิเสธอะไรก็พร้อมที่จะคอยแก้ไขให้อยู่ตลอดเวลา
  6. พี่ธัญ😋 (Software Engineer) เป็นพี่ที่ใจดีมากๆเพราะว่าไม่ว่าผมจะถามเรื่องรายละเอียดของงานที่เล็กน้อยแค่ไหนพี่ธัญก็จะยินดีตอบในทุก ๆ คำถาม

ถึงแม้ว่าผมจะเข้ามาร่วมทำงานเพียงแค่ 2 เดือนแต่พี่ ๆ ทุกคนในทีมก็มีความเป็นกันเองต่อกันมากจนทำให้ผมสามารถปรับตัวเข้ากับทุกคนได้ง่าย และที่สำคัญเลยพี่ๆ เก่งกันมากเพราะไม่ว่าจะเป็นงานหรือปัญหาอะไรทุกคนก็สามารถแก้ไขมันได้อย่างรวดเร็วอีกทั้งยังเป็นที่ปรึกษาให้กับผมได้ทุกเรื่องไม่ว่าจะเป็นเรื่องที่เกี่ยวข้องกับการทำงานหรือเรื่องอื่น ๆ

ในช่วงสัปดาห์แรกของการทำงาน ผมจะเรียกว่าเป็นสัปดาห์แห่งการปรับตัวเลยก็ว่าได้เพราะว่าเมื่อเข้ามาวันแรกผมก็ได้รับมอบหมายให้ทำความเข้าใจกับ project ที่ทีมกำลังทำอยู่เพื่อที่จะเตรียมตัวให้พร้อมกับการไปเริ่มพัฒนา project นั้นทันที ซึ่งในช่วงนั้นจะมีพี่มด เป็นพี่ที่คอยแนะนำและช่วยพาผมไปทำความรู้จักกับสิ่งที่เกี่ยวข้องกับงานเบื้องต้นไม่ว่าจะเป็น หลักการบริการของประกันภัย, คำศัพท์เฉพาะต่างๆ, โปรแกรมที่จะต้องใช้ในการทำงานเบื้องต้น รวมถึงการแนะนำบริเวณภายในและภายนอกบริษัท เรียกได้ว่าในช่วงนั้นผมต้องขอบคุณพี่มดเป็นอย่างมาก ที่ได้คอยแนะแนวจนทำให้ผมสามารถปรับตัวในการเริ่มทำงานกับทีมได้อย่างรวดเร็ว

🧑🏻‍💻รูปแบบของการทำงาน

ที่ Sunday ในทีมของผม เราใช้รูปแบบการทำงานแบบAgile โดยมีกระบวนการทำงานในรูปแบบของ Scrum เราจะแบ่งงานเป็น Sprint หรือเป็นรอบการทำงาน และจะมีการประชุมเพื่ออัพเดตงานสั้นๆรวมถึงการพูดคุยเกี่ยวกับปัญหาแต่ละคนพบเจอเพื่อที่จะช่วยกันแก้ไข กันในทุกเช้า (Stand up) และทุกเย็น (Check out) ซึ่งในระหว่างรอบการทำงานก็จะมีนัด spike and grooming เพื่อที่จะนำปัญหาที่เจอนำมาช่วยกันคิดวิธีแก้ไข พร้อมกับแบ่งและมอบหมายงานให้แต่ละคนในทีมและโหวตให้คะแนนว่าจะใช้เวลากี่วันในการทำ และเมื่อจบรอบการทำงานก็จะมีนัด Retrospective เพื่อการคุยกันภายในทีมว่ามีอะไรเกิดขึ้นในแต่ละรอบการทำงาน มีอะไรควรปรับปรุงหรือดีอยู่แล้วบ้าง รวมถึงพูดถึงปัญหาที่แต่ละคนพบเจอเพื่อที่จะให้คนในทีมจะช่วยกันแก้ไขปัญหานั้นๆ โดยส่วนตัวผมคิดว่าการ Retrospective ทำให้ผมได้ปรับตัวในการทำงานร่วมกับคนอื่นในทีมได้ดีมากขึ้น เพราะว่าผมได้บอกปัญหาที่เจอผมได้เจอ ที่มีผลมาจากความกังวลว่างานที่ผมได้ทำไปมันถูกต้องแล้วจริงๆหรือไม่ เพราะว่าด้วยตำแหน่งทำก็คือ QA เป็นตำแหน่งที่คอยตรวจสอบงานแต่ละอย่างที่ทาง dev ทำมาให้ถูกต้องตรงตาม requirement ต้องมีคุณภาพมากที่สุด และจะต้องมี Bug น้อยที่สุด หรือถ้าเป็นไปได้ควรจะไม่มี Bug เลย และเนื่องจากงานที่ผมได้ทำนั้นเป็น project ที่จะต้องถูกนำไปใช้งานจริงๆจึงทำให้ผมกดดันจนเกิดปัญหาส่วนตัวขึ้นมากมายไม่ว่าจะเป็น ปัญหาเรื่องการสื่อสารกับสมาชิกในทีม, เวลาที่ใช้ในการทำงาน หรือว่าจะเป็นปัญหาของอุปกรณ์ที่ใช้ในการทำงาน เป็นต้น ซึ่งหลังจากที่ได้พูดคุยกันแล้ว มันก็ทำให้ผมสบายใจมากยิ่งขึ้นจนทำให้หลังจากนั้นก็ค่อยๆคลายปัญหาเหล่านั้นและการทำงานก็ราบรื่นมากขึ้น อีกทั้งในแต่ละสัปดาห์ก็จะมี section ของการ Knowledge Sharing เพื่อให้คนที่มีเรื่องที่น่าสนใจนำมาแบ่งปันความรู้ให้กับคนอื่นๆ โดย section ที่ผมชอบมากที่สุดก็คือ การแนะนำการใช้งาน tool ใหม่ ๆ ที่เกี่ยวข้องกับการทำการ test เพราะว่านอกจากที่จะทำให้ผมได้รับความรู้ใหม่ ๆ แล้วผมยังสามารถนำสิ่งที่ได้รู้มานำไปใช้งานจริงได้ด้วย นอกจากนี้ยังมี section ที่เกี่ยวข้องกับ QA โดยตรงนั่นก็คือ QA Meeting ที่จะเป็นการนัด QA ทุกคนภายในบริษัทเพื่อที่จะ พูดคุยเพื่อ update งานของ QA ของแต่ละทีมว่าภายในแต่ละเดือนได้ว่าได้ทำอะไรไปบ้าง และมีปัญหาอะไรที่เจอบ้างเพื่อที่จะช่วยกันคิดวิธีการแก้ไขปัญหาเหล่านั้น

บรรยากาศในขณะ Retrospective

🎉 กิจกรรมระหว่างการฝึกงาน

ในระหว่างการฝึกงานถึงแม้ว่าจะอยู่ในระหว่างสถานกาณ์การแพร่ระบาดของ COVID–19 แต่ทางบริษัทก็ได้มีกิจกรรมให้พนักงานได้ผ่อนคลายจากงาน ไม่ว่าจะเป็นการนัดไปทำกิจกรรมของแต่ละชมรมเช่นเตะฟุตบอล เล่นแบต หรือเล่นดนตรีเป็นต้น หรือว่าจะเป็นกิจกรรมหลังเลิกงานวันศุกร์ หรือเรียกว่า Happy Friday ที่จะมีการสั่งอาหารและเครื่องดื่มต่างๆมากินเลี้ยงกัน พร้อมกับกิจกรรมต่างๆที่จะเกิดขึ้นตามธีมที่กำหนด เช่น Game Night ที่จะมีการนำเครื่องเล่นการเล่นเกมประเภทต่างๆมาเล่นด้วยกัน ไม่ว่าจะเป็น Board game , Nintendo switch หรือว่า PS5 (แอบบอกว่าเป็นกิจกรรมที่ผมไม่เคยพลาดเลยครับ5555)

บรรยากาศกิจกรรมของชมรมดนตรี
รูปของกินยั่วๆ วัน Happy Friday

และกิจกรรมสุดท้ายที่กำลังจะมาถึงนั่นก็คือก็คือ Intern Showcase ที่เป็นการโชว์ผลงานที่เด็กฝึกงานแต่ละคนได้ทำในช่วงระหว่างฝึกงาน (บอกเลยว่าตื่นเต้นมากกครับ) ซึ่งถ้าใครได้อ่านอยู่จนถึงตอนนี้ก็แปลว่าผมได้พรีเซนต์เสร็จเป็นที่เรียบร้อย

☀️สิ่งที่ได้รับหลังจากจบการฝึกงานที่ Sunday

ถึงแม้ว่าจะเป็นการฝึกงานในระยะสั้นเพียงแค่ 2 เดือนแถมยังมีวันหยุดเยอะ แต่ผมก็รับประสบการณ์ในการทำงานจริงอย่างเต็มเปี่ยมไม่ว่าจะเป็นเรื่องที่เกี่ยวข้องกับการทำงานในตำแหน่ง QA , เทคนิคการใช้งานโปรแกรมหรือเครื่องมือต่าง ๆ ที่ใช้ในการ test , วิธีการทำงานของ QA กับสมาชิกในทีมตำแหน่งอื่น ๆ หรือว่าจะเป็นการได้พัฒนาสกิลจากการทำงานในการนำไปปรับใช้ในอนาคต รวมถึงได้ปรับความคิดของตัวเองว่าจากที่เคยคิดว่าตัวเองทำได้ดีหรือว่าตรวจสอบครบถ้วนละเอียดแล้ว แต่พอได้มาฝึกงานและได้พูดคุยกับพี่มดและพี่อาย ที่เป็นพี่ที่ปรึกษาตลอดระยะเวลาที่ฝึกงานผมก็ได้เรียนรู้ได้เลยว่าสิ่งที่ผมได้เคยทำมันยังไม่ครบถ้วนเพียงพอ หรือบางอย่างก็ละเอียดจนทำให้เสียเวลาในการทำจนเกินไป และนอกจากนี้ผมยังรู้สึกได้ว่าบรรยากาศในการทำงานที่นี่ดูสนุกไม่ดูเคร่งเครียด เพราะว่าถึงในเวลาทำงานทุกคนก็ต่างตั้งใจกันทำงาน และพอถึงเวลากิจกรรมทุกคนก็ตั้งใจสุดๆเหมือนกัน (โดยเฉพาะพี่ๆHRเลยนะครับ5555)

‘ Work Hard, Play Harder ’

สุดท้ายนี้ผมอยากจะบอกว่าผมดีใจมากที่ได้รับโอกาสเข้ามาฝึกงานที่ Sunday นั่นก็เพราะว่าที่บริษัทแห่งนี้ได้สร้างความประทับใจให้กับผมมากมายไม่ใช่เพียงแค่เรื่องที่เกี่ยวข้องกับการทำงาน แต่ยังได้รับมิตรภาพที่ดีมากมายจากพี่ๆทุกคน ขอบคุณมากนะครับ🙇🏻‍♂️

--

--