เจ็บไหม ? เวลาดูดไขมัน
การใช้ยาสลบอย่างเดียว ไม่ใช่ตัวเลือกที่ดี เพราะทำให้เจ็บมากหลังดูดเสร็จ ไม่มีผลจากยาชาช่วยลดความเจ็บปวดลง อันนี้เจ็บจริง ใครคิดว่าหลับดีกว่า ตื่นมาผอมเลย มีบ่นกันทุกคน ทางที่ดีเลือกใช้แค่ยาชาดีกว่า
การดูดไขมันด้วยยาชา ส่วนใหญ่จะลดความเจ็บปวดไปได้มากจนไม่รู้สึกอะไรเลยหลังฉีดเสร็จ (แต่ตอนฉีดก็เจ็บนะ)
หลังยาชาหมดผลในไม่กี่ชั่วโมงหลังที่ดูดเสร็จ ถ้าเตรียมใจไว้ ทนได้แทบทุกคน อีกทั้งมียาลดความปวดในช่วงเวลาหนึ่ง และความเจ็บปวดจะหายไปภายในไม่กี่วัน
ภาพในคลิปบน ตอนดูดอาจน่าหวาดเสียวไปบ้าง แต่ถ้าไม่มองตอนที่เข็มกำลังทำงาน ก็จะไม่รู้สึกอะไรเลย ผลของยาชาลดความเจ็บปวดหมด ส่วนหลังดูดก็อีกเรื่อง
ทำไมไม่ใช้เทคโนโลยีใหม่ ?
การดูดไขมันปัจจุบันเแบ่งเป็นสองสายใหญ่ๆ คือ
- ดูดไขมันแบบเดิม (Tumescent Liposuction) ที่ทำให้ไขมันดูดง่ายขึ้นแล้วเอาออกมาซึ่งพบเห็นกันทั้งในไทยและต่างประเทศ ราคาตามจุด
- ดูดไขมันภายนอก (Non-invasive Liposuction) คือ ใช้คลื่น หรือ ความเย็น ผ่านผิวหนัง เข้าไปทำลายไขมันโดยตรง เซลล์ตายและสลายไปในภายหลัง มีหลายวิธีที่พัฒนาขึ้นในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา อย่าง Ultrasound, Laser, Radiofrequency, Cryolipolysis (CoolSculpting) ราคาไม่สูงมาก
ตอบแบบสั้นๆ เทคโนโลยีใหม่แม้จะไม่เจ็บ แต่ยังไม่ตอบโจทย์มากนัก ส่วนใหญ่เหมาะกับพื้นที่ขนาดใหญ่แบบดูดไขมันพุง หน้าท้องมากกว่า ส่วนอื่นไม่ค่อยเห็นผลดีนัก และผลลัพธ์ไม่ค่อยสวยแบบที่ต้องการ อีกทั้งอาจทำให้เซลล์ไขมันบีบตัวแน่น แต่ไม่ได้มีผลลดไขมันตามสรรพคุณที่เคลมไว้ เพราะไขมันไม่ได้ไหลออกมาจากร่างกายแบบดูดไขมันดั้งเดิม (อาจตายไปบางส่วน แต่บางส่วนบีบตัว)
จนถึงปี 2020 การดูดไขมันที่ผู้หญิงต้องการ แม้จะมีราคาแพง ยังคงต้องใช้เข็มแทงเข้าไปที่ร่างกายอยู่ดี เพื่อให้ออกมาสวย ถ้าเน้นเรื่องปริมาณไขมันที่ดูดออก เพื่อลดน้ำหนักและเจ็บน้อยๆ อาจเป็นสิ่งที่ตอบโจทย์ แต่กรณีที่คาดหวังเรื่องความสวยงาม ยังไม่ดีพอ
สรุปสั้นๆ
- เจ็บบ้าง แต่ไม่ถึงกับเจ็บจนทนไม่ได้
- โดยผู้หญิงมักจะทนความเจ็บปวดได้ดีกว่าผู้ชาย (น้อยกว่าคลอดลูกแน่นอน) เลือกดูดไขมันแบบดั้งเดิมเพื่อความเรียวสวย กระชับผิวพรรณให้เข้ารูป
- ผู้ชายส่วนใหญ่จะทนความเจ็บได้น้อยกว่าผู้หญิง จึงเลือกดูดไขมันแบบไม่ต้องเจาะมากกว่า เพื่อลดน้ำหนักส่วนพุง